12 ธ.ค. 2022 เวลา 07:07 • นิยาย เรื่องสั้น
จำได้ดี
เขาลืมไปนานมากแล้ว ว่าพวกมันทั้งหมดซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วตอนไหนนั้น แต่ครั้นได้กลับมายืนที่นี่อีกครั้ง ไม่เหลือร่องรอยความบาดเจ็บสัมผัสได้ก็ตาม ราวกับว่าทุกๆ อย่างตรงนี้ในตอนนั้น เหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง
ทว่า ยังคงแจ่มชัดในความรู้สึกอยู่เลย
ความรู้สึกของเขาตอนนั้น เริ่มจากอากาศเย็นเหยียบ สายลมแม้ว่าอ่อนพละกำลัง ทำเขาขณะเดินต้านกระแสสะท้านถึงขั้วหัวใจ ร่างสั่นเทาหนัก มือสองข้างรีบล้วงเข้าในกระเป๋าแจ็กเกตสีกรมตัวหนา ฝีเท้าเร่งไปบนพื้นถนนเปียกแฉะ และลื่นเอามากๆ
ปรากฏว่าเขายังคงมีรอยยิ้มชื่นมื่น แต่ก็บิดเบี้ยวจากความเหยเกของสภาพอากาศวันนี้ ในฤดูที่โลกจะยังหมุนตัวเองให้ครบรอบเรื่อยๆ มอบให้
การที่ถูกแขนยื่นยาวโอบเข้าที่คอของเขา ชำเลืองตามองอีกฝ่าย ซึ่งทิ้งหน้าก้มลง เท้าไถลเกือบต่างพาล้มหน้าทิ่มพื้น เสียงหัวเราะคิกคักในลำคอ กับมุมปากสองข้างฉีกกว้างนึกสนุกหรรษา ความประมาทเลินเล่อ กระทำลงเพราะคนคนเดียว ไม่เคยเลยจะถือโทษโกรธ หากต้องได้รับบาดเจ็บด้วยกัน
“โทษที”
อีกฝ่ายกระชับรอบคอในวงแขน ขมับของพวกเขาสองคนโขกกัน ความเจ็บแล่นแปลบชั่ววูบเดียว เยียวยาตัวเองหายขาดแล้ว
“โทษอีกที”
“ไม่เป็นไรเลย”
เขายกมือขึ้นโบกตรงหน้าปฏิเสธ ถึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการความมั่นใจนี้หรือไม่ และคิดมากแทนเจ้าตัว ไม่ได้คิดอะไรเลยไหมนะ
“อือ”
อีกฝ่ายร้องตอบ
“ก็ดีแล้ว”
มือตบบ่าของเขาสองสามที
“เย็นนี้ว่างไหม”
เขาเอ่ยถาม
“ว่างดิ”
อีกฝ่ายถามกลับ
“ถามไมอะ”
“ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก”
เขายักไหล่
“แม่กูน่ะ แค่อยากจะให้กูชวนมึงไปกินมื้อเย็นที่บ้าน”
“น่าสนใจดีนะ”
อีกฝ่ายประเมิน
“แล้วทำไมแม่มึงถึงคิดชวนกูวะ”
“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ”
จริงๆ จนตอนนั้นถึงวินาทีปัจจุบันนี้ เขาไม่เคยได้ถามแม่อีกเลย เพราะอะไรถึงทำแบบนั้นลงไป
“จริงอะ”
เขาพยักหน้ายืนกรานหนักแน่น
“แม่หรือมึงเอง”
อีกฝ่ายเกิดอาการคลางแคลงใจ
“ที่อยากชวนกูไปร่วมมื้อเย็นที่บ้านมึง”
“เพราะแม่กูต่างหากล่ะ”
“งั้น”
อีกฝ่ายว่า
“จะชักช้าตรงนี้ืทำไมกัน”
เขาไม่ทันได้เปล่งเสียงห้ามปราม อารามตื่นตระหนกสุดขีด
อีกฝ่ายลากคอเขาทันใด ดีแท้สองคนช่วยกันประคับประคอง ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้มคะมำกลิ้งบนทางเท้า
“อย่าวิ่งดิวะ”
เขาพูดพลางหัวเราะขบขัน
อีกฝ่ายสมทบ
“ก็หิวนี่หว่า”
“มึงหิว”
เขาว่า
“เออ”
“นั่น”
เขาชี้มือเลยไหล่ของอีกฝ่าย พร้อมกับหันขวับไปทางด้านหลัง
“มาพอดิบพอดีเลย”
อีกฝ่ายโพล่ง
พวกเขาถลามาที่ป้ายรถโดยสารประจำทางให้ทันก่อนพาหนะคันยาวมาถึง
“เอางี้”
อีกฝ่ายเกริ่น
“ว่ามา”
“เมื่อรถมาจอดเทียบตรงนี้”
อีกฝ่ายเกริ่น เขารู้ได้ทันที ว่าจะต้องเป็นการเสนอคำท้าทาย
“ใครได้ที่นั่งข้างหลังก่อนคนนั้นชนะ ส่วนคนแพ้ต้องยืนตลอดทาง เอาปะล่ะ”
“ก็จัดไปดิ”
เขารับคำท้าอย่างมั่นอกมั่นใจ
“มึงคิดว่ากูจะกลัว จนไม่กล้ารับคำท้าเด็กๆ ของมึงเหรอไงวะ”
“มึงได้ยืนตลอดทางแน่”
อีกฝ่ายไม่หวั่นเกรง
“อย่าเพิ่งเอ็ดไปก่อน”
เขาปราม
“กูน่ะไวกว่ามึงเห็นๆ”
อีกฝ่ายอวยตัวเอง
“กูน่ะ เป็นนักอเมริกันฟุตบอลประจำมหาฯลัยเลยนะเว้ย”
“แล้วไงวะ”
เขาไม่สนการโอ้อวด
“แล้วกูจำเป็นต้องวิ่งไม่ทันมึง ต้องแพ้มึงตลอดไปงั้นเหรอวะ มันไม่ได้อยู่ที่ความเร็วสักหน่อย มันอยู่ที่ทักษะจะเอาชนะต่างหาก”
“ก็คอยดูแล้วกัน”
“กูล่ะอยากจะหัวเราะเยาะนักกีฬาตัวแทนมหาฯลัยไม่ไหวแล้วว่ะ”
เขาขำนำก่อนแล้ว
“ระวังเถอะ”
อีกฝ่ายเตือน และย้อนศร
“หัวเราะทีหลังมักดังกว่าเสมอ จะบอกไว้ก่อนเลย”
“ไว้ถึงคราวนั้นก่อนเถอะ”
เขายิ้มเหยาะ
“ค่อยมาตัดสินแพ้ชนะกันทีหลัง”
สายตาเขาจับจ้องหน้ารถโดยสารตาไม่กะพริบ ครั้นชะลอล้อเตรียมจอดเทียบป้ายนี้ ให้หลังประตูบานพับอัตโนมัติเลื่อนเปิดฉับพลัน เขาก็ทะยานตัวเอง กระแทกไหล่ชนไหล่กับอีกฝ่าย แย่งเบียดผ่านช่องทางเดี่ยว คนขับรถเห็นท่าไม่ดี ตกตะลึงทั้งไม่พอใจ ตะโกนสบถโหวกเหวกโวยวาย ในความผาดโผนของเด็กหนุ่มสองคนหาสนไม่ ยอดเหรียญแล้ว เขาดันหยุดชะงัก ปล่อยให้อีกฝ่ายแหวกใต้วงแขน ทิ้งตัวนั่งลงบนเบาะติดหน้าต่าง ฉีกยิ้มร่าพึงพอใจ ได้ใจว่าตัวเองชนะเห็นๆ อาจไม่ทันได้สังเกตถึงท่าทีลังเลของเขา
เขาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ อีกฝ่ายดวงตาลุกโชนทันใด เขาไม่รักษาสัตย์ ไม่ยุติธรรม จะอุตส่าห์เหนื่อยแข่งขัน และทำตัวเองโดนด่าเพื่ออะไรกัน
“เห้ย”
อีกฝ่ายร้องลั่น
“มึงนั่งได้ไงวะ”
“ก็ที่มันว่างกูจะนั่ง”
“มึงนั่งไม่ได้”
อีกฝ่ายผลักต้นแขนเขาทีเล่นทีจริง
“ทำไมกูจะนั่งไม่ได้วะ”
“ก็มึง”
อีกฝ่ายชี้หน้า
“รับปากกูเองนะ ว่าคนแพ้จะต้องยืนตลอดทางอะ”
“ใช่”
เขาพยักหน้าหนึ่งครั้ง
“กูรับปากแบบนั้น แต่กูแค่เมื่อย กูก็เลยจะนั่งพัก --- และอีกอย่างหนึ่งนะ กูไม่นั่งตรงนี้ กูก็ไปนั่งตรงอื่นก็ได้ไง”
เขากวาดมองรอบๆ พลันสบสายตาสีครามคู่หนึ่งจดจ้องอยู่
ดวงตาสีน้ำตาลสองคู่สบประสานกัน เขารู้สึกอิจฉาสองฝ่ายแอบมีนัยยะบางอย่างให้กัน
เขารู้จักคนในสายตาตัวเองดี โจนาธาน ผู้ชอบเอาดวงตาคู่นั้นแอบมองเขาจากมุมลับมุมหนึ่ง ย่ามใจไปเออเอง เขาจะไม่รู้ไม่เห็น ต่อให้รู้สึกตัวแล้วกำลังถูกใครสักคนจับจ้อง พอพลันสายตาบรรจบตน ก็รีบชิงหลบหน้าหลบตาไปก่อน เพื่อเขาจะยังไม่แน่ใจ ก่อนเดาสุ่มสี่สุ่มห้าสรุปซี้ซั้วต่างว่าใช่นั่นเอง เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรในตัวโจนาธานที่แอบมีใจให้กันนักเลย แม้ลึกๆ แล้วก็เสียใจน่ะนะ เพราะทำให้คนคนหนึ่งต้องรู้สึกย่ำแย่จากการผิดหวัง กระนั้น โทษใครเสียไม่ได้หรอก สำหรับเขามีเพียงคนข้างๆ ซึ่งไม่มีสัญชาตญาณรู้ตัวบ้างเลย
เขาเสมองตรงที่ด้านหน้ารถ ถึงไม่อยากเห็นภาพอีกฝ่ายกำลังส่งสายตาให้กับนิโคไล อดชำเลืองดูเสียไม่ได้ว่าระหว่างดวงตาสี่คู่ต่างสะกดกันไว้นิ่งแบบนี้นานขนาดไหน และจะละสายตาจากกันเมื่อไร
หรือเพราะความที่พวกเขาสองคนสนิทสนมกันมากเกิน จะให้เปลี่ยนแปลงสถานะเป็นอย่างอื่น คงเป็นสิ่งเป็นไม่ได้จริงๆ ยากขนาดจินตนาการความรู้สึกแตกต่างออกไปสิ้นเชิงไม่ออก เช่นเพื่อนสนิทคุ้นเคย จนไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเกิดอาการตะขิดตะขวงเลยสักนิด ต่อการกระทำอันเกินร้อยหลายๆ อย่างมากไป ถึงขั้นปฏิเสธเรื่องสำคัญๆ ส่วนตัวบ้างก็มี
เขาถองศอกเข้าสีข้างอีกฝ่ายเสียเต็มแรง แล้วแสร้งทำหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้ใส่
“มึงทำเหี้ยอะไรวะ”
อีกฝ่ายสบถถามหัวเสีย พลางถูสีข้าง
“แล้วมึงอะ”
เขาสวนกลับ ทั้งที่เอาชนะการโต้เถียงนี้ไม่ได้หรอก เพราะเผลอไผลแสดงออกมาชัดเจน ไม่อาจควบคุมอารมณ์หึงหวงร้อนรุ่มดั่งไฟสุมใจได้
“ทำเหี้ยอะไร”
อีกฝ่ายเลิกคิ้วฉงน
“แล้วกูทำเหี้ยอะไรให้มึงไม่พอใจก่อน”
เขาเพิ่งตระหนักถึงความผิดพลาดอันไร้สติ จึงปราศจากข้อแก้ต่าง ได้แต่ทำตัวเงียบๆ กลบเกลื่อนความเจื่อนในใจ
“กูถาม”
เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าเขาไม่พูดไม่จาอีกแล้ว ก็คงจะรู้สึกเสียอารมณ์ นิโคไลลุกจากที่นั่งตรงนั้น ไปยืนรอที่ประตู คอยให้รถโดยสารกำลังชะลอความเร็ว หยุดจอดเทียบป้ายถัดไป นิโคไลหันมามองอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย ยกมือโบกอำลารับ
ระหว่างทางที่เหลือต้องให้ไปต่อ แสนจะอึดอัด ความเงียบห่อหุ้มรอบตัวเขาไว้
กระทั่ง อีกฝ่ายถองศอกสะกิดเขาเบาๆ เพื่อเรียกสติว่าป้ายหยุดรับผู้โดยสารข้างหน้า กำลังถึงจุดหมายปลายทางของพวกเขา เขาลุกขึ้นไปยืนตรงประตูเลื่อนอัตโนมัติเตรียมตัวลง
อีกฝ่ายผลักหลังเขาทีเล่นทีจริง ยังดีที่ทรงตัวได้อยู่ ไม่ล้มหน้าคะมำพื้น ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะชอบใจจากด้านหลัง สามารถยืนยันได้ว่าพวกเขาสองคนไม่ได้มีปัญหาบาดหมางกัน เขารู้สึกดี ค่อยยิ้มออก
ลมหนาวปะทะร่างกายจนสั่นสะท้านอีกครั้ง อีกฝ่ายรุดวิ่งนำหน้าไปก่อน เขาจึงเร่งฝีเท้าตามหลัง ออกตัวตั้งแต่ก้าวแรกยาวไปให้ทันอีกฝ่าย
กระหืดกระหอบเมื่อมาถึงหน้าประตูบ้านไล่เลี่ยกัน ทิ้งตัวช่วงบนลำตัวโค้งงอ มือยันเข่า เนื่องจากสูดเอาอากาศหายใจเย็นเยือกเข้าปอด แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่กระชั้น ขณะพักเหนื่อยเต็มประดา แล้วยืดตัวตรง หลังสังขารรู้สึกพรั่งพร้อม ผลักประตูเข้าบ้านไป
มื้อเย็นแม่เขาตระเตรียมต้อนรับแขก ด้วยอาหารหลักอย่างสปาเกตตีซอสมะเขือเทศ
“สภาพตอนเข้ามา”
เขาไม่คิดว่าเธอยักสังเกตเห็น
“ดูเหนื่อยหอบอะไรกันขนาดนั้น”
“วิ่งแข่งกันมาครับ”
อีกฝ่ายตอบ
“อือ --- ฮึ”
เธอดูมีท่าทีให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
“แล้วใครชนะล่ะ”
เธอเอ่ยถามไม่ได้จริงจังนัก
“ผม”
อีกฝ่ายชิงพูดเท็จก่อน
“เราเสมอกัน”
เขาแก้ต่าง
“ต่างหากล่ะ”
“ยังไงกันแน่”
เธอสับสนหนัก
“สรุปเพื่อนเราชนะจริงหรือเปล่า”
จากเดิมเธอไม่ได้จริงจังอะไรนัก ตอนนี้ใคร่สงสัยระหว่างหนึ่งในพวกเขาใครพูดความจริงมากที่สุดกันแน่
อีกฝ่ายเหล่ตามองค้อนใส่เขาไม่พอใจ เธอจับจ้องเขาอย่างคาดคั้น มันชักไม่เล่นๆ อีกต่อไป สองสายตารวมกันเป็นหนึ่งเดียวต่างกดดันเขาหนักอึ้ง
เขากลับรู้สึกต้องทำให้อีกฝ่ายพึงพอใจให้จงได้ มันไม่ได้แลกกับความประทับใจอะไรนักหรอก แค่ทำให้อีกฝ่ายมีความสุขสมใจได้ เขาก็เช่นกัน
“มันชนะ”
เขาเอนหลังกระแทกพนักเก้าอี้ สองขาหน้ายกลอย เขารู้การหยั่งน้ำหนักทรงตัวสมดุล ไม่ให้ล้มหงายหลัง หาเรื่องขายขี้หน้า อีกฝ่ายคงได้หัวเราะเยาะ และเก็บไว้ล้อเลียนไม่เบื่อ อย่างกับได้ออกมาสู่พื้นที่โล่งกว้างประมาณนั้นเลย
“ผมเก่งกว่ามันไหมครับ”
อีกฝ่ายยักคิ้วข้างหนึ่งใส่เขา เชิงยียวนกวนประสาท
“เก่งจ้ะ”
เธอเอ่ยปากชื่นชมยกใหญ่
เขาปรบมือเสียงดังแต่ละทีอย่างประชดประชัน
“เห็นด้วยกับแม่ไหม”
เขาส่ายหน้า
ก่อนถูกแขนล่ำสันของอีกฝ่ายล็อกคอแน่น กดตัวเขาโน้มต่ำลงไปทางตัวเอง กำปั้นบี้กลางกบาล
เขาพยายามดิ้นรนเอาตัวเองออกมาจากความรู้สึกรำคาญให้ได้ โงหัวขึ้นได้อีกครั้ง ฟาดศอกหมายจะให้โดนอีกฝ่ายเต็มแรง กลับหลบพ้นทันท่วงที พวกเขาต่างหัวเราะคิกคักสนุกสนาน ผลัดกันผลักไปมา
“เอ้าๆ”
เธอร้องปราม
“เดี๋ยวก็พลาดทำเลอะเทอะ --- หยุดก่อนๆ หนุ่มๆ”
“ไม่ค่อยเหมือนลูกแม่หรอก”
“แม่”
เขาลากเสียงขัด
“ทำไมเหรอครับ”
อีกฝ่ายใคร่รู้ ดวงตาลุกวาวส่อประกายวิบวับ ฉายแววชัยชนะอยู่กลายๆ แม้ไม่รู้ว่าแม่ของเขาจะพูดอะไรออกมาเกี่ยวกับลูกชายตัวเอง อาการที่เขาไม่อยากให้เธอเอื้อนเอ่ยมัน แสดงชัดถึงความกลัวสะทกสะท้านใจ
เขารู้สึกอยากจะหัวมุดลงดิน ไม่ก็หายไปจากตรงนี้ระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว
“สมัยเด็กน่ะนะ”
เธอเกริ่น
“เขาน่ะ ได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬาเบสบอลประจำโรงเรียนประถม ตำแหน่งอะไรนะ แม่เองก็จำไม่ค่อยจะได้”
“แคชเชอร์”
เขาบอกเสียงอ่อย
“ผมว่าแม่ไม่อยากจำซะมากกว่า”
“ไม่ๆ ---”
เธอส่ายส้อมในมือปฏิเสธ
“ไม่ใช่อย่างที่ลูกเข้าใจเลยนะ --- และนั่นแหละ แคชเชอร์ หน้าที่ภายในทีมของเขา”
“มันเกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
อีกฝ่ายดูท่าร้อนใจ กระหายเรื่องราวอันอัปยศอดสูในวัยเด็กแสนจะบื่อของตัวเอง
“มึงเลิกถามต่อได้ปะวะ”
เขาไม่ไหวจะรื้อฟื้นปูมหลัง
“กูก็แค่อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมึงในวัยเด็กสมัยเป็นนักกีฬาโรงเรียนปะวะ”
อีกฝ่ายว่า
“กูประหลาดใจที่รู้ว่ามึงเคยเป็นนักกีฬามาก่อน เพราะตอนกูชวนมึง ก็ไม่เห็นยอมเล่นอะไรด้วยง่ายๆ กับกูสักอย่าง แค่นี้มันจะอะไรนักหนา ใจๆ หน่อยดิวะ อายอะไรของมึง”
“มึงไม่เคยมีเรื่องแย่ๆ ในอดีตที่อยากจะฝังกลบเหมือนกู”
เขาบอก
“มึงก็พูดได้นิ”
“ทำไมกูจะไม่เคยมี”
อีกฝ่ายย้อน ก่อนหันไปสนใจแม่ของเขาอีกครั้ง
“ทำไมมันถึงไม่ต้องการให้พูดถึงเรื่องนี้ด้วยครับ”
เธออมยิ้ม ขณะกลั้นหัวเราะ สายตาสุกสว่างคู่นั้นจับจ้องมาทางเขา
“เรื่องของเรื่องมันเป็นงี้”
เธอเริ่มเล่า
“เขาน่ะ เวลาขว้างลูกบอลมักชอบบอกทิศทางลูกให้แก่แบตเตอร์ --- ใช่ไหม ฝั่งตรงข้ามน่ะ”
เธอหันมาถามเขาเพื่อความแน่ใจ
เขาพยักหน้าตอบเงียบๆ
เธอเสริมต่ออีกเล็กน้อย
“นั่นแหละ --- อยู่ร่ำไป”
เธอกล่าว
“นั่นคือนัดกระชับมิตรครั้งสุดท้าย เขาไม่เอาอะไรเกี่ยวกับด้านกีฬาอีกเลย”
เธอสำลักหัวเราะกลั้นไว้ภายใต้อมยิ้มพรวด ไม่สามารถฝืน
เขาเอามือทาบปิดหน้าอับอาย
อีกฝ่ายพยายามจะแกะมือออกจากใบหน้าของเขา เขาไม่ยอมแต่โดยดีหรอก เพราะอีกฝ่ายก็หัวเราะขบขันเป็นเรื่องตลกผสมโรง มันไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับเขาเลยสักนิด
“อย่างน้อยๆ ---”
อีกฝ่ายเอ่ย
“มึงก็ขว้างได้ดีนะเว้ย”
เขาก็หัวเราะด้วย สามารถมองความเลวร้ายกาลครั้งหนึ่งเป็นมุกตลกได้
“แล้วเราล่ะ”
เธอใช้ด้ามท้ายส้อมชี้ไปทางอีกฝ่าย
“เคยเล่นกีฬานี้มาก่อนไหม”
“เคยครับ”
อีกฝ่ายม้วนเส้นสปาเกตตีคดพอดีคำเข้าปาก
“ตอนเรียนอยู่โรงเรียนประถม แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เล่นเบสบอลแล้วล่ะครับ”
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
เธอถามต่อ
“ผมเป็นนักกีฬาอยู่ในสโมสรอเมริกันฟุตบอลของมหา’ ลัยครับ”
เธอประเมิน
“หน่วยก้านถือว่าได้เลยน่ะนะ”
เขามองสลับคนทั้งสองเข้ากันอย่างกับปี่กับขลุ่ยเงียบๆ อีกฝ่ายทำให้แม่ของเขาประทับใจได้ไม่ต้องพยายามหนักหนาเลย เขารู้สึกดีใจสุดแสนที่เห็นภาพแบบนี้
“ตอนสมัยเป็นนักเบสบอลประถม”
แม่กล่าว
“เราอยู่ในตำแหน่งอะไรกัน”
“ประจำตำแหน่งแบตเตอร์ครับ”
อีกฝ่ายตอบ
“ผมคลับคล้ายคลับคลาเหลือเกิน ไม่มั่นใจว่าเป็นเพราะความสามารถตอนนั้นที่ผมมี หรือแคชเชอร์ฝั่งนั้นพยายามบอกวิถีลูกขว้างให้ผมรู้หรือเปล่า ก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะครับ”
เขาหันขวับมองอีกฝ่ายให้แน่ใจ เด็กชายผมหยักศกสีช็อกโกแลตตรงหน้า อาจใช่คนคนเดียวกันกับที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาวันนี้จริงหรือ เพราะช่วงเวลานั้น เขาไม่ได้รู้จักกับอีกฝ่ายมาก่อน
“รีบกินๆ ซะ”
เขาทำเสียงแข็งใส่
“แล้วก็กลับไปได้แล้วไป”
“เอ้า”
เธอร้องด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมไปไล่เพื่อนอย่างนั้นล่ะ”
“กูไม่รีบกลับว่ะ”
อีกฝ่ายเชิดคางท้าทาย
“ถ้างั้น”
เขาพูด
“มึงไม่รีบกลับใช่ไหม มึงก็ช่วยกูล้างจานด้วยแล้วกันล่ะ”
“เดี๋ยวๆ”
อีกฝ่ายแสดงสีหน้าสุดจะคาด
“ทำไมไปใช้แขกแบบนั้นล่ะเนี่ย”
เธอเอ็ด
“ไม่มีมารยาทเลยนะ”
เขาแลบลิ้นปลิ้นตายั๊วะอารมณ์ทีเล่นทีจริง ไม่สะท้านสะเทือนในคำต่อว่าให้เสียหน้าของแม่เลยสักนิด อีกฝ่ายไม่ยอมกันจะเอาคืนเจ็บแสบโต้ตอบ จนไม่ได้เหลียวแลมื้อเย็นใกล้เย็นชืด แม่ของเขาคอยห้ามทั้งสองสงบศึกลงเสียที ผลัดกระแทกไหล่ใส่กันไปมา เธอส่ายหน้า แล้วกุมขมับหัวปวด แต่อดขำน้อยๆ พวกเขาไม่ได้จริงๆ
กว่าเส้นสปาเกตตีในจานเหลือเพียงคราบซอสสีแดง เวลาก็ล่วงเลยเกือบหนึ่งทุ่ม อีกฝ่ายช่วยเขาถือจานชาม ส้อม แก้วน้ำสกปรกวางลงในอ่าง
“มึงนี่”
เขาหมุนก๊อกเปิดน้ำค่อยๆ น้ำไหลเป็นแท่งกลมตกลงมากระทบแผ่นจาน ไม่กระเซ็นแรงออกมาข้างนอกอ่างล้างเลอะเทอะ
“ขี้เสือกเรื่องของกูจังเลยนะ”
“ก็แม่มึงเปิดประเด็นมาซะขนาดนั้น”
อีกฝ่ายยกยิ้ม
“เป็นใครจะอดทนไหว เรื่องของมึงแม่งโคตรน่าเสือกเลยไง”
มือรองน้ำสาดหน้าอีกฝ่าย ผงะหลบหน้าหนีด้วยสัญชาตญาณทันใด
“สมควร”
เขาสะใจเป็นไหนๆ
ใช่ว่าอีกฝ่ายจะหาทางเอาคืนไม่ได้ จึงฉกมือด้วยความว่องไวพริบตาเดียว กำปากก๊อกหลวมๆ ให้น้ำสาดกระเซ็นทุกทิศทางหว่างนิ้ว กระหน่ำซ้ำเติมด้วยการหมุนก๊อกเปิดจนสุด
เขาร้องลั่น เหยียดแขนตรงแน่ว มือปัดป่ายป้องกัน แลดูจะไร้ความหมาย ทั้งผมเผ้า ใบหน้า ไหลลงสู่คอ เปียกซึมเสื้อน้ำเย็นจัด
อีกฝ่ายหัวเราะได้ใจยกใหญ่
เขากว่าจะเอื้อมมือหมุนปิดน้ำได้สำเร็จ อีกฝ่ายก็ปัดป้องนานสองนาน
เขายืนแข็งทื่อหนาวสั่นสะท้านทั้งร่าง เสยผมร่วงปรกหน้าไปด้านหลัง
“พอเลย”
เขาสั่ง
“เลิกเล่น เดี๋ยวแม่กูลงมาว่า แล้วเห็นห้องครัวในสภาพนี้”
“มึงเริ่มก่อนเองนะ”
อีกฝ่ายย้อน
“จะมาโยนขี้ให้กูคนเดียวไม่ได้นะเว้ย”
“มึงจะช่วยกูล้างจานไหม”
เขาเปิดน้ำไหลเบาอีกครั้ง ยื่นมือหยิบฟองน้ำสีเหลือง บีบขวดน้ำยาล้างจานหนึ่งดวง
“แล้วจะให้กูทำอะไรบ้างล่ะ”
อีกฝ่ายรอคำตอบ
“คอยเช็ดจาน กับเก็บจานแล้วกัน”
“อือ”
อีกฝ่ายรับคำ
เขาเริ่มลงมือ วนฟองน้ำมีฟองสบู่สีขาวเกาะบนด้านหน้าจานและหลังจานอย่างละรอบ แค่ไม่ให้เห็นคราบอาหารเปื้อนอยู่เป็นพอ
“หรือจะเป็นมึงวะ”
อีกฝ่ายครุ่นคิดมาตลอด
“แต่มึงก็ดันมาคลับคล้ายคลับคลาไอ้เด็กบื้อขว้างลูกเบสบอลให้กูหวดได้ถูกในวันนั้นมากๆ เลยน่ะนะ”
“มึงว่าใครบื้อ”
เขาวาดมือเปื้อนฟองสบู่ปาดหน้าอีกฝ่าย หัวเราะชอบเสียงดังลั่น
อีกฝ่ายเช็ดมันด้วยสีหน้างุ่นง่าน
“โห่”
อีกฝ่ายส่งเสียงลากยาวเจ็บใจ
“เลอะเทอะหมด ไอ้เหี้ย --- ว่าแต่มึงร้อนตัว ก็ใช่มึงสิท่า”
“จะใช่กูแล้วไงวะ”
เขาทำเป็นไม่แยแสหน้าตาย
“ก็กูไม่ได้ถนัดเล่นกีฬาปะวะ โค้ชประจำโรงเรียนเห็นว่ากูน่าจะเล่นได้ ก็จับยัดกูเข้าทีมโรงเรียนเฉย”
“จริงดิ”
อีกฝ่ายแทบไม่อยากจะเชื่อหู
“แต่มึงก็ขว้างแม่น จนกูยอมใจเลยนะเว้ย”
“ไอ้สัตว์”
เขาผรุสวาท ดีดฟองน้ำยาล้างจานใส่หน้าอีกฝ่าย หลบหน้าสะบัด
“กวนตีนกูดีนัก ไอ้เวร”
“มึงเอาอีกแล้วนะ”
อีกฝ่ายคว้ามือด้วยความรวดเร็วฉับพลัน กะจะแย่งฟองน้ำ ไม่มีทางได้มันไปง่ายดาย เขาชักมือหนีด้านหลังทัน
“อะไร ---”
เขาเสียงสั่นเทาหัวร่อได้ที
“อะไรของมึง จะเอาคืนกูเหรอ ไม่มีทางหรอกว่ะ”
“มึงคิดงั้นเหรอวะ”
อีกฝ่ายหลังถูกปรามาส จึงพยายามสุดความสามารถของตัวเองแล้ว แต่ด้วยเขาสูงกว่าห้าเซนติเมตร
“ไอ้บื้อ”
อีกฝ่ายล้อเลียน
เขาโต้ตอบ
“ไอ้คิ้วปลิง”
พวกเขากอดรัดฟัดเหวี่ยงกันกลม เพื่อแก่งแย่งช่วงชิงฟองน้ำ หมายจะล้างแค้นเขาเสียให้สาแก่ใจตนเองบ้าง สลับผลัดเอาฟองสบู่ป้ายหน้าไปมา สนุกสนานจนลืมความเลอะเทอะสนิทใจ
อยู่ๆ อีกฝ่ายโถมสุดตัว เผลอลืมการทรงตัวไว้บ้าง เกือบจะพากันล้มหงายหลังระเนระนาดทั้งคู่ ดีแท้ที่เขาประคองร่างอีกฝ่ายบนตัวเขาได้เป็นอย่างดี แขนข้างหนึ่งโอบหลัง ใบหน้าแนบสันจมูกเขา
ราวกับทุกสิ่งอันในโลกหยุดเคลื่อนไหวชั่วกาลนาน เขาไม่รับรู้ถึงอะไรทั้งสิ้นชั่วขณะหนึ่ง กระทั่ง เสียงหัวใจกระแทกกระดูกซี่โครงรัวกระหน่ำดังอยู่ภายในโสตประสาทเพียงอย่างเดียว ปลุกให้เขารู้สติตื่นจากภวังค์ กลิ่นกายผสมปนเปกับน้ำยาล้างจานอบอวลในโพรงจมูกตราตรึง
เขาไม่รู้ตัวเองเมื่อพลั้งหลุดปากพูดความในใจเก็บไว้ส่วนลึกเนิ่นนานเต็มทน ประหนึ่งความรักที่มีให้อีกฝ่ายคือความลับไม่กล้าเปิดเผย นอกจากเก็บไว้เป็นคำสัญญาต้องห้าม
“กูชอบมึงนะ”
ร่างกายอีกฝ่ายเสมือนถูกไฟฟ้ากระชาก รีบผละออกห่างทันควัน เว้นระยะด้วยท่าทีประดักประเดิด เขาตกตะลึงกับตัวเอง สายตาจับจ้องข้างดวงหน้าแตกตื่น สติสตังเตลิดเปิดเปิง ยากจะชักรวมกลับมาอยู่นานสองนาน วินาทีนั้นเขาสัมผัสถึงอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นที่หน้าตัวเอง มันอาจแดงก่ำ มองไม่เห็นได้ เพราะความละอายหรือโกรธตัวเองกันแน่ ทำได้เพียงแค่ยืนบื้อใบ้อยู่แบบนี้ตลอดไป
อีกฝ่ายศอกกระแทกต้นแขน สำลักเสียงหัวเราะแห้งๆ พยายามทำสิ่งเปลี่ยนแปลง ซึ่งเกิดขึ้นตรงนี้ให้ดูเหมือนปกติ ราวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริงๆ มาก่อน หากเป็นจริงได้เพียงความฝันในหัวของเขาเท่านั้น
แม้แต่รอยยิ้มตรงมุมปากก็ลำบากยากเย็นแสนเข็ญ เขาจะวาดวงแขนโอบคออีกฝ่าย ให้ศีรษะอิงบนบ่าของเขา อย่างภาพในมโน แขนข้างนั้นกลับทิ้งตกลงมาข้างตัวอิสระและว่างเปล่า อีกฝ่ายก้มศีรษะหลบก่อน
“มึงพูดเล่นเหี้ยอะไรเนี่ย”
อีกฝ่ายคงปลอบประโลมจิตใจสั่นคลอนตัวเอง ว่ามันเป็นเพียงมุกตลก
“ใจหายใจคว่ำหมด ไอ้สัตว์”
มันคือความจริงจากใจเขา แต่ไม่อาจพูดอะไรเพื่อแก้ต่างได้สักประโยคเดียว
จึงก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดจานที่เหลือๆ ในอ่างล้าง ไม่พูดไม่จาอะไรอีก
“กูก็แค่ล้อมึงเล่นเอง”
เขายิ้มเจื่อนๆ ความเจ็บปวดรวดร้าวบาดลึกถึงกลางใจ บางความจริงจากใจไม่อาจให้ความเป็นจริงได้ ต้องถูกตัวเองตลบแตลงอีกทีหนึ่ง ส่งภาชนะเปียกน้ำให้อีกฝ่ายใช้ผ้าสะอาดสีขาวเช็ดจนแห้งสนิท ปราศจากเม็ดน้ำหลงเหลือสักหยดเดียว กระทั่งใบสุดท้าย
“ถ้างั้น --- เรียบร้อยหมดแล้ว”
อีกฝ่ายกล่าว
“กูขอตัวกลับก่อนนะ”
มือมันคาดหวัง หากรั้งอีกฝ่ายให้อยู่ต่อตรงนี้ตลอดกาล ดวงตาทำเขาผิดหวัง เพียงเฝ้ามองการกระทำกำลังดำเนินอย่างรวดเร็ว ไม่อาจมีอะไรยับยั้งเหตุการณ์ล่วงหน้าถ่องแท้ได้เลย อีกฝ่ายเช็ดมือให้แห้งง่ายดาย หันมาตบบ่าเขาง่ายดาย ออกจากห้องครัวง่ายดาย แผ่นหลังหยุดตรงหน้าประตูห้อง หมุนตัวกลับมาโบกมือลาสำหรับค่ำคืนนี้ง่ายดาย แล้วเอ่ยคำขอบคุณแม่ของเขา อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวตรงนั้น ก่อนจะเดินออกนอกบ้าน ขณะบานประตูค่อยๆ ปิดลง ทุกอย่างช่างแสนง่ายดายสำหรับอีกฝ่าย แต่ยากเกินทำใจสำหรับเขาหลายเท่ามากๆ
หลังพิงเคาน์เตอร์ครัว เธอหมายตรงมาหาเขาทันควัน มีประเด็นอยู่ในใจก่อนแล้ว
“ผมคิดว่าแม่จะอยู่ข้างบนห้อง”
เขาตั้งข้อสังเกต
“แล้วจะไม่ลงมาแล้วซะอีก”
“แม่ลงมาดูความเรียบร้อยน่ะ”
เหมือนเธอกำลังโกหกให้แนบเนียน
เขาไม่ได้ใส่ใจแยกแยะเท่าไร
“แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”
เขาเอ่ยถาม
“ประเด็นมันอยู่ข้างในตัวลูก”
เธอว่า
“แม่ไม่รู้หรอกนะ --- ว่าลูกจะใส่ใจหรือไม่ อย่าหาว่าแม่แอบฟังเลย แม่ได้ยินสิ่งที่ลูกพูด หากลูกจะถามว่าแม่คิดอย่างไร”
เธอยักไหล่ พลางสั่นหน้า
“ไม่เลย ต้องทำใจก่อนพูดแบบนี้นานไหม ก็ไม่อีกนั่นแหละ”
เธอเว้นช่วงพักหายใจหนึ่งวินาที หลังจากนั้นก็กล่าวต่อ
“แม่อยากมาบอกให้ลูกภูมิใจในสิ่งที่เป็น น้อยคนนักจะได้เป็นอย่างใจปรารถนา แต่ --- มันก็มีบางอย่างน่าเสียดายเราต้องกล้าหาญจะเผชิญ การไม่มีอะไรเป็นอย่างคาดหวังเสียทุกอย่าง ต่อให้ข่มจิตข่มใจมากขนาดไหน
ไม่ปล่อยให้ความหวังเล็กๆ น้อยๆ นั้นหลุดรอดออกมาเป็นอิสระจากส่วนลึกของก้นบึ้ง ที่เรากดทับมันเอาไว้ มันก็พยายามเติบโตและแข็งแกร่ง ยากเกินต้านทานไหวภายใน บั่นทอนจนเราต้องอ่อนแรง กระทั่งหักห้ามไม่ได้จะไม่แอบหวัง สุดท้ายอย่างไร เราก็ต้องยอมรับมันอยู่ดี แม่ก็ชื่นชอบในตัวเขามากๆ นะ เอาจริงๆ เขาชอบผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะ”
“ก็ชอบผู้ชายเหมือนผม”
เขาตอบ
“หรือเพราะคำว่าเพื่อนล่ะ”
เขาส่ายหน้าทันใด
“เขาแอบชอบคนอื่นอยู่มากกว่าต่างหากล่ะครับ แม่”
เธอขยับเข้าใกล้ อ้าแขนเพื่อโอบกอดเขาในอ้อมแขนเล็กอบอุ่นหัวใจเหลือหลายสักพัก มันสร้างความมั่นคงในจิตใจเคว้งคว้างได้อย่างไม่น่าเชื่อ เสียงแผ่วกระซิบอยู่ข้างหูเขา “รักเขาหมดหัวใจแล้ว ก็อย่าลืมว่าหัวใจให้เริ่มต้นใหม่กับใครสักคน พร้อมจะรักลูกบ้างนะ ลูกยังต้องมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่เพื่อแค่ใครคนหนึ่งที่ไร้รักเรา แม้มันจะสำคัญต่อความรู้สึก หรือหัวใจมากก็ตาม”
มันพอช่วยเยียวยาบาดแผลของจิตใจให้ดีขึ้นมาได้บ้าง ตราบใดพวกเขายังอยู่ด้วยกันปกติ เหมือนทำร้ายกันต่อเนื่อง โดยอีกฝ่ายไม่มีทางตระหนักรู้ เป็นแผลฉกรรจ์ร้ายแรง หนักข้อยิ่งกว่าเมื่อเบื้องหน้าของเขาบนเส้นทางเดินเท้า อีกฝ่ายกำลังวิ่งเล่นหยอกล้อกับนิโคไลภายใต้ทวนลมหนาวเหน็บสนุกสนานสมใจตนต้องการสักที
หากอีกฝ่ายไม่ใช่คนพิเศษ หาได้ยากมากๆ ที่จะมองหาเจอได้ดาษดื่นน่ะนะ เขาคงไม่ต้องรู้สึกสูญเสียอะไรไปหลายอย่างขนาดนี้ จะไม่นึกเสียดายเลยสักนิด ถึงไม่เคยได้เป็นของตัวเองเลยก็ตาม
อีกฝ่ายเดินถอยหลัง มือล้วงกระเป๋าแจ็กเกตสีเขียวมะกอกตัวหนา เทียบเคียงนิโคไลทุกฝีเก้าเลยทีเดียว
เขาเสมองไปทางอื่น รู้เลยว่าอาการฉุนเฉียวในอารมณ์ตอนนี้ อีกฝ่ายย่อมดูออกไม่ลำบาก พ่นลมหายใจระบายความงุ่นง่านข้างใน
“ถ้าหากมึงไม่ไหว จะขอตัวกลับก่อน กูก็ไม่ได้ติดขัดอะไรนะ”
อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง กับอาการล่อแล่ สู้ไปอย่างไรก็ต้องยอมศิโรราบโดยดี
“เพราะกูจะไปต่อกับนิโคไล”
ถึงอากาศจะเย็นเหยียบเพียงไร ดวงตาของเขาร้อนผ่าว รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา ระบายความปวดร้าวในใจ ทว่า ไม่มีน้ำตาสักหยด ไม่ใช่ร้องไห้ฟูมฟาย เพื่อบ่งบอกถึงการเรียกร้องความเห็นใจ ร้องไห้เพื่อปลดเปลื้องทุกความรู้สึกเป็นอิสระ ไม่กักเก็บอัดอั้น ร้องไห้เพื่อให้ตัวเองตระหนักว่าอ่อนแอเป็น ไม่ใช่คนเข้มแข็งทั้งด้านชา ใครจะทำร้ายมันอย่างไรก็ได้ โดยไม่สะทกสะท้านอะไรเลย ย้ำเตือนว่าหัวใจดวงนี้ไม่ต้องการบาดเจ็บอีกแล้ว
“ถ้าหากพวกมึงสองคน”
เขากล่าว
“ไม่มองว่ากูเป็นสิ่งขวางหูขวางตา กูก็ไปกับมึงได้ทุกที่นั่นแหละ”
แม้เขาไม่เข้าใจตัวเอง จะฝืนทนกับการเป็นก้างขวางคอพวกเขาสองคนเพื่ออะไร เขาเป็นคนเพียงคนเดียวต้องเจ็บปวดลำพัง พวกเขาจะไม่รับรู้เด็ดขาด ต่อให้สาธยายมันออกไป จะเหลือใครแยแส
“กูกับนิโคไลไม่คิดแบบนั้นกับมึงหรอก”
อีกฝ่ายรับประกัน
“ไปด้วยกันได้อยู่แล้ว มึงก็เพื่อนสนิทกู ไม่มีอะไรขัดหูขัดตาหรอก”
พวกเขาสามคนมายังสนามเด็กเล่นขนาดย่อม ตามจริงมีแค่พวกเขาสองคนตั้งใจมาด้วยกันเอง เขาเคยผ่านหูผ่านตากับสถานที่แห่งนี้มาแล้วบ้าง แต่ไม่เคยได้เข้ามาสัมผัส มันอยู่ใกล้ๆ ละแวกบ้านอีกฝ่ายนั่นเอง
มันช่างเป็นความจริงอันแสนโหดร้ายโดยสมบูรณ์แบบ เมื่ออีกฝ่ายทำเหมือนคืนสารภาพบาปของเขาไม่ใช่ความจริง ทำตัวสนิทไม่ห่างหายอย่างเคย ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ตีตัวออกหาก ในความไม่ซื่อตรงของคำปฏิบัติฐานะเพื่อนที่สนิทสนมกันมากที่สุด
แถมนิโคไลยังยื่นมีดแห่งความเป็นมิตรมาให้เขาใช้ทิ่มแทงตัวเอง รอยยิ้มกระอักเลือดเจียนตาย คำพูดสร้างสัมพันธ์อันดีถูกอาบด้วยยาพิษรุนแรง ขณะไล่ตามบันทึกภาพสะสมไว้ในอัลบั้มภาพความรักแรกแย้มในฤดูหนาว ที่ทุกสิ่งอย่างในโลกล้วนแห้งเฉาตาย ต้นไม้จำนวนมากเริ่มยืนต้นโกร๋นถ้วนทั่ว ทะเลขาวโพลนจะร่วงโรยจากฟากฟ้าสีครามยังไม่มาเยือน ทับถมคอนกรีตเสียมิดทั่วทุกหนทุกแห่ง
หิมะแรกโปรยปรายเมื่อปีนั้นมาถึง อีกฝ่ายไม่น่าจะเผลอลืมไปหรอก ว่านี่คือค่ำคืนแห่งวันเกิด ซึ่งเพื่อนคนอื่นๆ ไม่มากนักมากันครบทุกคน ผลักประตูอันยินดีต้อนรับจากเจ้าบ้านและเจ้าของวันเกิด เพื่อได้รับคำอวยพร
เขากลับพะวักพะวนอยู่ที่บานประตูหน้าบ้าน ครั้นไม่เหลือใครอื่นมาสมทบอีกแล้วจริงๆ อย่างน้อยๆ ให้อีกฝ่ายเป็นคนสุดท้ายก็ยังดี ที่จะร่วมร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้กับเขา ซึ่งไร้วี่แวว กระทั่งเวลาร่วงเลยจนเสียงประสานจบลง ไม่พร้อมเพรียงกันนัก ตามใจผู้ขับขานด้นสด ปราศจากการซักซ้อม ประสบการณ์ทำนองนี้มีอยู่เรื่อยๆ ทั้งที่ไพเราะบ้างและไม่
เทียนทุกเล่มดับรวดเดียวใต้กระแสลมปาก ไม่มีคำอธิษฐานใดจะขอให้ตัวเองสมหวัง เพราะไม่ได้ตระเตรียม สติสัมปชัญญะตอนนี้ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาไม่พร้อมกับอะไรทั้งนั้น
แม่ของเขาวางมือลงบนบ่า เอ่ยกับเขาว่า “อายุยี่สิบเอ็ดของลูกยังคงมีความสุขรอคอยอยู่ข้างหน้า จงหามันให้เจอ และใช้มันให้คุ้มค่าตลอดช่วงอายุเดียวน่ะนะ” เขารับรู้ความรู้สึกเห็นใจอย่างยิ่ง บรรยากาศที่ควรจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข สนุกสนาน ครื้นเครง งานสังสรรค์รื่นรมย์กลับถูกย้อมด้วยสีเทาหม่นหดหู่ใจ เพื่อนๆ คนอื่นมองมันไม่เห็นผ่านตาเปล่า
“มึงยังจะเฝ้ารอมันอยู่อีกเหรอวะ”
โจนาธานยืนอยู่หน้าประตูบ้าน หลังงานเลี้ยงวันเกิดแสนไม่น่ายินดีสิ้นสุดลง เพื่อนคนอื่นต่างทยอยกลับบ้านของตัวเองกันหมดแล้ว จึงเหลือพวกเขาสองคนสุดท้าย
“กูไม่ได้รอใครสักหน่อย”
“อาการมึงมันฟ้อง”
โจนาธานอ่านมันได้ง่ายเกินไป
“มันไม่ได้เลวร้ายหรอก หากจะยังมีความหวัง ถึงแม่งจะริบหรี่เต็มทน เท่าที่กูพอรู้มาน่ะนะ มันอยู่ที่งานเลี้ยงวันเกิดบ้านนิโคไล ทำใจเถอะว่ะ”
หากหนีหน้าหายจากความทรมานกายและใจไม่ได้ตลอดกาล ถูกย้ำเตือนเมื่อถึงคราแล้ว เรื่องราวระหว่างเพื่อนอยากเป็นมากกว่าเพื่อนจะจบลง ต้องจากลากันในงานเลี้ยงวันเกิดของอีกฝ่าย จัดขึ้นที่บ้าน
เขารอจวบจนเพื่อนคนอื่นๆ ต่างพากันกลับไปหมดแล้ว เหลือเพียงพวกเขาสามคนยังอยู่กันที่นี่ นิโคไลไม่ได้อยู่ใกล้ๆ แถวนี้ เขาไม่มั่นใจนัก แต่ก็เลิกสนใจไปในท้ายที่สุด
อีกฝ่ายเมาแอ๋ราบคาบบนโซฟาหนังสีน้ำตาลไหม้ เขานั่งคุกเข่าลง จับจ้องใบหน้านิ่งสงบ ไม่สามารถรับรู้สิ่งรอบตัวเป็นไปได้ตลอดค่ำคืนนี้ แม้แต่ริมฝีปากขยับเข้าแนบเป็นตัวแทนของคำอำลา ว่าหลังจากนี้ เขาจะต้องอยู่โดยชีวิตปราศจากอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ให้ไหวและไม่เหมือนเดิมตลอดไป จะย่ำแย่ขนาดไหน เขาต้องทำให้เวลาของตัวเองเดินต่อไปห้ามหยุด เพื่อจะใช้เยียวยาบาดแผลนี้ ถึงจะหายขาด ก็ยังทิ้งรอยแผลเป็นที่สมานแล้วย้ำเตือนเรื่องราวของมันอยู่ดี
เขากำลังทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง นิโคไลร้องเรียกเขาเบาๆ จากข้างหลัง
“มึงชอบเขา”
นิโคไลฉงน
“แต่ทำไมไม่บอกเขาไปวะ”
“รู้ได้ไง”
เขาประหลาดใจไม่น้อย และรู้สึกหวั่นใจว่านิโคไลอาจเห็นภาพจูบนั้น ที่อีกฝ่ายจะไม่มีวันรู้เลยว่าเคยเกิดขึ้นเมื่อไร เขาได้ประทับไว้ให้เป็นสิ่งแทนตัวเอง
“ก็กูเห็นมึงจูบกับแฟนกูไง”
“กูต้องขอโทษด้วยว่ะ”
ข้างในลึกๆ แล้ว เขาไม่ได้รู้สึกผิดเลยด้วยซ้ำ อยากทำอะไรก็ทำไป โดยไม่ต้องสนใจใครหรืออะไรทั้งนั้น
“ช่างมันเถอะ”
นิโคไลแลดูจะเข้าใจเขามาก่อนตกลงคบหาดูใจกับอีกฝ่ายแล้ว มันชัดเจนแจ่มแจ้งเวลานี้นี่เอง นิโคไลรู้สึกเห็นใจเขาจริงจัง
“ถึงได้บอกไปแล้ว”
เขาสรุป
“มันก็ไม่ได้มีความหมายสำคัญกับมันเลย ยังไงก็ขอตัวกลับก่อนนะ ฝากสวัสดีมันตอนเช้า และบอกลาด้วยล่ะ ว่ากูบอกมา”
นิโคไลพยักหน้ารับคำ
หลังจากเหตุการณ์วันสุดท้ายคราวนั้น ทำเขาเคยเกือบเชื่อเสียสนิทใจแล้วว่า ตัวเองสามารถสลัดอีกฝ่ายออกไปจากชีวิตได้จริงๆ ไม่เหลือสิ่งใดให้หวนถวิลหาอีกเด็ดขาด
อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนั้น
สายตาจ้องมองตรงมายังเขาไม่ไหวติง
ฉุกนึกถึงอีกหนึ่งเหตุการณ์ตอนนั้น ยังคงจำได้ดี ตัดสินแน่นอนแล้วว่า ชิ้นส่วนของอีกฝ่ายยังไม่หมดไปจากชีวิตโหยหา บ้านเล็กกะทัดรัดแสนอบอุ่น ทอดสายตาจ้องมองผ่านหน้าต่างกระจกเข้าไป เห็นเพียงอีกฝ่ายกับชายหนุ่มซึ่งน่าจะอายุอ่อนกว่าหลายปี ไม่ใช่นิโคไลคนนั้นอีกแล้ว เป็นใครเขาไม่ทราบได้ กำลังโยกย้ายในจังหวะเนิบช้าฉลองงานวันเกิดของอีกฝ่ายอันราบเรียบลำพังกันแค่สองคนเท่านั้น
สายลมอันเย็นยะเยือกหอบหนึ่งพัดผ่านมาปะทะร่าง เส้นผมสีบลอนด์บางเส้นพลิ้วไหว ฉุดเขากลับสู่โลกปัจจุบันกำลังเป็นไป
อีกฝ่ายคือบาดแผลเก่า ซึ่งลืมเสียเนิ่นนานแล้วว่ามันเคยอยู่ตรงไหนในตัวเขา หากยังคงมีรอยแผลเป็นสลักอย่างกับรอยสักอัปลักษณ์ชั่วชีวิต ไม่มีทางลบเลือนได้ เมื่อไรก็ตามบังเอิญเห็นมันเข้า
เขาก็จะจดจำทุกเรื่องราวที่เป็นตัวการสำคัญ ครั้งหนึ่งทำให้เกิดรอยแผลเป็นนี้มาได้อย่างไร
มันจดจำได้ดี --- ได้ดีเกินไปเสียด้วยซ้ำ
รถโดยสารจอดเทียบป้ายรับผู้โดยสาร บดบังอีกฝ่ายพ้นจากสายตาของกันและกัน เคยจับจ้องไม่ละสายตา เขาก้าวขึ้นรถคันใหญ่ มองหาที่นั่งตรงริมหน้าต่าง ยังคงเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนั้นอยู่เลย
ก่อนที่รถโดยสารเริ่มเคลื่อนล้อไปข้างหน้า ไม่มีการถอยหลังกลับให้เสียการ ร่างอีกฝ่ายค่อยๆ เล็กกะจิริด เมื่อห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จนมองไม่เห็นแล้ว เฉกเช่นกับความรู้สึกยากจะหยั่งถึงเคยรู้สึกอย่างไรมาก่อน
ถ้าเป็นไปได้ เขาไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้อีกแล้ว
ติดตามงานเขียนเรื่องสั้นอื่นๆ ได้ที่
โฆษณา