15 ธ.ค. 2022 เวลา 02:05 • ท่องเที่ยว
ภาพจิตรกรรมพุทธประวัติ .. พระที่นั่งพุทไธสวรรค์
ภาพจิตรกรรม"พุทธประวัติ" ที่ละเอียดและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทยในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ผนังระหว่างหน้าต่างจำนวน ๒๘ ห้อง
 
วาดภาพพุทธประวัติ ตั้งแต่ตอนวิวาหมงคลของพุทธบิดาพุทธมารดา จนถึงตอนแบ่งพระบรมสารีริกธาตุ ภาพวาดทั้งหมดเดิมวาดขึ้นพร้อมกับการสร้างพระที่นั่งในสมัยรัชกาลที่ ๑ และได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ ๓, ๔ และยุคปัจจุบัน โดยสังเกตจากเทคนิคที่เพิ่มเติมเข้ามาในแต่ละสมัย และเป็นที่น่ายินดีว่า ภาพทั้งหมดได้รับการอนุรักษ์ให้คงเอกลักษณ์ดั้งเดิมโดยไม่ผิดเพี้ยน
จิตรกรรมฝาผนังในเอเชีย มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว แต่ชาวตะวันตกไม่ค่อยจะรู้จักกันมากนักซึ่งอาจจะเนื่องจากอยู่คนละซีกโลก และการขาดความรู้เกี่ยวกับโลกตะวันออก ดังนั้นโลกปัจุบันที่มีกลิ่นอายของโลกตะวันตกคลุมอยู่ จึงสูญเสียขุมทรัพย์ทางปัญญาจากโลกตะวันออกอันสำคัญยิ่ง ซึ่งนับน่าเสียดายเป็นอย่างมาก
จิตรกรรมฝาผนังของไทย จะไม่มีความลึกของภาพ โดยหลักทัศนียวิทยา (perspective)แบบศิลปฝรั่ง (กล่าวคือมีวัตถุมีขนาดใหญ่ๆอยู่ใกล้ผู้ดูภาพแล้วค่อยๆเล็กลงไปจนสุดสายตา)
... แต่จะเป็นการเขียนภาพที่ตัวละครและสิ่งของต่างๆ มีขนาดเท่ากัน แต่ผลักระยะให้ห่างออกไป ด้วยการใช้พื้นที่และน้ำหนักของสี แบ่งภาพเป็นช่องๆ เล่าเรื่องราวต่างๆโดยใช้ภูเขาบ้าง ต้นไม้บ้าง คั่นเพื่อแบ่งเรื่องของภาพ โดยเฉพาะการใช้เส้นหยักๆ ขนาดใหญ่ๆ หรือไม่ก็เส้นที่คล้ายคลื่น เพื่อแบ่งภาพ ที่เราเรียกกันว่าเส้นสินเทา
จิตรกรรมฝาผนังของไทยยุคก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ) ซึ่งคือยุคกรุงศรีอยุธยานั้น สกุลช่างอยุธยาจะใช้สีน้อยมาก เช่น แดงจากชาด ดำจากเขม่าควัน ขาวและเหลืองจากดินขาวดินเหลือง และสีทองจากทองคำเปลว
.. แต่พอเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์และรัตนโกสินทร์ตอนปลาย การใช้สีจะหลากหลายมากขึ้น เพราะมีสีวิทยาศาสตร์จากจีนและญี่ปุ่นนำเข้ามา มีการใช้เส้นนำสายตาสร้างความลึกของภาพแบบฝรั่ง (perspective) ไม่เป็นภาพแบนๆอีกต่อไป และมีโครงสร้างสีคล้ายกับว่าได้รับอิทธิพลจากศิลปอิมเพรสชั่นนิสต์
… แต่อย่างไรก็ตามจิตรกรรมฝาผนังไทยก็ยังคงมีเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างเหนียวแน่น จิตรกรรมฝาผนัง สมัยรัตนโกสินทร์เปรียบเทียบกับสมัยอยุธยา สมัยอยุธยาจะใช้สีน้อยกว่า การใช้เส้นสบัดแรงกว่า สมัยรัตนโกสินทร์จะใช้สีมาก ตัดเส้นละเอียด นิยมทำฉากหลังเป็นสีเข้ม เพื่อให้ตัวละคอนเด่นออกมา
พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เป็นพระที่นั่งภายในพระราชวังบวรสถานมงคล สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท เดิมมีนามว่า พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ เดิมสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทมีพระราชดำริให้สร้างขึ้นเพื่อทำการพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีตรุษสารท พระราชพิธีโสกันต์พระเจ้าลูกเธอ เป็นต้น
… หลังจากนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2330 พระองค์เสด็จไปยังเชียงใหม่ และไดัอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมา พระองค์จึงทรงพระราชอุทิศพระที่นั่งองค์นี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ ต่อมา สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ทรงเปลี่ยนนามพระที่นั่งองค์นี้ว่า พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ปัจจุบัน พระที่นั่งพุทไธสวรรย์เป็นส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สร้างพระที่นั่งขึ้น เดิมมีพระดำริว่าจะใช้สำหรับเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีตรุษสารท พระราชพิธีโสกันต์พระเจ้าลูกเธอ
ในระหว่างนั้นเมื่อปี พ.ศ. 2330 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมีพระบรมราชโองการให้พระองค์เสด็จขึ้นไปยังเมืองเชียงใหม่เพื่อสำรวจการสร้างเมืองขึ้นใหม่ให้ประชาชนอยู่ได้ตามปกติ ซึ่งในขณะนั้น เมืองเชียงใหม่อาจจะถือได้ว่าเป็นเมืองร้างเนื่องจากเกิดศึกสงครามอยู่บ่อยครั้ง ประชาชนส่วนใหญ่จึงอพยพลี้ภัยไปอาศัยอยู่เมืองอื่น
.. ในระหว่างการสำรวจนั้น พระองค์ได้พบพระพุทธสิหิงค์ และทรงระลึกได้ว่าเป็นพระพุทธรูปที่เคยประดิษฐาน ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา พระองค์จึงอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ลงมาที่พระนคร แล้วทรงพระราชอุทิศพระที่นั่งองค์นี้ พร้อมทั้งสร้างปราสาททองห้ายอดถวายเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ และประทานนามพระที่นั่งว่า "พระที่นั่งสุทธาสวรรย์"
ภายหลังการเสด็จทิวงคตของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระราชดำริว่า "พระพุทธรูปเงินทองและของพุทธบูชามีอยู่ในพระที่นั่งสุทธาสวรรย์มาก หากทิ้งไว้ผู้ร้ายจะลักเอาไปเสีย" ดังนั้น จึงโปรดฯ ให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์และพระพุทธรูปอื่น ๆ มาประดิษฐานไว้ที่พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งแต่นั้นมา
ในสมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ พระองค์โปรดให้รื้อปราสาททองห้ายอดซึ่งเคยประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ออก แล้วให้ตั้งพระแท่นเศวตฉัตรแทนเพื่อใช้เป็นที่เสด็จออกแขกเมือง และพระสงฆ์ถวายพระธรรมเทศนา
ต่อมา สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงปฏิสังขรณ์พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ใหม่ ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า การปฏิสังขรณ์ในครั้งนี้เป็นที่น่าชมอย่างหนึ่งที่ของเดิมสิ่งใดดีเอาไว้หมดทุกอย่าง เป็นแต่ซ่อมแซมที่ชำรุด จึงยังแลเห็นของเดิมที่ทำโดยประณีตบรรจงมาจนทุกวันนี้ พร้อมกันนี้ พระองค์ทรงเปลี่ยนนาม "พระที่นั่งสุทธาสวรรย์" เป็น "พระที่นั่งพุทไธสวรรย์"
... อาจจะด้วยเหตุผล 3 ประการ ได้แก่
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ขึ้นภายในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งมีชื่อที่ใกล้เคียงกับพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ ดังนั้น สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพจึงเปลี่ยนนามพระที่นั่งเพื่อให้แตกต่างไป
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพโปรดให้สร้างพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยขึ้นใหม่ ดังนั้น จึงได้เปลี่ยนชื่อพระที่นั่งเป็น "พระที่นั่งพุทไธสวรรย์" เพื่อให้ชื่อคล้องจองกัน
หลังจากการสร้างพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พระองค์ทรงให้ย้ายพระแท่นเศวตฉัตรซึ่งเดิมตั้งอยู่ที่พระที่นั่งสุทธาสวรรย์ไปไว้ที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พระองค์คงมีพระราชดำริให้พระที่นั่งสุทธาสวรรย์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปดังที่เคยเป็น จึงเปลี่ยนพระที่นั่งใหม่เป็น "พระที่นั่งพุทไธสวรรย์"
หลังจากนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประทับที่พระบวรราชวัง พระองค์ได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้อัญเชิญไปประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม กลับมาประดิษฐาน ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ดังเดิม
Ref: ไม่ทราบที่มาของเนื้อความด้านบน แต่ขอขอบคุณเจ้าของบทความอย่างสูงค่ะ
โฆษณา