20 ธ.ค. 2022 เวลา 11:30 • นิยาย เรื่องสั้น
เป็นเพื่อนกันแบบนี้ดีแล้ว
สบตา
ยิ้มแรก
ยิ้มตอบ
กาลครั้งหนึ่งของความทรงจำ ยังคงจดจำมันได้ดี ความรู้สึกของตอนนั้น มันเป็นอย่างไรมาก่อน ผ่านมาสองปีแล้ว มันก็นานพอสมควรแหละล่ะ เมื่อเรามีระยะห่างกับมันมากเท่าเวลาผันผ่าน ความรู้สึกที่มีต่อกัน ตั้งแต่วันแรกของม.4 เทอมแรก
มันยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งเปลี่ยนแปลง หรือออกมาเปิดเผยความรู้สึกชัดเจนต่อกัน สำหรับผมมันชัดเจนอยู่แล้ว จนไม่ต้องพูดก็ได้มั้ง แล้วมันพอสำหรับอีกคนไหมล่ะ อันนี้ผมต้องรอเขาทักท้วง เมื่อเพิ่งมาตระหนักเอาเวลานี้ เหลือเวลาอยู่ด้วยกันเท่าไรแล้วนะ ตลอดทั้งเทอมสอง ประมาณสี่ถึงห้าเดือน ราวๆ นี้
นิ้วชี้เขี่ยท้ายทอย
มันดึงความสนใจจากทางหางตา ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่หรอก ที่มีคนมายุ่มย่ามกับคนของความรู้สึก
แต่แป๊บๆ ก็หาย เมื่อฉุกว่าเขาคิดอะไรไม่คิดอะไร
เขาเอี่ยวตัว หันไปมอง บนใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
ฝ่ายนั้นยิ้มกรุ้มกริ่ม
"เล่นอะไรเนี่ย ต้า"
น้ำเสียงไม่ได้แสดงถึงความไม่สบอารมณ์ ฮึดฮัด โมโหฉุนเฉียว หงุดหงิด หรือรังเกียจ ถูกคุกคามโดยไม่ตั้งตัว แต่ไม่ได้ต้องการ
เขามองผม
ผมละสายตาไปทางกระดานดำหน้าห้องเรียน ไม่ได้หึงหวง ออกอาการให้รู้ว่าไม่ได้คิดอะไรมาก ถึงจะไม่ชอบใจนักหรอก เขาคงไม่เข้าใจผมเป็นแน่ ผมจึงไม่พยายามแก้ต่าง
"วันเสาร์นี้ว่างไหม"
ต้าเอ่ยถาม
เด็กหนุ่มร่างเล็กบอบบาง บุคลิกออกสาวชัดเจน มีท่าทีสร้างสะพานให้เขา ตั้งแต่เปิดภาคเรียนที่หนึ่ง เขาซึ่งไม่ปฏิเสธ แต่ไม่ได้ตอบสนองความต้องการอีกฝ่ายกลับ ทึกทักว่าเขานั้นหลอกให้ความหวังฝ่ายเดียว
"จะชวนไปไหนล่ะ"
ผมนั่งอยู่ข้างๆ ได้แต่คอยยื่นหูฟังการพูดคุยกระซิบนี้ ถามว่าใส่ใจจริงจังไหม คงไม่ปฏิเสธเพื่อวางมาด
บางครั้งบางที เขาก็จิตใจเป็นมิตรเกินไป ไม่ค่อยเป็นคนปฏิเสธอะไรเก่งนัก หากไม่เห็นสมควรจริงๆ และเขาจะยื่นมิตรภาพกับใครก็ตามเสมอ ซึ่งมาอย่างมิตรก่อนน่ะนะ เขาไม่คัดสรรคนมากนักหรอก
ส่วนเขาก้มหน้าพูด โดยไม่หันกลับไปมองคู่สนทนา
"เราอยากไปดูหนังอะ เบสต์"
อีกฝ่ายบอก
"เราคงไปไม่ได้หรอก"
"อ่าว"
ฝ่ายนั้นร้องเสียงผิดหวัง
ผมเผลอหลุดสำลักหัวเราะพรืดหนึ่ง
เบสต์ถองศอกเข้าสีข้าง ผมตอกกลับอย่างไม่ยอมกัน
"เป็นเหี้ยอะไรของมึง"
ผมไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับ เพราะเป็นคำถามไม่ต้องการคำตอบจริงๆ จังๆ
รู้สึกชื้นใจนัก
เขาไม่ได้ใจดีทุกครั้งไป
ผมเหลือบมองเบสต์แวบหนึ่ง
นึกถึงช่วงเริ่มต้นขึ้นของความสัมพันธ์ ระหว่างสองเรา เขาเป็นคนเริ่มดึงดูดผมเข้าสู่วงโคจร หากผมไม่ได้เป็นเกย์รับ ผมคงมองข้าม มองมันเป็นเพียงมิตรภาพเพื่อนผู้ชายด้วยกัน และผมรับประกัน ณ แรกพบสบตาได้เลย ไม่มีทางเข้าใจผิดถนัด เขาต้องเป็นเกย์แน่นอน แต่อยู่ที่ว่าเขาอยู่ในสถานะไหนเท่านั้นเอง แต่ยังเป็นที่น่าสงสัยสำหรับผม เขามองออกได้ยังไง ว่าผมเองก็เป็นเกย์ ทั้งที่บุคลิกปกติของผม ก็เป็นเด็กผู้ชายทั่วๆ ไป กระนั้น เราล้วนต่างมีโอกาสเข้าใจผิดแบบห้าสิบห้าสิบเลยนะ
ผมยืนเก้กังแถวๆ หน้าห้องเรียน
เขาจับกลุ่มกับเพื่อนสองอีกคนหลังห้องเรียน
เขามองมา
จ้องผมอยู่ครู่หนึ่ง
แย้มยิ้ม
ผมรู้สึกอึดอัดประดักประเดิด
แต่ไม่หวั่นจนละสายตาหนี
เขาลุกขึ้น เปิดฉากตรงดิ่งมาหาผม แขนยาวรวบคอ ลากตัวผมไปที่นั่งหลังห้อง
"มึงชื่ออะไรวะ"
เขาเอ่ยถาม
"เด็กใหม่"
ผมไม่ได้ตอบทันที ค่อนข้างมึนงงทั้งตะลึงงันกับสถานการณ์รวบรัดนี้
กว่าผมจะตอบ ผมไร้ซึ่งสติอยู่กับเนื้อกับตัวขณะหนึ่ง สายตายากละจากเขา ราวกับถูกสะกด
ตอนนั้น ผมรู้สึกอะไรกับเมื่อแรกพบสบตากับเขาเลยไหม ผมไม่โกหกตัวเองหรอก ผมคงขาดเขลา หลงเชื่อคำโกหกตัวเองกับตัวเองอีกที ไม่มีใครโกหกตัวเองได้หรอก มีแต่ยอมรับกับไม่ยอมรับแค่นั้น ซึ่งผมนั้น มีหรือผมจะปล่อยเขาเลยผ่านไป เฉกเช่นเวลานับจากนั้น ที่จะมีเขาสร้างเรื่องราวทั้งน่าจดจำและไม่ไปด้วยกัน มันคงเป็นประสบการณ์ยอดเยี่ยมน่าดูทีเดียว
เขากระตุกคอผม ดึงสติกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ร้องเรียก 'เฮ้ย มึง!' ไปพลาง
"ไอซ์"
ผมบอก
"เออ"
เขากล่าว
"กว่าจะบอกชื่อมึงได้ --- กูชื่อเบสต์นะ"
เขาพยักพเยิดไปที่เพื่อนอีกสองคน
"ส่วนเพื่อนกูอีกสองคน ชื่อมอสต์กับฟลุ๊ก"
ทั้งสองฉีกยิ้มกว้าง เป็นการแสดงความยินดีต้อนรับ
"มึงนั่งกับกูทุกคาบเลยนะ ไอซ์"
ผมพยักหน้าตอบรับ
เพราะตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมไม่เคยมีโอกาสได้นั่งกับใครอื่น เบสต์จะลากผมไปนั่งข้างด้วยตลอด ไม่ว่านั่งเรียน นั่งเล่นในคาบว่าง เวลาพักกลางวัน ที่นั่งในโรงอาหาร หรือแม้แต่เดินไปไหนมาไหน ก็เดินเทียบเคียงกัน
ผมไม่รู้ว่าเป็นกำลังกายและใจสำหรับการต้องมาเรียนทุกวันของเขาไหม ตอนที่เขาไม่สบาย ป่วยเป็นไข้ ยังพยายามหอบสังขาร มาทรมานตัวเองต่อที่โรงเรียน แทนที่จะนอนพักฟื้นอยู่บ้าน เขาบ้าหรือโง่ หรืออะไรกันนะ แต่ถ้าภาษาคนมีความรัก เขาเรียกว่าคลั่งรักใช่ไหม ไม่ก็หวงที่นั่งคนข้างผม ก็เป็นได้ทั้งนั้น
ถึงผมจะเคยถามเจ้าตัวแล้ว เขาบอกเพียงว่า เขาไหว แต่ขอครูประจำวิชา ฟุบหน้าหลับทั้งคาบ อย่างไรก็ตาม เขาได้รับความเอ็นดู ของเด็กเพียรไม่ขาดเรียน มันไม่ได้ต่างอะไรกันนักเลย ส่วนผมป่วยเป็นไข้บ้างน่ะเหรอ เขาบังคับให้ผมหยุดเรียน แล้วเขาก็หยุดด้วย เพื่อมาขลุกอยู่ที่บ้านของผม
ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ หยุดนักขัตฤกษ์ ปิดเทอมเล็ก กระทั่งปิดเทอมใหญ่ เบสต์มักมาอยู่บ้านของผม มาเช้าเย็นกลับบ้าง แต่ส่วนน้อย เพราะส่วนมาก บ่อยครั้ง ต่อเนื่องกันหลายวันติด นานเกือบทั้งสัปดาห์ นอนค้างอ้างแรมที่ห้องนอนของผม ด้วยข้ออ้างในลูกไม้เดิมๆ อย่างอยู่กันช่วยทำการบ้าน ไม่ก็รายงานค้างคา
ทีแรก เขามีปัญหากับทางบ้าน เรื่องที่ไม่ค่อยอยู่ติดกับบ้าน หรือกลับบ้านตัวเอง และการทำตัววุ่นวายบ้านคนอื่น ทำอย่างกับตัวเองไม่มีบ้านอาศัยเป็นหลักเป็นแหล่ง อย่างที่พ่อแม่เขามองดูแล้วไม่ดูดีนัก เขาที่สนิทสนมกับทางบ้านผม และพ่อแม่ผมไม่ได้ติดขัดอะไรกับเรื่องนี้เลย มองว่าเขาประหนึ่งลูกชายอีกคน แม่ผมจึงช่วยเป็นธุระเจรจาแก้ต่าง เพื่อทำให้ครอบครัวเขาสบายใจขึ้นมาได้
น้อยครั้ง ผมจะได้ไปเที่ยวบ้าน และอยู่ค้างคืนห้องเขา การที่เขาชอบมาอยู่ห้องผมมากกว่า เขาอยากสร้างสัญลักษณ์ของตัวเองและผม ให้มันดูเป็นห้องของเรา โดยการมีเสื้อผ้า หรือข้าวของเครื่องใช้บางอย่างของเขา ทิ้งไว้ที่ห้องผม และไม่เคยเอากลับเลย
สายเสาร์วันหนึ่ง ผมนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เขานั่งอยู่ข้างผม หัวเข่าติดกัน มือข้างขวาวางครอบเมาส์ มือซ้ายวางเหนือแป้นพิมพ์
ผมสลับหน้าต่างเกม กับหน้าเว็บกูเกิลสำหรับค้นหาข้อมูลทำรายงานกลุ่ม
มือเบสต์วางอยู่บนหน้าขา ซึ่งผมใส่กางเกงบ็อกเซอร์
ผมชำเลืองมอง อยู่ๆ หัวใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ ในหัวยากสลัดความคิดหมกมุ่นแต่เรื่องตรงนั้น ตั้งแต่ถูกปลุกอารมณ์ ด้วยการสัมผัสบริเวณใกล้จุดกระตุ้น จนไม่มีสมาธิอยู่กับสิ่งทำอยู่ปัจจุบัน
ผมคว้ามือเขาออก
"อะไร"
เบสต์พูด
"มึงรังเกียจเหรอ"
"รังเกียจเหี้ยอะไร มึง"
เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้
"แล้วมึงดึงมือกูออกทำไม"
"มันรบกวนสมาธิกู"
"เหรอ"
เบสต์ตั้งใจพูดยียวนกวนบาทา ด้วยคำเดิมซ้ำๆ 'เหรอ...เหรอ' นึกสนุกสนานชอบใจเมื่อผมเกิดความรำคาญ อดทนอดกลั้นเสียไม่ได้ จะต้องเอาคืนสาสมแก่ใจผมเอง
ขณะแขนเขาพยายามเลื้อยโอบรัดตัวผมเสียให้ได้ ผมทั้งปล่อยหมัด ตีศอกใส่เขาทีเล่นทีจริง ไม่รุนแรง แล้วแขนเขาหิ้วปีกผมตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ กระชากตัวผมขึ้นอุ้มพ้นจากเก้าอี้ ก่อนโยนผมลงบนเตียง เขากระโดดทิ้งตัวโถมลงมาอย่างกับนักมวยปล้ำ แต่ไม่ทับร่างกายส่วนไหนของผม
เขาขยับใบหน้าเข้าใกล้ ลมหายใจร้อนผะผ่าวรดโหนกแก้ม ผมตะแคงหน้ามาทางเขา มือผมปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีเบจ ผมไม่ได้มีความตั้งใจแกะกระดุมเม็ดอื่นๆ แต่ไม่ดึงมือกลับออกมาอยู่ดี
ผมกลับทิ้งตัวนอนหงายหน้าดั่งเดิม เขยิบแก้มแนบสันจมูกเขา ผมยิ้มขำจั๊กจี้ เขาพ่นลมหัวเราะออกโพรงจมูกทีหลัง
"มึงไม่ได้รังเกียจสิ่งที่กูทำใช่ปะ"
ผมสั่นหน้า
"ถ้ากูรังเกียจไอ้ที่มึงทำก่อนหน้านี้ กูจะให้มึงแอบนอนกอดกู ตอนกูหลับก่อนทุกคืนเหรอวะ"
"มึงรู้สึกตัวด้วยเหรอวะ"
วิธีการพูดของเขาฟังดูขวยเขิน
"เออดิ"
ผมยืนกราน
"รู้สึกกระทั่งไอ้นั้นของมึง แข็งทิ่มร่องก้นกูด้วย"
"สัตว์"
เขาสบถ
"แล้วมึงชอบปะ"
"สัตว์"
ผมตอกกลับ
เบสต์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยื่นมือส่งมาให้ผม ผมรับมือ เขาดึงร่างผมลุกขึ้นยืน เปลี่ยนมาเป็นแขนคล้องคอ ก่อนพากันออกจากห้องเรียน หลังสิ้นสุดวิชาเรียนคาบสุดท้าย พวกเราทั้งสี่คนไม่ได้ตรงกลับบ้าน แวะลานอเนกประสงค์ใต้สะพานข้ามแม่น้ำเย็นวันนี้
พวกเราแวะมาสถานที่แห่งนี้บ่อยครั้ง เพื่อมาร่วมก๊วนเตะฟุตบอล โดยประชันฝีแข้งกับเพื่อนต่างโรงเรียน ซึ่งทำความสนิทสนมชิดเชื้อเป็นกันเองตั้งแต่สมัยม.4
มาถึงพวกเรามุ่งตรงไปตีมือทักทาย แบ่งทีมสิบคนเท่าๆ กัน
พอเล่นด้วยกันแต่เดิมได้ไม่นาน ก็มีนักเรียนชายอีกกลุ่มนับสิบมาสมทบเพิ่มเติม สังเกตเห็นนักเรียนหญิงคนเดียวท่ามกลาง ต่างกำลังมุ่งตรงมาทางกลุ่มนักฟุตบอลพวกเราที่ตรงนี้
"พวกกูเล่นด้วยได้ปะวะ"
หนึ่งในนั้นเอ่ยถาม
ผมเพียงได้แต่ยืนมอง หนึ่งในสมาชิกฟุตบอลเดิมในสนามตอบรับคำขอนั้น แม้ตะกุกตะกักไม่ได้เป็นกันเอง ถึงพวกเขามาจากโรงเรียนเดียวกันก็ตาม
จังหวะนั้น ผมรู้สึกถึงสายตาของใครสักคนจับจ้องมองมา พอผมพลันตาเจอะเจอ เจ้าของสายตาแอบมอง มาจากเด็กนักเรียนหญิงคนนั้นนั่นเอง
เบสต์ผลักไหล่ผม ตอนที่ผมเผลอยิ้มให้กับเธอ ซึ่งเธอเองก็เผยคลี่ยิ้มตอบกลับมา
"มึงไม่กลัวว่าจะเป็นแฟนของใครสักคนในกลุ่มพวกมันเหรอไง"
เขาเตือนสติ
"ไม่ว่ะ"
ผมกล้าท้าทาย เห็นสีหน้าเขาแล้ว เขาไม่ได้กลัวผมจะหาเรื่องใส่ตัว เขาไม่พอใจผมกำลังปั่นใจให้กับผู้หญิงคนนั้น ตามความจริงแล้ว ผมแค่แกล้งเล่นตามประสาคนขี้กวนเท่านั้น ไม่ได้สนใจจริงๆ จังๆ หรือยากเป็นไปได้ที่ผมอยากคบกับผู้หญิงสักคน ไม่มีภาพทำนองนั้นในหัวซะด้วยซ้ำ
ผมยกมือขึ้นทักทาย หากเธอทำตอบ แสดงว่าติดกับการปั่นใจหลอกๆ ของผมเข้าให้แล้ว
เบสต์ตีมือผมลงปานงูฉก
"กูเจ็บ"
ผมโวย
เขาโวยกลับ
"ก็กูไม่ชอบ"
ระหว่างนั้น ผมไม่สามารถระมัดระวังรอบด้านได้เลย ผมถูกแรงผลักเข้าที่อกอย่างแรง ถลาถอยหลัง ยังทรงตัวไม่ล้มก้นจ้ำเบ้าไว้ได้
"นั่นแฟนกูเว้ย!"
เด็กนักเรียนชายเสื้อพละ กางเกงนักเรียนดำ สมาชิกจากกลุ่มมาขอรวมแจมฟุตบอล ปรี่เข้าประทุษร้ายผมอย่างฉุนเฉียวในอารมณ์
"แล้วไง"
"มึงไม่มีปัญญาหาแฟนเองหรือไงวะ"
อีกฝ่ายตะคอกเสียงดัง
"ถึงได้มายุ่งกับแฟนคนอื่นเขาแบบนี้"
"กูนี่นะ"
ผมสำลักหัวเราะ
เบสต์พยายามปรามผม ผมกลับผลักเขาออกห่างไม่แยแส
"แฟนมึงมองกูก่อนเองนะ กูก็อดคิดไม่ได้ปะวะ ว่าเขาอาจสนใจกูเอง กูก็แค่พิสูจน์ แล้วแม่งก็ถูกเผงว่ะ --- และมึงทำกูก่อน อย่าคิดว่ากูจะยอมนะเว้ย"
ผมกะจะตอบโต้คืนบ้าง เบสต์ มอสต์ ฟลุ๊กพรวดก้าวเข้ามาขวาง รวมถึงคนอื่นๆ ในสนามบอล ที่ไม่อยากให้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาท จนนำปัญหาใหญ่มาสู่พวกเขาที่เหลือ ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย อย่างถูกหางเร่
"กูว่าพวกมึงพาเพื่อนมึงกลับไปเถอะ"
หนึ่งในนักเรียนโรงเรียนเดียวกันเอ่ย
"ไม่เป็นไร"
เบสต์เสนอ
"เดี๋ยวพวกกูออกไปเอง ขอโทษพวกมึงด้วยนะเว้ย วันนี้แม่งควรจะสนุกกว่านี้"
เด็กหนุ่มคนนั้นโบกมือปฏิเสธ
"ไม่เป็นไรว่ะ ไว้วันหลังค่อยกลับมาเล่นกันต่อก็ได้"
เบสต์ผงกหน้าตอบรับ แล้วหันหลังเดินกลับออกไป โดยไม่รีรอใครสักคน ผมจึงรีบตามแผ่นหลังเขาไปติดๆ
ผมจะเอาแขนโอบคอ เขาก็เอามือปัดแขนผมตก แล้วเร่งฝีเท้าเดินหนีไป
ผมวิ่งยังไงก็ตามเขาทัน เนื่องจากที่ผมชะลอฝีเท้าลง เพราะผมรู้ดีว่าไม่มีทางตามเขากลับมาได้แล้ว
หลังเหตุการณ์วันนั้นมา เขายังเลือกนั่งข้างผม ถึงไม่ได้พูดคุยเล่นกันเลย ไอ้ความเหินห่างในความรู้สึก แต่ระยะมันใกล้กันไม่ถึงคืบ กลับเอื้อมไม่ถึงกัน มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดและเจ็บปวดหัวใจ ผมรู้ดีว่าผมทำผิดมหันต์ ซึ่งเขาไม่คิดจะถามเลยหรือไงกัน ว่าผมจะจริงจังกับเธอจริงๆ ไหม แค่มุ่งมั่นเอาสนุกแต่ไม่ได้ให้ความหมายสักหน่อย
เขาทิ้งผมให้อยู่กับความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวโดดเดี่ยวมาสองถึงสามวันแล้ว ผมปรารถนาให้เขาถามด้วยประโยคคำถามนั้นกับผม...สักวันหนึ่ง
แล้วทำไมผมถึงไม่เป็นคนบอกเขาไปเองล่ะ หากผมมั่นใจมากว่าเขาอยู่ในสภาวะรับฟังข้อแก้ต่างของผมจริงๆ ไม่มีอาการน้อยใจในอารมณ์คั่งค้าง โดยไม่สวนด้วยประโยคแทงใจ แสร้งทำเป็นไม่เหลือเยื่อใยต่อกันอีกแล้ว เพื่อทำร้ายจิตใจให้ผมสำนึกถึงความรู้สึกของคนอื่นเสียบ้าง เมื่อเป็นฝ่ายถูกกระทำบ้างน่ะนะ จริงๆ แล้ว ผมกลัว ผมได้แต่ก่นด่าตัวเองว่าไม่น่าทำลงไป น่าจะปล่อยผ่าน ไม่ได้รู้สึกอะไรกับคนอื่น ทำไมถึงเอาเขามาเล่นสนุก และต้องทำร้ายคนสำคัญมากกว่า ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ละเอียดรอบคอบ
เย็นวันหนึ่ง อยู่ๆ เธอมาปรากฏอยู่หน้าประตูโรงเรียน อย่างไม่นึกฝัน ผมยังไม่ทันเข้าข้างตัวเอง ว่าเธออาจรอใครอื่นที่นี่ ที่ไม่ใช่ผม
เบสต์ซึ่งเคยเดินอยู่ข้างผม เขารีบจ้ำอ้าว ราวกับผมเป็นเพียงอากาศธาตุ ผมจึงตัดสินใจเดินแยกไปคนละทาง
ผมมาหยุดลงตรงเธอ
"ไปส่งเราที่บ้านหน่อยสิ"
"วันนี้เราไม่ว่างน่ะ"
"อ่าว"
เธอมีน้ำเสียงผิดหวัง
"เหรอ"
ผมกำลังจะเดินไปที่ป้ายจอดรถโดยสารประจำทางข้างรั้วโรงเรียน
"ว่าแต่"
เธอเอ่ยขัดจังหวะ
ผมชะงัก
"เราขออะไรก็ได้ ที่ไว้ใช้ติดต่อกับไอซ์ได้ไหม"
"เธอรู้จักชื่อเราได้ไงน่ะ"
เขาย่นคิ้วฉงน
"เราไปถามเพื่อนคนอื่นๆ จากโรงเรียนเราน่ะ ที่เตะบอลด้วยกันกับไอซ์"
"ไม่อะ"
ผมย้อนกลับไปปฏิเสธคำร้องขอก่อนหน้านั้น
"เราไม่อยากมีปัญหากับแฟนเธอทีหลัง"
ตามจริงแล้ว ผมต้องการตัดบทจบพอเท่านี้ ยุติความหวังของเธอเกี่ยวกับผม ซึ่งไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนี้แต่ทีแรก ไม่นึกชอบใจกับมันอีกเลย
"เราขอเลิกกับเขาแล้ว"
ผมปลดเปลื้องความรู้สึกหนักอึ้งที่มีต่อเขา แต่ผมรู้ดีว่าต้องสารภาพความจริงกับเธอให้จบลงตรงนี้ จะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม ผมไม่ยืดเยื้อ
"จริงๆ แล้ว"
ผมพูดเสียงเรียบเฉย ไม่ได้ทุกข์ร้อนใดๆ แม้จะรู้สึกผิดเอามากๆ กับการเป็นคนเห็นแก่ตัว กล่าวโทษผมเสียๆ หายๆ ได้ สำหรับภาวะอารมณ์ปั่นป่วนทำให้ผมมีอาการมึนชาตอนนี้ จะไม่รับมันมาใส่ใจให้หนักอึ้งน่ะนะ
"เราไม่ได้คิดอะไรกับเธอตั้งแต่ทีแรกแล้ว ขอโทษนะ ที่ทำให้เธอเข้าใจผิด"
ผมตระหนัก
เมื่อสิ่งใดที่เราไม่ได้ให้ความหมายกับมัน มันง่ายดายมากจะปล่อยผ่าน อย่างไร้ซึ่งความเสียดายทีหลัง
หากเมื่อสิ่งใดที่เราให้ความหมายกับมันมาก มันจึงยากมากเฉกกัน
มอสต์ ฟลุ๊กนั่งกับอยู่กับผม ระหว่างที่เบสต์ลุกจากโต๊ะไปซื้อน้ำดื่ม พวกเขาสองคนอยากให้ผมทำอะไรสักอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราสองคนตลอดมานี้ ให้มันช่วยกลับมาดีดั่งปกติที่เคยเป็นกันมาก่อน
พวกเขาไม่ชอบบรรยากาศกระอักกระอ่วน เพื่อนสองคนในกลุ่มมองหน้ากันไม่ติด ทว่า มีหรือพวกเขาไม่ล่วงรู้ถึงรูปแบบความสัมพันธ์ที่ผมมีต่อเบสต์ และเขามีต่อผม มันมากกว่าเพื่อนตั้งแต่แรกมองมา จวบจนทุกวันนี้ เพียงแค่เราคนใดคนหนึ่ง ไม่เคยพูดหรือถาม แต่ด้วยสามัญสำนึกของเราสองคน ซื่อสัตย์เหมือนกันกระมัง ทำให้เราไม่สนใจคนอื่นที่เข้ามา หรือเราเผอิญผ่านเข้าไปเอง และไม่คิดใช้คำพูดว่า 'เราไม่ได้เป็นอะไรกัน จะมาหวงอย่างกับเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทำไม' เพราะรู้ดีอยู่แก่ใจตนเอง และไม่เข้าใจว่าจะโกหกไปเพื่ออะไร
ผมไม่จำเป็นต้องให้ใครมากระตุ้น เพื่อขับเคลื่อนการปรองดองอีกครั้ง กลับพูดคุย เล่น มองหน้ากันสนิท ไปไหนมาไหน อยู่ด้วยกันที่ห้องของผม อย่างที่ควรเป็นไม่เปลี่ยน และที่ผมไม่ได้พูดถึงการกลับมาอีกอย่าง คือการกลับมารักกัน เพราะทั้งสองเรายังคงรักกันเหมือนเดิม ผมแน่ใจมากทีเดียว การที่ผมถูกห่างเหินและเมินเฉย เขาขุ่นเคือง แต่ไม่ได้หมดรักผมเป็นแน่
คว้าโทรศัพท์มือถือในค่ำคืนนี้
โทร. หาเบสต์
ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นแนบหู
คอยเสียงตู๊ดถูกตัดไป ภาวนาให้เป็นช่วงการรอคอยอันแสนสั้น ด้วยการรับสายจากปลายสาย
เขาปล่อยผมถือหูเก้ออยู่นานสองนาน ก่อนตัดสินใจรับสาย คงด้วยความรำคาญก็เป็นได้ อย่างน้อยๆ ก็ดีที่เขาเลือกรับสายในวันสำคัญอย่างวันนี้
ประโยคแรกที่โพล่งกระแทกหูทันทีทันใด
"มึงโทร. มาทำไม"
"ออกไปฉลองวันปีใหม่กันไหม"
เขาเงียบ
"มึงจะปล่อยให้กูนอนเหงาอยู่บ้านคนเดียวเหรอวะ เบสต์"
เขาไม่พูดอะไร
"กูคงเข้าใจผิดแหละ"
เบสต์ประชดประชัน
"ว่าอย่างมึงคงมีคนชวนไปด้วยแล้ว ไม่น่านอนเหงาอยู่บ้านคนเดียวหรอก"
"กูจะมีใครวะ"
ผมแย้ง เสียความรู้สึกนะ ผมเองยังรู้สึกสมน้ำหน้าตัวเองเลย ว่ามันก็สมควรแล้วแหละ
กระนั้น ผมไม่มีวันท้อแท้ ละลายแก่ใจจนด่วนกดวางสายเอง
"กูก็มีแค่มึงคนเดียวปะวะ เบสต์ ที่กูอยากไปไหนมาไหนด้วย และยิ่งวันนี้ด้วยแล้ว --- อะไรที่กูเคยพลาดทำร้ายหัวใจมึงไว้ในปีนี้น่ะ กูขอโอกาสอีกสักครั้งได้ไหม ครั้งเดียวพอ กูอยากไปนับถอยหลังเริ่มต้นกันใหม่กับมึง ในวันเริ่มปีใหม่นี้ว่ะ"
ผมเฝ้ารอ
"เออ"
เขาลากเสียงประคองความหงุดหงิดตอบรับ
"ก็ได้ กูก็อยากไปดูไฟงานวันปีใหม่เหมือนกัน"
"มารับกูด้วยนะ"
เขากล่าวทิ้งท้าย ก่อนวางสาย
"กูอยากนั่งซ้อนท้ายมอ'ไซค์มึง"
ผมยิ้มแก้มปริกับตัวเอง
ดวงจันทร์เสี้ยวสีเงินยวง ลอยเคว้งคว้างบนผืนฟ้าน้ำหมึก ดวงไฟสีเหลืองส่องลงมาตกกระทบย้อมคอนกรีตเป็นระยะๆ ค่ำคืนนี้อากาศเย็นจัด ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ โต้ลมหนาวปะทะหน้าแห้งตึงและชาดิก ร่างสั่นสะท้านแต่พอฝืนทนไหว ฟันขบกันแน่น ปวดกกหู
ผมกอดคอ วางคางเกยไหล่เขา
"มึงนั่งดีๆ ดิ"
เขาพูดแข่งกับเสียงต้านลม
"กูขับไม่ถนัด"
"ก็กูหนาวนิ"
ผมบอก
"ก็อยากกอดใครสักคนปะวะ"
"กอดกูคงไม่อุ่นหรอก"
เขากระทบกระเทียบ
"แต่มึงกอดกู"
ผมยืนกราน
"แม่งโคตรอุ่นเลยนะเว้ย"
ผมเห็นเขาเผลอยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
เบสต์เอากล้องถ่ายภาพไว้ในช่องเก็บของใต้เบาะ เขานำทางและชี้มือ บอกให้ผมไปตรงนู้นทีตรงนี้ที เพื่อหามุมสวยๆ อันเหมาะเจาะถ่ายภาพผมคนเดียว เก็บภาพถ่ายคู่ บางครั้งบางทีผมถูกบันทึกภาพนิ่งทีเผลอด้วย เดิมทีทึกทักว่ามันไม่ยุติธรรมเลย พอขอดูภาพถ่ายจากเขา เลยถึงบางอ้อเดี๋ยวนั้น การถ่ายภาพตอนเผลอของเขาไม่ธรรมดา และพวกเราตั้งใจกันอยู่แล้ว จะอยู่ถึงช่วงเวลานับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่กันที่นี่เลย
"ขอบใจนะ"
ผมเอ่ย
"ที่มาด้วยกัน"
"กูก็ไม่เคยคิดปฏิเสธมึงอยู่แล้ว"
ครั้นนาฬิกาเดินทางเกือบใกล้เที่ยงคืน อีกสิบวินาที ท้องฟ้าราตรีกาล สว่างไสวและอึกทึกครึกโครม ด้วยพลุระเบิดหลากหลายสีสัน ทั้งรูปแบบ ช่างสวยงามสะกดสายตาชะงัด
เวลาไม่ได้ใจดีหรือใจร้าย แม้แต่กลั่นแกล้ง ต่อให้เราอยากให้มันเดินช้าลง มันกลับให้ความรู้สึกว่าล่วงเลยผ่านไปไวกว่าปกติ ตลอดราวๆ ช่วงสองเดือนที่เหลืออยู่ในรั้วโรงเรียนชายล้วนแห่งนี้ อยากยืดยาวแต่มันก็หดเล็กลง จนน่าใจหาย
ผมอยู่บนถนนไปสู่หน้าประตูโรงเรียนในบ่ายแก่ของวันสุดท้าย ก่อนโรงเรียนปิดเทอมใหญ่ ส่วนพวกเราสี่คนไม่มีเทอมหน้าสำหรับที่นี่อีกต่อไป ก่อนถึงประตูโรงเรียน ผมหันหลังย้อนมองกลับ เก็บภาพทรงจำเกี่ยวกับโรงเรียนนี้คร่าวๆ ว่าเคยได้สร้างเรื่องราวชีวิตผมอย่างไรมาบ้าง ส่วนคนเคียงข้างเวลานี้ อาจไม่ทุกวันแล้วสินะ เราต่างจะไม่ได้อยู่ใกล้กันเหมือนอย่างเคยอีก
ลานอเนกประสงค์ใต้สะพานข้ามแม่น้ำ สายลมจากแม่น้ำหอบพัดมาไม่ขาดสาย ผมยืนห่างจากเขาประมาณห้าก้าว เราสองคนมองหน้าด้วยรอยยิ้มรื่นรมย์ กับอากาศเย็นสบาย หลังจากร้อนระอุทั้งช่วงบ่าย ส่วนของผม มันเจือปนความรู้สึกหม่นหมอง เมื่อต้องยอมรับความจริงที่เดินหน้าไป ซึ่งอดีตคือความฝันที่ไม่อยากตื่น
"มีเรื่องที่กูต้องถามมึงแล้วว่ะ ไอซ์"
เขากล่าวเกริ่น
"ถามไร"
"มึงเป็นแฟนกูไหม"
"มึงเพิ่งรู้ใจตัวเองเหรอไงวะ เบสต์"
"กูรู้หัวใจตัวเอง ตั้งแต่วันแรกที่กูเห็นมึงแล้ว"
"แล้วทำไมมึงไม่ถามกูตั้งแต่ตอนนั้นวะ"
ผมสงสัย
"หรือมึงไม่กล้า"
"กูแค่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงต่างหากล่ะ"
เขาแก้ต่าง
"แล้วมึงอะ"
"เป็นเพื่อนกันแบบนี้ดีแล้ว"
"ดีพ่องมึงอะ"
เขาลากเสียงผรุสวาท
"ดีพ่องมึงอะ"
ผมสวนกลับไม่ยอมแพ้
เริ่มก้าวเท้าออกเดินเข้าไปหาเขา พลางว่า
"ดีพ่องมึงอะ"
กระทั่ง ผมมาหยุดยืนตรงหน้าเขา เหลือพื้นที่ห่างกันเพียงคืบเดียว
ผมโน้มใบหน้าประทับจูบลงบนริมฝีปากกร้านของเขา
ครั้นผละจากจูบ
"กูเองก็อยากเป็นแฟนมึง ตั้งแต่วันแรกที่มึงมองมาที่กูแล้วแหละ"
ผมพูดความในใจ
"แต่เพราะว่ามึงทำให้กูรู้สึกว่า เราแม่งอยู่ด้วยกันแบบเพื่อนก็ดีไม่น้อย แต่ความรู้สึกที่เรามีให้กัน มันก็เป็นแบบแฟนน่ะ เข้าใจกูปะ เบสต์..."
ติดตามงานเขียนเรื่องสั้นอื่นๆ ได้ที่
โฆษณา