7 ม.ค. 2023 เวลา 00:06 • การเมือง
ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ นักวิชาการ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้ออกมาเตือนความจำ เมื่อครั้งประเทศไทย เคยเกือบเกิดสงครามแบบ ยูเครน รวมถึงความเป็นมิตรแท้กับจีน และการหักหลังของสหรัฐฯ โดยมีรายละเอียดว่า
.
ที่มาของสงครามสั่งสอน น้ำไกลดับไฟใกล้ไม่ได้ ไทยก็เคยพลาดเหมือนเซเลนสกี้และยูเครน
.
ครั้งหนึ่ง เมื่อราว 48 ปีก่อน ไทยเคยเหมือนยูเครน คือเอียงไปทางอเมริกามากเหลือเกิน ยอมให้อเมริกามาตั้งฐานทัพสหรัฐอเมริกาในประเทศไทย
และเราเป็นฐานบิน ให้อเมริกันไปทิ้งระเบิดและ ทิ้งสารเคมีฝนเหลืองในลาว เวียดนาม และกัมพูชา แต่สุดท้ายเวียดกง ก็มุดดินสู้อย่างแข็งแกร่ง แล้วราวปี 2518 ประเทศเวียดนามใต้ก็แตก
อเมริกันพ่ายแพ้สงครามเวียดนามกระเจิง กองทัพเวียดนามก็ฮึกเหิมมาก จะบุกไทย
.
ไทยบ่ายหน้าไปขออเมริกามหามิตร ให้ช่วย อเมริกาก็ไม่มีปัญญาช่วย น้ำไกลดับไฟใกล้ไม่ได้เลย สุดท้าย คุณชายคึกฤทธิ์ บ่ายหน้าไปขอความช่วยเหลือจากจีน พบท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง และทำให้เกิดสงครามที่จีนสั่งสอน เวียดนาม จนเวียดนามไม่กล้ามาบุกไทย
ในเวลานั้น หากจีนไม่ช่วยไทย ไม่ถึงสัปดาห์ กรุงเทพฯ ก็คงจะถูกกองทัพเวียดนาม กรีธาทัพเข้ามายึดอย่างแน่นอน
*******************
ผมขอพูดในฐานะที่ มีประสบการณ์ตรง ได้ยินเรื่องนี้ จากปากของท่าน หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ปราโมช เมื่อครั้งมาเยือน ประเทศอังกฤษ หลังจากพ้นจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีแล้ว ครั้งนั้น พวกเราเชิญท่านมาพูด ที่สามัคคีสมาคม ในลอนดอน โดยมี ท่านทูตแผน วรรณเมธี ซึ่งเป็นทูตไทย ในขณะนั้น มากับท่านด้วย
.
ท่านคึกฤทธิ์ บอกว่า American ไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย แม้แต่อาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ทิ้งไว้ในไทยหลังสงครามเวียดนาม เราขอก็ไม่ให้ เราซื้อก็ไม่ขาย ปล่อยให้อาวุธพังไปเอง
ท่านคึกฤทธิ์บอกว่า อเมริกันเป็นเพื่อนที่เลวที่สุด นั่นคือเหตุผล ที่ท่านคึกฤทธิ์ ต้องไป ประเทศจีน รายละเอียด ผมยินดีเล่าให้ฟังครับ
.
เรื่องมีอยู่ว่า ที่ประเทศอังกฤษ ในกรุงลอนดอน มีสมาคมเก่าแก่ ชื่อสามัคคีสมาคม เป็นสมาคมที่ รัชกาลที่ 6 เป็นผู้ก่อตั้งขึ้น ตอนสมัยที่ท่านทรงเป็นนักเรียน ที่ประเทศอังกฤษ ก็เลยกลายเป็น สมาคมคนไทยและนักเรียนไทย ที่เก่าแก่ที่สุด นักเรียนไทยที่อังกฤษ ส่วนใหญ่จะเป็นสมาชิกของสมาคมนี้ ยิ่งในอดีตแล้ว นักเรียนที่ได้ทุนราชการ มาเรียนในระบบ ก.พ. ทุกคน จะต้องเป็นสมาชิกสมาคนนี้
.
เมื่อหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช มาเยือนอังกฤษ พวกเราทุกคน ได้เชิญท่านมาที่สมาคม เพื่อที่จะคุยกัน ในฐานะที่ท่าน เคยเป็นอดีตสมาชิกของสมาคมมาก่อน ในระหว่างที่คุยกัน ในวันนั้น มีคนมาฟังกันมาก เต็มห้องของ สามัคคีสมาคมเลย แล้วก็ยังล้นออกมาข้างนอกอีก
.
ในการสนทนา มีช่วงหนึ่งที่เราถามท่านว่า ทำไมท่านจึงตัดสินใจ ไปเยือนจีน ท่านก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี เวียดนามได้บุกประชิดเขตแดน ของเราทุกด้าน ท่านดูแล้ว เราไม่มีทางออก ไม่มีทางเลือก นอกจากจะขอร้องจีน ให้ช่วยในเรื่องนี้
.
ในตอนแรก ท่านเรียกแม่ทัพนายกองทั้งหมด และถามว่า ถ้าเวียดนานบุกนี่ เราจะรับมือได้นานเท่าไหร่ แม่ทัพนายกอง พูดว่า ได้แค่ 7 วัน ท่านตกใจมาก อาวุธยุทโธปกรณ์ที่เรามีทั้งหมดนี่นะ รับมือได้แค่ 7 วัน และอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่อเมริกันทิ้งไว้เนี่ย ท่านก็ได้ทำหนังสือไปขอ จากรัฐบาลอเมริกัน เพื่อใช้ป้องกันตัว แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ ขอซื้อก็ไม่ขาย แล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ให้มันพัง ตามธรรมชาติของมัน
.
ท่านจึงพูดในวงสนทนาว่า อเมริกันเป็นเพื่อนที่ใช้ไม่ได้เลย คบไม่ได้คนพวกนี้ ท่านจึงเรียก ท่านทูตแผน วรรณเมธี ให้เข้ามา แล้วท่านพูดกับท่านแผนว่า เราเห็นจะต้องไปเยือนจีนกันละ เพราะไม่เห็นทางออกอย่างอื่น ท่านทูตแผนตอนนั้น จึงจัดเจ้าหน้าที่กรุยทาง ที่นายกฯไทยจะไปเยือนจีน
.
การไปเยือนจีนสมัยนั้น ต้องผ่านทางฮ่องกง เมื่อไปถึงฮ่องกง นักข่าวต่างประเทศก็รุมถามกันว่า ท่านจะไปเมืองจีนทำไม เพราะทั้งที่รู้อยู่ว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน เป็นตัวสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ให้ก่อการร้ายในไทย อยู่ในขณะนั้น
.
ท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นเราหน้าแตก เพราะต้องบากหน้า เพราะต้องไปพึ่งเขา แต่จะพูดตรงๆ มันก็จะเสียเหลี่ยม ท่านจึงบอกว่า ผมเป็นตัวแทนของรัฐบาลไทย ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับรัฐบาลจีน
.
ส่วนเรื่องพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน สนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย นั่นเป็นเรื่องของพรรคไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เราเป็นตัวแทนรัฐบาล ไม่เกี่ยวกับพรรค ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก ว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ก็คือรัฐบาลจีน แต่ก็ต้องขายผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน เมื่อไปถึงที่ประเทศจีน เขาก็ให้การต้อนรับเราอย่างดี แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่า จะได้พบท่านประธานเหมา หรือเปล่า เพราะท่านประธานแก่มากแล้ว
.
ในวันต่อมา หลังจากที่ฝ่ายไทยได้ไปเยี่ยมตามสถานที่ต่างๆ ก็มีหนังสือด่วนมาว่า ประธานเหมา เปิดให้เข้าพบ ได้ประมาณ 20 นาที ทุกคนต่างตื่นเต้น เพราะเป็นเวลาที่สำคัญ ที่จะได้พบ
.
เมื่อไปถึง ท่านคึกฤทธิ์ กลับพบว่า ท่านประธานเหมา ถึงจะแก่ชรามากแล้ว แต่ก็รู้เรื่องของไทยทุกอย่าง อย่างทะลุปรุโปร่ง ท่านเหมาเข้ามากอดท่านคึกฤทธิ์ แล้วบอกว่า ไอ้หนู เอ็งตอบคำถามนักข่าวได้ดีมาก พร้อมกับตบหลังตบไหล่ อย่างเป็นกันเอง ท่านคึกฤทธิ์ ได้คุยกับท่านเหมา อยู่ถึง 2 ถึง 3 ชั่วโมง ทั้งที่หมายกำหนดการ กำหนดไว้แค่ 20 นาที
.
ในช่วงระหว่างนั้น ท่านก็ขอท่านเหมาว่า ขอให้ช่วยบอก พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ให้หยุดปฏิบัติการรุนแรง แต่ท่านเหมา บอกว่า เราสั่งเขาอย่างนั้นไม่ได้ แต่ที่เราจะทำได้ คือหยุดส่งอาวุธและเสบียง เรื่องนี้ท่านรับปาก
.
ส่วนเรื่องเวียดนาม ท่านบอกว่า ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจีนจะจัดการเอง ทั้งหมดนี้ ได้ยินจากปากของท่าน หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ปราโมช และผมก็ไม่ใช่คนเดียว ที่อยู่ในที่ห้องสมุดนั้น มีคนอีกหลายคน ล้นออกมาจนนอกห้องสมุดเลย รวมทั้ง ท่านทูต แผน วรรณเมธี ซึ่งเป็นทูตไทยประจำประเทศอังกฤษ ในขณะนั้น และเป็นคนที่กรุยทาง ให้ท่านคึกฤทธิ์ ไปเยือนจีน
.
ครั้งนั้น ทำให้เราเข้าใจว่า ไม่ว่าอย่างไร จีนก็ยังเป็นเพื่อน เพราะเชื้อสายที่ติดต่อกัน มาหลายชั่วคน แต่อเมริกา ไม่ใช่เลย ถ้าไม่มีผลประโยชน์ เขาจะไม่เข้ามา เขาใช้เราเป็นฐานทัพ ไปโจมตีเพื่อนบ้านของเรา แต่ถึงเวลาถอย มันทิ้งเราเลย ไม่ช่วยแม้แต่อาวุธ นี่คือเรื่องทั้งหมด ที่ผมจำได้ จนถึงทุกวันนี้
ท่านทูต แผน หลังจากเกษียณ ท่านก็ได้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สภากาชาดไทย ในเวลาต่อมา
.
1
โฆษณา