20 ม.ค. 2023 เวลา 13:04 • เกม

ข้อคิดจากเกม: Elden Ring “บทเรียนจากความพ่ายแพ้”

การพ่ายแพ้
ไม่ได้แปลว่า ชีวิตต้องจบสิ้น
Elden Ring (2022)
เกมนี้เราจะได้รับบทเป็นตัวละครที่ถูกเรียกว่า “ผู้มัวหมอง”
ซึ่งเราเป็นทายาทของเหล่าผู้กล้า ที่ถูกเนรเทศออกจากดินแดนมัชฌิมา
แต่ในบัดนี้ตัวเราและผู้มัวหมองคนอื่น ๆ ได้ถูกเรียกกลับมา
เพื่อกอบกู้ดินแดนบ้านเกิดที่กำลังเข้าสู่ความเสื่อมสลาย
เรื่องราวเกิดขึ้นในยุคสมัยแห่งพฤกษาทอง
ซึ่งมีราชินีมาริกาเป็นผู้ปกครอง
โดยนางได้สร้าง “วงแหวนเอลเดน” ขึ้นมา
สิ่งนี้เป็นวงแหวนที่มีพลังอันยิ่งใหญ่
ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อเป็นบทบัญญัติศักดิ์สิทธิ์
สำหรับกำหนดความเป็นไปและชะตาชีวิตของทุกสรรพสิ่ง
อีกทั้งยังคอยประทานพรให้กับทุกสิ่งอีกด้วย
แล้วเพื่อไม่ให้ผู้ใด (รวมถึงตนเอง)
ต้องมาพบเจอกับความโศกเศร้า จากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก
ราชินีมาริกาจึงได้ทำบางสิ่ง นั่นคือ
“การแยกเอาชิ้นส่วนที่ควบคุมกฎแห่งความตาย ออกจากวงแหวนเอลเดน”
พร้อมกับผนึกชิ้นส่วนนั้นเอาไว้ แล้วจึงนำไปซ่อนเพื่อไม่ให้ใครหาพบ
ส่งผลให้ดินแดนมัชฌิมาปราศจากความตาย
แต่เพราะการไม่มีความตายนี่เอง
ที่ทำให้การใช้ชีวิตเป็นไปอย่างประมาท เลื่อนลอย ไร้จุดหมาย
และอาจลืมเลือนความหมายของการดำรงอยู่ไป
อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ขัดกับกฎของธรรมชาติเมื่อครั้งอดีต
จุดนี้เองทำให้มีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับราชินีมาริกา
ซึ่งต่อมาได้นำไปสู่เหตุการณ์คืนปฏิบัติการทมิฬ
เมื่อลูกชายคนหนึ่งของราชินีมาริกาถูกสังหาร
ด้วยอาวุธที่ว่ากันว่า ถูกสร้างขึ้นจากพลังแห่งความตาย
ไม่นานหลังจากนั้น
“วงแหวนเอลเดน” ได้ถูกทำลายจนแตกออกเป็นเป็นเสี่ยง ๆ
พร้อมกับการหายตัวไปของราชินีมาริกาผู้ปกครองดินแดน
ด้วยเหตุนี้ ความสมดุลของดินแดนมัชฌิมาจึงถูกโยกคลอนไปด้วย
เมื่อความสมดุลจางหายและพรอันศักดิ์สิทธิ์ถึงคราวเสื่อมสูญ
ดินแดนมัชฌิมาจึงไร้ผู้ปกครอง และกลายเป็นดินแดนที่ถูกปกคลุมด้วยอันตราย
อีกทั้งยังเกิดการต่อสู้แย่งชิงเศษเสี้ยวแห่งพลังจากวงแหวนเอลเดน
จนนำไปสู่สงครามนองเลือดครั้งใหญ่ ระหว่างเหล่าทายาทของราชินีมาริกา
ซึ่งนับตั้งแต่ศึกครั้งนั้น ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้
เมื่อบัลลังก์ไร้ผู้ปกครอง และวงแหวนเอลเดนยังรอคอยการฟื้นฟู
นี่จึงเป็นภารกิจของเรา ในการเดินทางตามหาเศษเสี้ยวแห่งวงแหวนเอลเดน
เพื่อฟื้นคืนพรอันศักดิ์สิทธิ์ และขึ้นปกครองดินแดนมัชฌิมา
นี่คือเกมแนว Action RPG ตระกูล Souls
ที่ให้เราได้สำรวจดินแดนแบบกึ่ง ๆ Open World
โดยมีพี่ม้าเป็นพาหนะให้เราได้ขี่ท่องโลกกว้าง
และเรายังสามารถสู้ศึกบนหลังม้าได้ด้วย
ตัวเกมเปิดโอกาสให้เราเลือกว่า
จะตะลุยเนื้อเรื่องหลักแบบเส้นตรงให้จบแบบเร็ว ๆ
หรือ
จะค่อย ๆ ออกสำรวจดินแดนมัชฌิมาเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์
ทั้งการทำภารกิจเสริม การบุกปราสาท การลุยดันเจี้ยน การหาอาวุธชุดเกราะ
การหาทรัพยากร รวมทั้งการตามเก็บเนื้อเรื่องต่าง ๆ
ผมในฐานะคนที่พึ่งเคยเล่นเกมตระกูล Souls
ขอบอกเลยครับว่า “ทีแรกก็แอบกังวลว่าจะเล่นไม่ไหว”
(คือถ้าไม่ไหวจริง ๆ ผมก็จะกดปุ่มขอคืนเงิน 555)
เพราะเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับระดับของความยากในเกม
ที่ทำให้คนเล่นหัวร้อนจนถึงขั้นต้องปาจอยทิ้ง
หรือไม่ก็ถึงขั้นทุบคีย์บอร์ดกันเลยทีเดียว !!!
แต่พอได้ลองและปรับตัวนิดหน่อยเท่านั้นล่ะครับ
โอโห้วววววว ไอ้ความยากที่เค้าว่ากันนี่แหละครับที่โคตรสนุก
ด้วยความที่ตัวเกมเปิดโอกาสให้เราตายแล้วฟื้นได้เรื่อย ๆ
(เพราะกฎของจักรวาลเกมเซ็ตไว้แบบนี้)
มันเลยทำให้ทุกความพ่ายแพ้ และทุกความตายของเรามีความหมาย
เนื่องจากในการต่อสู้เราย่อมพบกับศัตรูที่แตกต่างกัน
ทั้งในเรื่องของการเคลื่อนไหว การหลบหลีก การโจมตี และการป้องกัน
โดยหากเราสังเกต จดจำ เรียนรู้
แล้วหาจุดอ่อน หาวิธีดักทาง หาวิธีเอาชนะ
“ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์”
เราย่อมสามารถเอาชนะทั้งศึกเล็กและศึกใหญ่ได้โดยง่าย
แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นทันที
เมื่อเราดึงดันจะใช้วิธีเดิม ๆ (ที่มันไม่ได้ผล) ไปเอาชนะศัตรู
ซึ่งนี่แหละคือชนวนของความหัวร้อน
บทเรียนจากเกมนี้
ชวนให้เรากลับมาทำความรู้จักคำว่า “การพ่ายแพ้ และ ความล้มเหลว” ในมุมมองใหม่
ซึ่งโดยเนื้อแท้นั้นมันกำลังชวนให้เราเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มากมาย เช่น
-วิธีการที่เราใช้อยู่มันไม่ได้ผลนะ
-ยังมีวิธีไหนที่เรายังไม่ได้ลอง
-มีสิ่งไหนที่เราลืมสังเกตไปบ้าง
-มีสิ่งใดที่เราพึงไปเรียนรู้เพิ่มเติม
-บางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องเอาชนะมันไปทุกเรื่องก็ได้
เป็นต้น
ชีวิตมีทุกฤดูกาล
มีวันที่เราชนะ มีวันที่เราพ่ายแพ้
มีวันที่เราประสบความสำเร็จ มีวันที่เราสะดุดหัวทิ่มจนล้มเหลว
ซึ่งมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยและจังหวะเวลาของแต่ละคน
โดยเราสามารถเรียนรู้เติบโตได้จากทุกฤดูกาลของชีวิต
เช่นเดียวกับตัวเราเมื่อครั้งเยาว์วัย
ที่เรียนรู้วิธีการเดินอย่างมั่นคงมาจากการหกล้ม
“ที่เราล้มน้อยลง เพราะว่าเราเคยล้มบ่อย”

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา