4 ม.ค. 2023 เวลา 12:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
กำแพง Zero-Covid ของจีนกำลังทลาย : เศรษฐกิจจีนและโลกจะรุ่งจริงไหมในปี 2023 หลังจากจีนกลับมาเปิดประเทศอีกครั้ง
หลังจาก 1,016 วันที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก วันที่ 8 มกราคม 2023 ก็ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ประเทศจีนจะเริ่มลดกำแพงมาตรการโควิดเป็นศูนย์ (Zero-Covid) แคมเปญควบคุมการแพร่ระบาดขนาดใหญ่ของประเทศลงสักที หลังจากนี้จะอนุญาตให้คนเดินทางเข้า-ออกประเทศได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น ประหนึ่งการตื่นจากฝันร้ายอันยาวนานของชาวจีนกว่า 1,400 ล้านคน
#มาตรการอันเข้มงวดที่ยาวนานจนเกินไป
มาตรการอันเข้มงวดเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการระบาดที่เมืองอู่ฮั่น สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประธานาธิบดีจีนประกาศใช้การจัดการอย่างเข้มงวด สั่งล็อกดาวน์อาคารและชุมชนที่พบผู้ติดเชื้อ แม้ว่าผู้ติดเชื้อจะไม่มาก ตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อ หากมีการรายงานพบผู้ติดเชื้อต้องแยกไปกักตัวในพื้นที่ที่จัดไว้ของรัฐบาล ถ้าเกิดมีการล็อกดาวน์ในพื้นที่ ธุรกิจและโรงเรียนจะต้องปิดชั่วคราว ร้านค้าต้องปิด ยกเว้นจำหน่ายอาหาร และล็อกดาวน์ต่อไปจนกว่าจะไม่มีรายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ในพื้นที่นั้น ๆ
ช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเราเห็นข่าวของการเดินประท้วงแสดงความไม่พึงพอใจของประชาชนต่อมาตรการนี้ ถึงขั้นมีการตะโกนไล่ผู้นำอย่าง สี จิ้นผิง ให้ลงจากตำแหน่งด้วย เพราะประชาชนไม่อยากถูกล็อกดาวน์ ไม่อยากแยกไปกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ ประชาชนเริ่มขัดขืนและหลบหนีการควบคุมตัวจากเจ้าหน้าที่รัฐ โรงงานหลายแห่งต้องปิดตัวหลายครั้ง กระทบกับรายได้ของพนักงานและบริษัท ใช้ชีวิตประจำวันโดยรู้สึกเกร็งและกลัวอยู่ตลอดเวลา เราเห็นวิดีโอคลิปที่ประชาชนที่เครียดจนกระโดดตึกฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้ง
ตามรายงานของ The Wall Street Journal บอกว่าช่วงที่ผ่านมาชาวจีนมีฐานะย้ายไปอยู่ประเทศอื่น ๆ อย่างญี่ปุ่นมากขึ้นเพราะไม่พอใจกับมาตรการโควิดเป็นศูนย์ของรัฐบาล อเมนด้า วู (Amanda Wu) นักธุรกิจชาวจีนวัย 62 ปี ที่ย้ายมาอาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นให้สัมภาษณ์ว่า
“ล็อกดาวน์นั้นโหดร้ายมาก ฉันบอกได้เลยว่ามันจะมีคนเดินทางมาญี่ปุ่นเยอะมาก ๆ เมื่อจีนเริ่มเปิดประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการอยู่แค่ชั่วคราวหรือการย้ายมาอยู่ที่นี่เลย”
คนอื่น ๆ ก็ให้สัมภาษณ์ในเชิงเดียวกันว่าการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดนั้นทำให้พวกเขารู้สึกว่าสิทธิ์ของตัวเองถูกลิดรอนไป เจ้าหน้าที่บุกเข้ามาจับตัวในบ้าน บังคับให้ธุรกิจต้องปิดตัว มาพ่นยาฆ่าเชื้อโดยไม่สนใจว่าข้าวของประชาชนจะเสียหายรึเปล่า
จริงอยู่ที่ว่าช่วงแรก ๆ ที่ยังไม่มีวัคซีน มาตรการนี้อาจจะช่วยลดอัตราผู้เสียชีวิตและการระบาดของไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การล็อกดาวน์แบบเข้มงวดที่ยาวนานเกินไปสร้างผลกระทบต่อประชาชน ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ แถมยังส่งผลต่อไปถึงเศรษฐกิจของประเทศที่ GDP น่าจะโตได้แค่ 2-3% (จากที่คิดว่า 5.5%) การท่องเที่ยวก็ล้ม อุตสาหกรรมการผลิตก็แย่
สุดท้ายแม้ว่ารัฐบาลจีนจะพยายามตรึงมาตรการนี้ไว้แค่ไหน (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องการเมืองหรืออะไรก็ตาม) มันก็ทำไม่ได้ มีการประกาศออกมาว่าเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2023 ประเทศจีนจะเริ่มลดระดับความเข้มข้นลง เปิดประเทศให้คนเดินทางเข้าออกได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งสถิติจากเว็บไซต์ Trip.com ก็บอกว่าอัตราการค้นหาตั๋วเดินทางออกนอกประเทศนั้นเพิ่มสูงขึ้น 1000% โดยประเทศ 5 อันดับแรกคือ สิงคโปร์, เกาหลีใต้, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น และ ไทย
#ความท้าทายของการเปิดประเทศ
มาตรการ Zero-Covid นั้นยาวนานเกินกว่าที่จะมีใครคาดคิดและตอนมันจบก็จบลงเร็วกว่าที่ใครคาดเอาไว้ (ที่จริงหลายคนคิดว่าจะเป็นช่วงไตรมาสแรกของ 2023 ด้วยซ้ำ) จากประเทศที่เคยเข้มงวดมาก ๆ ปิดทุกอย่าง ล็อกดาวน์มาตลอด แถมยังไม่มีวัคซีนแบบ mRNA จะกลับมาเปิดประเทศภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่สัปดาห์เป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทายอย่างมาก
สำหรับประชาชนจีนส่วนใหญ่แล้วนี่ถือเป็นข่าวดี เศรษฐกิจภายในประเทศน่าจะมีการฟื้นตัวอย่างมาก ความต้องการใช้พลังงานและทรัพยากรจะเพิ่มขึ้น เหล่านักลงทุน นักธุรกิจ และผู้บริหารทั้งหลายสามารถเดินทางเข้าออกเพื่อทำธุรกิจได้ง่ายยิ่งขึ้นหลังจากหยุดมานาน
สื่อ The Economist เรียกว่านี่เป็น “The Great Reopening” หรือ “The Great Reconnecting” ของจีนเลยทีเดียว และน่าจะเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าช่วงเวลาของการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 กำลังจะจบลงไปแล้วจริง ๆ
แน่นอนว่าทุกอย่างในช่วงเริ่มต้น (เหมือนกับทุกประเทศ) จะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ชีวิตประจำวันจะยังไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมในทันที จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นสูงในช่วงแรก ๆ (ตอนนี้มีการคาดการณ์ว่าราว ๆ 37 ล้านคนติดโควิดเพิ่มทุกวัน) โรงพยาบาลจะเต็มไปด้วยผู้ป่วย และจำนวนผู้เสียชีวิตก็จะพุ่งสูงขึ้นไปด้วยพร้อม ๆ กัน นี่จะเป็นบททดสอบครั้งสำคัญของรัฐบาลจีนในการจัดสมดุลระหว่างเศรษฐกิจของประเทศและสุขภาพของประชากร
เศรษฐกิจยังต้องดำเนินต่อไปให้ได้ดีที่สุด ในขณะที่ประชากรก็ต้องมีความปลอดภัยด้วย
เราอาจจะเห็นการชะลอตัวของสายการผลิต เมื่อโรงงานมีพนักงานที่ติดเชื้อจำนวนมาก แต่การล็อกดาวน์ปิดไปเลยเป็นเวลานาน ๆ อย่างเมื่อก่อนน่าจะไม่มีอีกต่อไป ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 เศรษฐกิจอาจจะยังไม่ฟื้นตัวมากเท่าไหร่ ทอมมี วู (Tommy Wu) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของจีนจาก Commerzbank ธนาคารที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเยอรมนีบอกว่า
“เศรษฐกิจในช่วงสามเดือนแรกนั้นอาจจะหดตัวหลังจากจีนเปิดประเทศ”
หลังจากผันผวนสุด ๆ จนถึงเดือนมีนาคม การเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีนก็จะเริ่มเกิดขึ้น
#การฟื้นตัวในภาคแรงงานและอสังหาฯ
เราอาจจะเห็นเทรนด์ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับเรื่องแรงงานในส่วนต่าง ๆ ของโลกอย่างการ Quiet Quitting หรือ The Great Resignation ที่พนักงานไม่สนใจอยากทำงานหรือลาออกไปทำอย่างอื่นกันเป็นจำนวนมาก แต่สำหรับประเทศจีนแล้วเรื่องนี้อาจจะไม่ได้เป็นปัญหาสักเท่าไหร่ เพราะช่วงที่ผ่านมานั้นรัฐบาลก็ไม่ได้มีการช่วยเหลือพนักงานที่ตกงานสักเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นถ้ามีงาน พนักงานก็จะกลับไปทำงานเหมือนเดิม
แจ็กเกอลีน รง (Jacqueline Rong) รองหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนจากธนาคาร BNP Paribas ของฝรั่งเศสกล่าวไว้ในบทความของ The Economists ว่าการบริโภคจะสูงขึ้นด้วยเช่นกันแม้ว่าจะยังมีการใช้เงินกันอย่างจำกัดอยู่ก็ตาม โดยที่ผ่านมารายได้ของประชากรส่วนใหญ่ลดลง คนก็ไม่ใช้จ่าย ไม่เดินทาง ไม่กินข้าวนอกบ้านกัน ประชาชนส่วนใหญ่แล้วหาเงินมาได้ก็จะเก็บประมาณ 1/3 เลยในปีที่แล้ว
ในปีนี้เมื่อเริ่มได้กลับไปทำงานอย่างจริงจัง รายได้ก็จะมีมากขึ้น อัตราการว่างงานก็จะลดลง แม้อัตราค่าแรงอาจจะหยุดนิ่งและตลาดอสังหาฯก็มูลค่าลดลง การใช้จ่ายเงินก็จะยังคงอยู่ในปริมาณที่จำกัด โดยรงบอกว่าการบริโภคของครัวเรือนน่าจะเติบโตราว ๆ 9% ในปี 2023 ที่ดีกว่าปีก่อนหน้านั้นอย่างมาก
การกลับมาเปิดประเทศครั้งนี้ของจีนยังส่งผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีปัญหามาโดยตลอดในช่วงที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลต่อจากนี้ด้วย ในเดือนพฤศจิกายน 2022 มีการผ่อนคลายข้อจำกัดทำให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น ซึ่งตรงนี้ก็จะช่วยให้บริษัทที่แข็งแกร่งสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระและสร้างอาคารซึ่งขายให้กับผู้ซื้อบ้านไปแล้วจนเสร็จได้
ในการประชุม Central Economic Work Conference ของจีนในเดือนธันวาคม มีการระบุว่าจะสนับสนุน “อุปสงค์พื้นฐาน” แทนการซื้อเพื่อเก็งกำไร ด้วยเหตุนี้อาจจะมีการลดอัตราการดอกเบี้ยซื้อบ้านและข้อกำหนดการชำระเงินดาวน์ด้วย
#ข้อจำกัดของการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวจีน
หลังจากที่อัดอั้นมานาน นักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มเดินทางกันมากขึ้นในปี 2023 แม้จะยังไม่มีตัวเลขที่ชัดเจน แต่อย่างน้อย ๆ น่าจะขับเคลื่อนธุรกิจการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและประเทศโดยรอบได้ค่อนข้างมาก (ไทยเองก็จะได้อานิสงส์ตรงนี้ไปด้วย) สิ่งที่ต้องจับตาดูตอนนี้คือมาตรการตรวจสอบนักเดินทางที่มาจากประเทศจีนของแต่ละประเทศว่าจะเข้มงวดขนาดไหน
บางประเทศอย่างอเมริกา, อิตาลี, อังกฤษ, แคนาดา และ ออสเตรเลียก็มีการตรวจที่เข้มงวด ผู้เดินทางต้องแสดงผลตรวจเชื้อโควิด-19 เป็นลบก่อนขึ้นเครื่องบิน บางประเทศอย่างญี่ปุ่นก็มีการจำกัดเที่ยวบินจากจีนให้ลงจอดได้ที่สนามบินเพียง 4 แห่ง (โตเกียว 2 แห่ง, โอซากา และ นาโกยา) หรืออย่างเกาหลีใต้ก็จะมีการตรวจโควิดนักเดินทางทุกคนที่มาจากจีนเลย แต่บางประเทศอย่างโมร็อกโกก็แบนไม่รับนักท่องเที่ยวชาวจีนเลย
สำหรับประเทศไทยเองยังไม่มีมาตรการอะไรที่ชัดเจนออกมา พยายามแสดงความเป็นกลางมากที่สุด โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. สาธารณสุข กล่าวว่า “เราไม่ได้คำนึงด้านสาธารณสุขเพียงอย่างเดียว แต่คิดเรื่องของเศรษฐกิจด้วย เพื่อให้เศรษฐกิจไทยพลิกฟื้น อีกทั้งระบบเศรษฐกิจไทยก็ได้รับการพึ่งพาจากท่องเที่ยวจีน มาตรการต่างๆ จึงเน้นเรื่องความสมดุล”
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.ว่า “ในส่วนของประเทศไทยเองไม่อยากให้มีการตั้งข้อรังเกียจหรือสงสัยเพราะการปฏิบัติในส่วนของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจะเหมือนกันทั้งหมดไม่ว่าจะมาจากฝั่งตะวันตกหรือฝั่งเอเชียก็ตาม”
สิ่งที่ประเทศต่าง ๆ กังวลไม่ใช่เรื่องของการระบาดของไวรัสเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการกลายพันธุ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ซึ่งตรงนี้ถ้ามีการกลายพันธุ์และเป็นสายพันธุ์ที่รุนแรงและแพร่กระจายได้เร็วกว่าเดิมก็จะส่งผลกระทบต่อประเทศนั้น ๆ ด้วย
#ความปั่นป่วนในระยะสั้นและเติบโตในช่วงครึ่งหลัง
ในช่วงสามเดือนต่อจากนี้เราจะเห็นความปั่นป่วนเกิดขึ้นทั้งภายในและนอกของประเทศจีน ความท้าทายทางสาธารณะสุขจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน โรงพยาบาลจะเต็มไปด้วยผู้ป่วยและอัตราการเสียชีวิตจะพุ่งสูงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่วนของประเทศอื่น ๆ ที่เป็นคู่ค้าของจีนจะต้องเตรียมรับมือกับสิ่งนี้ไปพร้อมกันด้วย
แต่ในช่วงครึ่งหลังของปีน่าจะสดใสมากขึ้น โดยนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคาร HSBC คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของจีนทั้งปี 2023 น่าจะเติบโตอยู่ที่ราว ๆ 5% ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมด้วย
===============================
อ้างอิง
#aomMONEY #china #thegreatreopening #thegreareconnection #นักท่องเที่ยวจีน #จีนเปิดประเทศ #ธุรกิจ #แนวโน้มธุรกิจ2023 #zerocovid #โควิดเป็นศูนย์ #ควรกลัวนักท่องเที่ยวจีนไหม #xijingping #สีจิ้นผิง #อสังหาริมทรัพย์
◤ = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
aomMONEY ก้าวแรกสู่ความสำเร็จทาง "การเงิน"
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = ◢
.
👍 ชอบกด Like โดนใจ กด Share
และอย่าลืม ✅ See First
เพื่อที่จะได้ไม่พลาดข่าวสารใหม่ ๆ ก่อนใคร
.
ติดตามความรู้ทางการเงินในช่องทางอื่นๆ ได้ที่
📌 กลุ่มกองทุนไหนดี https://bit.ly/3aOjgMl
.
สนใจโฆษณาติดต่อ :
👉 Tel: 065-242-1544 (คุณเต้ย)
โฆษณา