20 ธ.ค. 2022 เวลา 08:05 • ปรัชญา
5 นิสัย ที่คนประสบความสำเร็จแทบทุกคนมีเหมือนกัน
ข้อที่ 1 มีเป้าหมายที่ชัดเจนจนสามารถเล่าเป็นเรื่องเป็นราวได้เป็นอย่างดี
คนที่ประสบความสำเร็จเขาจะมองภาพสุดท้ายที่เขาอยากจะเป็นไว้อย่างชัดเจนมาก ยกตัวอย่างคร่าวคร่าวๆ เช่นอยากเป็นนักไวโอลินระดับโลกที่เล่นไวโอลีนบนเวทีที่มีผู้ชมถึง 1,000 คนและได้รับเสียงปรบมืออย่างล้นหลาม พร้อมทั้งการแสดงครั้งนี้เป็นที่จดจำมีผู้ชมคลิปบนโลกออนไลน์มากกว่า 1 ล้านวิว จะเห็นได้ว่าสิ่งที่แอดมินยกตัวอย่างมานั้นค่อนข้างชัดเจนมาก แต่คนที่เขาประสบความสำเร็จอาจจะมองชัดกว่านี้นี่เป็นเพียงแค่การยกตัวอย่างของ Admin เท่านั้น
และเพื่อจะไปถึงความสำเร็จนั้นพวกเขาจะมีการวางแผนที่ชัดเจน และที่สำคัญพวกเขาจะปฏิเสธสิ่งที่ไม่จำเป็นอย่างตัวของ วอร์เรนบัฟเฟตต์ เขาจะเป็นคนที่จะหนักเรื่องความสำคัญของเวลามากเขารู้ว่าเวลาของเรามีจำกัดดังนั้นเพื่อที่จะให้ไปสู่การเป็นยอดคนเราก็ต้องยอมเสียสละในสิ่งที่ไม่จำเป็นหรืออย่าง
เช่น ไทเกอร์วู้ดนักกอล์ฟระดับโลกอย่างตัวของไทเกอร์วูดเขาซ้อมทุกวันวันละประมาณ 10 ชั่วโมงตั้งแต่เด็ก โดยเมื่อรวมกับอายุตอนปัจจุบันของเขาตัดตอนนี้รวมๆแล้วเขาซ้อมตีกอล์ฟไปประมาณ 80,000 ชั่วโมง จึงทำให้เราไม่ต้องถามเลยว่าทำไมเขาถึงประสบความสำเร็จอย่างเช่นทุกวันนี้
ข้อที่ 2 ตัดสินใจและลงมือทำมันสักที
ถ้าอยากเป็นยอดคนสิ่งที่สำคัญทุกคนรู้อยู่แล้วก็คือการทำมาสักทีอย่างเช่น ถ้าคุณอยากเป็นยูทูปเบอร์แต่คุณกลับไม่ลงคลิปเลยคุณก็ไม่มีทางได้เป็นยูทูปเปอร์หรอก ดังนั้นจงจำไว้ว่าสิ่งที่เป็นการตัดสินใจที่แย่ที่สุดในโลกก็คือการไม่ตัดสินใจอะไรเลยสักอย่างหลายคนคงเคยได้ยินกฎ 10,000 ชั่วโมงถ้าคุณอยากจะเก่งระดับผู้เชียวชาญ คุณก็ต้องลงทุนลงแรงในการที่จะฝึกซ้อมหรือทำสิ่งนั้นเป็นเวลา 10,000 ชั่วโมง
เมื่อคุณผู้ฟังฟังสิ่งนี้แล้วจะเข้าใจได้อย่างมากขึ้นว่าทำไมคนหลายๆคนถึงไม่ประสบความสำเร็จ ก็เพราะเขาทำแค่ 10 ชั่วโมงเขาก็พอแล้ว และจากที่ฟังเอาจริงๆแล้วในประสบการณ์คนบางคนก็ไม่ได้ทำถึง 10,000 ชั่วโมงบางคนฝึกซ้อมประมาณ 1,000 ชั่วโมงเขาก็เกือบจะเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้วแต่ถ้าเขาซ้อมไปเรื่อย ๆ ซ้อมมากพออย่างไทเกอร์วูดที่ เชื่อได้เลยว่ายังไงเขาก็ต้องเป็นมากกว่าคนธรรมดาอย่างแน่นอน
ข้อที่ 3 มีความอดทนอดกลั้น
เพื่อที่จะให้ไปถึงเป้าหมายคนที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องอดทนต่อสิ่งที่น่าเบื่อได้หรืออาจเป็นบางสิ่งที่เจ็บปวด ยกตัวอย่าง นักเต้นบัลเล่ต์เมื่อเราเห็นนักเต้นบัลเล่ต์บนเวทีเราจะรู้สึกว่าพวกเขาเหล่านั้นสง่างามมากแต่ยังมีหลายคนที่ไม่รู้ว่าเบื้องหลังความสวยงามนี้ ต้องแลกด้วยความเจ็บปวดและอดทนในการซ้อมหลายครั้งหลายหนมากแค่ไหนกว่าที่นักบัลเล่ต์จะฉีกขาให้เหยียดตรงแบบที่เราเห็นได้นั้นเขาก็เริ่มจากการที่เขาไม่สามารถจะฉีกขาได้และค่อยๆฉีกขาไปเรื่อยๆจนถึงจุดที่พวกเขาเหล่านั้นไม่มีความเจ็บปวดอีกต่อไป
บางคนก็สามารถฉีกขาได้หรือบางคนถึงขั้นกล้ามเนื้อฉีกขาดไปก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นเมื่อได้รับการฝึกซ้อมที่ไม่ถูกต้อง และกฎที่สำคัญของการเป็นนักบัลเล่ต์ก็คือถ้าคุณหยุดซ้อมไป 1 วันตัวคุณเองก็ถอยหลังไปอีก 1 วันเช่นกันและนี่แหละค่ะถ้าเปรียบกับความสำเร็จที่ท่านผู้ฟังทุกท่านต้องการลองเปรียบเทียบกับการเป็นนักเต้นบัลเล่ต์และคุณจะเข้าใจเองว่าทำไมตอนนี้คุณยังไม่สำเร็จ
ข้อที่ 4 เรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเองและผู้อื่น
ความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดากว่าที่คนที่ประสบความสำเร็จจะมายืนจุดนี้ได้พวกเขาล้มไปมากกว่าความสำเร็จซะอีก บางคนคิดว่าพวกเขาเป็นคนโชคดีทำครั้งเดียวสำเร็จเป็นคนแบบนั้นมีนะแต่น้อยดังนั้นสิ่งที่สำคัญพวกเราต้องกล้าที่จะลงมือทำมันและกล้าที่จะผิดพลาดและเมื่อผิดพลาดจงเรียนรู้จากมันจงรักมันให้อภัยมันแต่ที่สำคัญอย่าลืมที่จะฟังเรื่องราวของผู้อื่นซะบ้าง
เพราะบางทีแล้วการที่เราเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นอาจจะช่วยให้เราย่นเวลาในการเรียนรู้ลงมากกว่าเท่าตัวเลยก็ได้หลายคนอาจจะมองว่ามันไม่สำคัญแต่ลองคิดดูนะยกตัวอย่างนักกีฬาที่ฝึกซ้อมด้วยตัวเองกับนักกีฬาที่มีโค้ชฝึกซ้อมคุณคิดว่าคนไหนเขาจะจับจุดได้ดีกว่ากันถ้าคนที่มาเป็นนักกีฬาเป็นคนที่เล่นกีฬาไม่เป็นเลยคนที่มีโค้ชก็อาจที่จะไปได้ไวกว่าคนที่ไม่มีโค้ช
ข้อที่ 5 อยู่กับปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง
บางครั้งมันก็เป็นเรื่องที่ดีนะที่คุณฝันหวานถึงอนาคตที่คุณอยากจะเป็นและทำให้คุณมีแรงที่จะก้าวเดินต่อไป แต่อย่าลืมสระว่าสิ่งที่กำหนดอนาคตนั้นมันก็คือปัจจุบันนี่แหละ การที่คุณอยู่กับอนาคตหรืออดีตมากจนเกินไปมันอาจจะทำให้คุณเป็นทุกข์สำหรับคนที่อยากจะเรียนรู้เรื่องปัจจุบันขณะมากกว่านี้สามารถอ่านหนังสือ the power of now
ทางแอดมินจะนำข้อความบางส่วนมาคร่าวๆแต่จะอธิบายเป็นคำพูดของแอดมินเองประมาณว่าคุณเคยที่จะนั่งดูดอกไม้ที่มีผึ้งมาดูดน้ำหวานจากมันและตั้งใจดูมันจริงๆหรือไม่ ตอนที่ผึ้งมาดูดน้ำหวานมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาเป็นภาพที่สวยงามราวกับภาพวาดตัวฉันสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นความสวยงามความมหัศจรรย์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทั้งๆที่มันเป็นเพียงการที่ฉันมองผึ้ง 1 ตัวดูดน้ำหวานจากดอกไม้
จากข้อความที่ทาง Admin ได้ยกตัวอย่างหลายคนอาจจะเข้าใจแล้วใช่แล้วล่ะค่ะสิ่งที่สำคัญคือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นสิ่งรอบตัวนั้นบางทีแล้วมันหยุดแล้ว แต่มีแค่ตัวเราเองนั่นแหละที่ยังไม่หยุด และถ้าเกิดคุณอยากจะเข้าใจมันจริงๆคุณลองหลับตาดูสิคะและลองตั้งใจฟังเสียงรอบๆตัวของคุณว่าตอนนี้มีเสียงอะไรเกิดขึ้นบ้างแยกเสียงที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ออกมาให้ได้มากที่สุด และคุณอาจจะได้พบกับชีวิตใหม่ที่คุณไม่เคยมาพบมาก่อน
โฆษณา