14 ม.ค. 2023 เวลา 08:11 • หุ้น & เศรษฐกิจ

เติบโตอย่างรุ่งเรืองด้วยการควบรวม/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

การทำ M&A หรือการควบรวมกิจการในตลาดหุ้นไทยในช่วงหลายปีมานี้ดูเหมือนว่าจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ และที่น่าสนใจก็คือ การควบรวมกิจการในช่วงหลัง ๆ นี้มักจะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เหตุผลสำคัญผมคิดว่ามาจากการที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงอย่างมากในช่วงประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้กิจการขนาดใหญ่โตช้าลงมากจากธุรกิจเดิมของบริษัทที่ทำอยู่ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือการที่อัตราดอกเบี้ยต่ำลงมามากและสภาพคล่องในตลาดสูงมาก ทำให้ต้นทุนในการซื้อกิจการต่ำลงมาก
5
ดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องหาหนทางที่จะเติบโตให้เร็วขึ้นโดยการทำ M&A ซื้อทั้งกิจการที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน ธุรกิจต่อเนื่อง และธุรกิจที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องเลยแต่บริษัทคิดว่าตนสามารถที่จะบริหารได้เพราะมีความเข้มแข็งหรือมีความสามารถพอ และที่สำคัญมีเงินหรือสามารถที่จะระดมเงินที่จะซื้อได้โดยแทบจะไม่ต้องเพิ่มทุน
จากการศึกษาประวัติศาสตร์ของการทำ M&A ในตลาดหุ้นอย่างอเมริกานั้น พบว่ามักจะเกิดขึ้นในยามที่เศรษฐกิจดีตลาดหุ้นคึกคัก ในอดีตที่โลกยังไม่เข้าสู่ยุคดิจิทัลนั้น การเทคโอเวอร์หรือควบรวมกิจการมักจะเป็นเรื่องของการขยายตัวแบบ Conglomerate คือซื้อกิจการสารพัดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม ซึ่งทำให้บริษัทใหญ่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ได้คำนึงถึงการที่จะทำให้ธุรกิจดีขึ้นหรือนำมาเสริมกับธุรกิจเดิมที่จะก่อให้เกิด “Synergies” ที่จะช่วยลดต้นทุนหรือเพิ่มประสิทธิภาพในทางการตลาดอื่น ๆ
1
ดังนั้น บ่อยครั้ง หลังจากที่ซื้อธุรกิจไปแล้ว ผลการดำเนินงานของธุรกิจที่ซื้อเข้ามาก็ตกต่ำจนบริษัทแม่ต้องขายทิ้ง
1
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังที่เป็นยุคไฮเท็คดิจิทัล การทำ M&A มักจะเป็นเรื่องของการซื้อกิจการในธุรกิจใหม่ที่เป็น Startup ที่กำลังเติบโตและอาจจะมาท้าทายกิจการเดิมของตนเอง ซึ่งหลายครั้งก็ก่อให้เกิดผลดีต่อบริษัทอย่างน่าทึ่งนั่นคือ ทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็วและเข้มแข็งโดดเด่นทำกำไรให้กับบริษัทมหาศาลอย่างที่เราได้เห็นอยู่ในปัจจุบันที่เป็นกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่เช่นกลุ่ม FAANG เป็นต้น
1
ในตลาดหุ้นไทยนั้น เหตุการณ์การควบรวมขนาดใหญ่เริ่มทยอยออกมาต่อเนื่อง โดยที่เหตุผลและข้อดีข้อเสียรวมถึงผลกระทบกับราคาหุ้นในแต่ละดีลนั้น ผมจะลองวิเคราะห์แบบหยาบ ๆ ในความเข้าใจของผมดังต่อไปนี้
ดีลยักษ์แรกซึ่งก็เกิดมาหลายปีมากแล้วและก็ยังต่อเนื่องมาจนถึงเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็คือการเทคโอเวอร์หุ้น MAKRO ซึ่งทำธุรกิจขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ของ CPALL คิดเป็นเงินที่ต้องใช้กว่าแสนล้านบาท และต่อมาก็คือการ เทคบริษัทเจ้าของธุรกิจ LOTUS ที่ขายปลีกสินค้าประจำวันรายใหญ่ที่สุด
การซื้อกิจการทั้งสองรายนั้น เนื่องจากเป็นการซื้อที่ “แพงมาก” คิดจากค่า PE ของหุ้น “ในสายตาของนักลงทุน” ทำให้ราคาของหุ้น CPALL ตกลงมาต่อเนื่องหลายปีจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้น ก็ดูเหมือนว่า Synergies ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากเป็นธุรกิจที่คล้ายคลึงกันก็ไม่เกิดขึ้นอย่างที่คิด
อย่างไรก็ตาม ผมเองประเมินว่า ในระยะยาวแล้ว CPALL น่าจะดีขึ้นจากการซื้อกิจการทั้งสองครั้ง เหตุผลก็คือ ผลกระทบจากการ “ซื้อแพง” น่าจะค่อย ๆ หมดไป เพราะธุรกิจของ MAKRO และ LOTUS ยังเติบโตไปได้ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ในที่สุด CPALL และบริษัทลูกทั้งสองก็แทบจะครองธุรกิจค้าปลีกสินค้าประจำวันในประเทศซึ่งจะทำให้ได้เปรียบในการแข่งขันและลดต้นทุนได้อีกมาก
ดีลใหญ่รายที่สองก็คือการควบรวมระหว่างธนชาติหรือ TCAP กับทหารไทยหรือ TTB ซึ่งก็คือการรวมในธุรกิจเดียวกันคือ ธนาคารและการเงินครบวงจร เมื่อเริ่มต้นดีลดูเหมือนว่าราคาหุ้นจะตอบสนองไม่ดีนัก คนอาจจะมองว่ารวมกันเพราะ “ความจำเป็น” เนื่องจากการเป็นธนาคารระดับกลางนั้นจะอยู่ไม่ได้ในระยะยาว
1
อย่างไรก็ตาม ผู้ถือหุ้นของ TCAP ก็ได้ “ปันผลพิเศษ” ค่อนข้างมากเพราะมีการพบว่า TCAP นั้นมีทรัพย์สมบัติที่ถูกซ่อนหรือคนไม่รู้อีกมาก ทำให้โดยรวมมาถึงวันนี้ก็ต้องถือว่าคนถือหุ้น TCAP มีกำไรจากดีลนั้น และถ้ามองทางด้านของผลประกอบการของการรวมสองธนาคารก็ดูเหมือนว่าจะดีขึ้นเพราะรวมแล้วได้ Synergies จริงเพราะสามารถลดสาขาและพนักงานได้มากเช่นเดียวกับต้นทุนทางการเงินที่ลดลงโดยเฉพาะในส่วนของธนชาติ
3
ดีลใหญ่รายต่อมาคือ GULF ผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้ารายใหญ่ เทคโอเวอร์ INTUCH ซึ่งทำธุรกิจโทรคมนาคมที่ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย แต่ราคาหุ้นทั้งของ INTUCH และ GULF ต่างก็ขึ้นไปประมาณ 30-40% ในสายตาของนักลงทุนน่าจะมองว่า GULF จะโตพรวดทั้งรายได้และกำไร เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ กำไรต่อหุ้นก็จะโตก้าวกระโดดเพราะ INTUCH กำไรดี ราคาหุ้นไม่แพง ค่า PE ต่ำแค่10 กว่าเท่า ในขณะที่ GULF นั้น ค่า PE สูงในระดับเกือบ 100 เท่า
1
การเทค INTUCH นั้น นอกจากผลดีต่อผลประกอบการของ GULF ที่จะโตพรวดแล้ว ค่า PE ก็จะลดลงด้วย นั่นอาจจะทำให้หุ้น GULF มีความน่าสนใจขึ้น แต่อนาคตจะทำให้ผลประกอบการของ INTUCH ดีขึ้นได้อย่างไรถ้า GULF ไม่มีประสบการณ์ทางด้านโทรคมนาคมและดิจิทัลบางส่วน เรื่องนี้ก็อาจจะมีการมองลึกเข้าไปว่า INTUCH กับ GULF เองต่างก็ต้องอาศัยการ “ดีลกับรัฐ” เพื่อที่จะประสบความสำเร็จเหมือนกันในการทำธุรกิจ ดังนั้น การที่ GULF ซึ่งคุมและบริหารโดยคนไทยและก็มีความสามารถเป็นที่ยอมรับ ก็น่าจะช่วยให้ INTUCH ดีขึ้นได้ในอนาคต
1
ดีลที่สี่ก็คือ ดีลในธุรกิจโทรคมนาคม เป็นการรวมระหว่าง DTAC กับ TRUE ซึ่งต่างก็มีผลประกอบการไม่ดีนักเมื่อเทียบกับ ADVANC ซึ่งกำไรดีมาก เหตุผลก็คือ ยอดสมาชิกหรือลูกค้าของทั้ง 2 บริษัทแรกน้อยกว่าบริษัทหลังอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงยังเข้ามาในธุรกิจทีหลังซึ่งทำให้ได้ลูกค้าที่ใช้บริการน้อยกว่าและค่าใช้จ่ายต่อเดือนต่ำกว่า
2
ในขณะที่ต้นทุนของการให้บริการกลับไม่ต่างกันมาก เพราะค่าใช้คลื่นสัญญาณก็ต้องจ่ายเท่ากัน ค่าอุปกรณ์และโครงสร้างเสารับส่งสัญญาณก็ไม่ต่างกัน ทางแก้นั้นแทบไม่มี ครั้นจะพยายามเพิ่มลูกค้าก็ไม่ได้เพราะคนไทยทุกคนต่างก็ใช้มือถือกันหมดแล้ว ถ้าจะแย่งจากคู่แข่งโดยการลดราคาก็จะเจอกับการลดราคาสู้
ทางที่ดีที่สุดก็คือ การรวมกิจการกัน ซึ่งผมว่าจะดีต่อทั้งคู่แน่นอน แต่อาจจะต้องใช้เวลาบ้างในการลงมือปฏิบัติ อาจจะซัก 3-4 ปี นอกจากนั้น การแข่งขันในด้านของราคากับคู่แข่งก็จะลดลงซึ่งจะทำให้บริษัทมีกำไร อาจจะพอ ๆ กับ ADVANC
สุดท้ายก็คือ ดีลบางจาก BCP เทคโอเวอร์ ESSO ซึ่งเป็นธุรกิจเดียวกัน ซึ่งผมคิดว่าเป็นผลดีต่อ BCP มาก เหตุผลก็คือ ซื้อได้ในราคาที่ถูก ต่ำกว่าราคาตลาดด้วยซ้ำทั้ง ๆ ที่การเทคโอเวอร์ส่วนใหญ่นั้น มักจะต้องซื้อในราคาสูงกว่าตลาดประมาณอย่างน้อยก็ 20- 30% ขึ้นไป นอกจากนั้น การ Synergies น่าจะมีมากพอสมควร ทั้งในด้านการผลิตและการตลาด เพราะการรวมกันทำให้บางจากมีส่วนแบ่งการตลาดใกล้เคียงอันดับ 1
4
การบริหารธุรกิจ Non-Oil เช่นร้านกาแฟหรือร้านค้าอื่น ๆ ก็จะมีเพิ่มขึ้นมากทันที เช่นเดียวกับต้นทุนการบริหารทั้งทางด้านการผลิต การตลาด และอื่น ๆ ที่จะลดลง เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ การเทคโอเวอร์ครั้งนี้จะไม่มีการเพิ่มทุน ดังนั้น กำไรต่อหุ้นของ BCP อาจจะเพิ่มขึ้นทันทีถึง 40% จากกำไรที่ได้จากการถือหุ้น ESSO และนั่นก็ทำให้ราคาหุ้น BCP ปรับตัวขึ้นเกือบ 20% ในเวลา 2 วันหลังการประกาศ
1
แต่ในทางตรงกันข้าม หุ้น ESSO กลับตกลงประมาณ 17% หลังการประกาศเนื่องจากราคาที่ BCP จะเทคโอเวอร์ต่ำกว่าราคาในตลาด อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวแล้ว ESSO ก็น่าจะดีขึ้น
2
ประชาสัมพันธ์ - ตอนนี้เว็บบอร์ด Thai VI เปิดให้สมัครสมาชิกและทดลองใช้ได้ฟรี 30 วันแล้ว! เข้าไปสมัครกันได้เลยครับที่ www.ThaiVI.org
โฆษณา