21 ม.ค. 2023 เวลา 02:50 • หุ้น & เศรษฐกิจ

‘Li Lu’ อัจฉริยะ VI จีน ศิษย์ปู่ Buffett

แปลกดีนะครับ ที่โลกเราไม่ค่อยรู้จักนักลงทุนเก่งๆ จากจีน 🤔
1
เนื่องในวันตรุษจีนแบบนี้ Jitta Wealth เลยอยากพาคุณไปรู้จักกับนักลงทุนอัจฉริยะ VI ชาวจีน ที่ได้ร่ำเรียนวิชาการลงทุนโดยตรงมาจาก Warren Buffett และยังเป็นผู้ที่ Charlie Munger ยอมรับในฝีมือการลงทุน
จนเคยถูกวางตัวให้สืบทอดตำแหน่งของ Warren Buffett ใน Berkshire Hathaway มาแล้วด้วย (ก่อนที่เจ้าตัวจะปฏิเสธ) 😮
ไปรู้จักกับ Li Lu คนที่ปู่ Munger บอกว่าเป็น ‘Chinese Warren Buffett’ กันครับ 🇨🇳
1
📖 เรียนวิชากับนักลงทุนตัวจริง
Li Lu เป็นคนจีนแท้ๆ เขาเกิดในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมจีนพอดี ในวัยเด็กเขาจึงต้องอาศัยอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์และมีชีวิตที่ยากลำบาก ไม่ได้เรียนหนังสือตั้งแต่ยังเล็ก
แต่ด้วยความฉลาดที่ติดตัวมา เขาเรียนจนจบปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Nanjing ก่อนจะอพยพมาอยู่ที่รัฐนิวยอร์ก และได้รับทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่าง Columbia University
แล้วอัจฉริยะอย่างเขาก็ปล่อยของ ด้วยการเรียนจบปริญญา 3 สาขาภายในแค่เวลา 6 ปี คือปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์ นิติศาสตร์ แถมด้วยปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจหรือ M.B.A อีกใบ 🧑‍🎓
โดยในช่วงที่เขาเรียนอยู่ Columbia University ได้เชิญ Warren Buffett ซึ่งเป็นศิษย์เก่ามาเป็นอาจารย์พิเศษในวิชาที่เขาเรียน ซึ่งตัว Li Lu เล่าให้ฟังว่าเขาเกือบจะไม่ได้เข้าเรียนในคลาสนี้ครับ
เรื่องตลกที่เกิดขึ้นจริงก็คือ ในตอนนั้นภาษาอังกฤษของ Li Lu ยังไม่แข็งแรง เพราะเมื่อเพื่อนของเขาชวนให้เข้าไปฟังปู่ Buffett พูดเรื่องหลักการลงทุนพื้นฐาน เผื่อจะมีวิธีหารายได้เพิ่มจากทุนการศึกษาที่ได้
แต่ตัว Li Lu กลับเข้าใจว่าเพื่อนชวนให้ไปกิน ‘บุฟเฟ่ต์’ ฟรี ซึ่งจะทำให้เขาประหยัดเงินทุนการศึกษาที่เหลืออยู่น้อยนิดต่อไปได้อีก เขาจึงตกปากรับคำชวนของเพื่อนไปด้วยความเข้าใจผิดล้วนๆ 😂
4
สุดท้าย โชคชะตาก็ทำให้เขาก็ได้ฟังปู่ Buffett พูดในปี 2536 และเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงนั้นก็ได้ ‘เปลี่ยนชีวิต’ ของ Li Lu ไปเลย เขาบอกว่าหลักการของปู่ (กลยุทธ์ลงทุนหุ้นแบบ Net-Nets) นั้น “รัดกุม มีเหตุผล และน่าทำตาม”
1
เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงปี เขาก็นำเงินทุนการศึกษาที่เหลืออยู่มาลงทุนในหุ้นตามหลักการที่ได้ฟังมา และหลังเรียนจบในปี 2540 เขาก็ก่อตั้งกองทุนของตัวเองในชื่อ Himalaya Capital ทันทีครับ
📉 ตั้งกองทุน โดนตลาดหุ้นรับน้อง ก่อนฉายแววอัจฉริยะ
Li Lu ก่อตั้งกองทุน Himalaya Capital ขึ้นในปี 2540 ด้วยเงินที่เขากู้ยืมมาจำนวน 300,000 ดอลลาร์สหรัฐในสมัยนั้น 💰
1
คุณสังเกตอะไรไหมครับ ปี 2540 เป็นปีที่เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งพอดี ซึ่งทำให้กองทุนของเขาต้องขาดทุน -19% ตั้งแต่ปีแรกที่ก่อตั้ง
เรียกได้ว่า โดนตลาดหุ้น ‘รับน้อง’ ตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มอาชีพสายการลงทุนกันไปเลย
แต่ Li Lu ไม่ยอมแพ้ครับ เขาเดินหน้าหาหุ้นตามกลยุทธ์ Net-Nets ของ Ben Graham เพื่อลงทุนไปเรื่อยๆ จนเจอกับขุมทรัพย์หุ้น 10 เด้งตัวแรก ในที่ที่คุณยากจะนึกถึง นั่นคือหุ้นบริษัทน้ำมัน Lukoil ของรัสเซียครับ
1
เพราะในช่วงนั้นรัสเซียเพิ่งก่อตั้งขึ้นหลังสหภาพโซเวียดล่มสลาย บริษัทน้ำมันที่เคยเป็นของรัฐก็ถูกแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชน รัฐบาลแจกใบหุ้นให้ประชาชนที่สนใจ 🙋
2
แต่ด้วยความที่รัสเซียเพิ่งจะเปลี่ยนมาใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม จึงไม่มีใครรู้ว่า ‘หุ้น’ คืออะไร มีค่าแค่ไหน และรัสเซียในสมัยนั้นยังไม่มีแม้แต่ตลาดหุ้นให้ซื้อขายหุ้นเลย
2
เมื่อไม่มีใครรู้คุณค่า หุ้นบริษัทน้ำมันของหุ้นรัสเซียหลายตัวจึงมีราคาถูกมากๆ ไม่ต่างจากกระดาษเปล่า และ Li Lu ก็ไปหาซื้อใบหุ้นมาจนได้จำนวนที่เขาพอใจ 📄
1
ถามว่าหุ้นรัสเซียถูกขนาดไหน เขาได้เล่าย้อนไปว่า “ลืมเรื่องกำไรไปก่อน บริษัทน้ำมันรัสเซียเหล่านี้ซื้อขายกันที่ราคา 1 เซนต์ต่อมูลค่าสินทรัพย์ 1 ดอลลาร์เท่านั้น นี่ยังไม่รวมกำไรของบริษัทเลยนะ”
2
ตลอดการลงทุนของ Li Lu เขาเจอกับหุ้นคุณภาพดีจำนวนมากที่ถูกตลาดหุ้นไม่สนใจ ซึ่งเปิดโอกาสให้เขาทำกำไรได้ เช่น หุ้นของบริษัทเสื้อผ้า Timberland ซึ่งทำกำไรให้เขาถึง 6 เท่าในเวลาแค่ 2 ปีเท่านั้นครับ
1
บางแหล่งข้อมูลระบุว่ากองทุน Himalaya Capital ของเขาทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ถึง 30% ตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2540 และในปัจจุบันกองทุนของเขามีมูลค่า AUM มาก 18.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว 📈
1
ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็ถือเป็นสถิติผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงมากๆ ครับ
💡 หลักการลงทุน (ที่เข้มข้นกว่าปู่ Buffett)
ถ้าหลักการลงทุนของปู่ Buffett คือ ‘ซื้อหุ้นที่ยอดเยี่ยม ในราคาที่เหมาะสม’
หลักการลงทุนของ Li Lu ก็คงจะเป็นการ ‘ซื้อหุ้นที่ยอดเยี่ยม ในราคาถูกสุดๆ’ เพื่อลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสทำกำไรในระยะยาวครับ
1
โดยเขาเคยอธิบายหลักการลงทุนของเขาไว้อย่างละเอียด ซึ่งพอจะสรุปออกมาให้คุณได้ศึกษากันดังนี้ครับ
📌 ลงทุนระยะยาว: เขาเน้นลงทุนหุ้นในระยะยาวหลายสิบปี และมักมองหาบริษัทขนาดกลาง-เล็กที่เขาเข้าใจธุรกิจอย่างถ่องแท้ มีทีมผู้บริหารที่ดี มีความได้เปรียบในการแข่งขัน และจะเติบโตไปได้อีกนาน
2
📌 ซื้อหุ้นที่มี Margin of Safety: จุดที่ทำให้หลักการลงทุนของ Li Lu ดุดันกว่าของปู่ Buffett คือ ถ้าเจอหุ้นคุณภาพดีแล้ว เขาพร้อมจะอดทนรอให้ราคาหุ้นตกลงมาจนถึงจุดที่เขาพอใจแล้วเท่านั้นถึงจะลงทุน ต่างจากปู่ Buffett ที่ยินดีซื้อหุ้นในราคาท่ีเหมาะสม
3
📌 ลงทุนแบบโฟกัส: จากข้อที่แล้ว ถ้าหุ้นที่เขาเล็งไว้ราคาตกลงมาถึงเกณฑ์ที่เขาพอใจ เขาก็พร้อมจะลงทุนแบบ ‘ใส่ไม่ยั้ง’ ด้วยเงินจำนวนมหาศาล เพราะโอกาสที่จะเจอ ‘หุ้นคุณภาพดี ราคาถูก’ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ
1
📌 หาความรู้เพิ่มอยู่เสมอ: Li Lu บอกว่าเขาชอบหาความรู้เรื่องธุรกิจหรือหาหุ้นในประเทศใหม่ๆ ที่เขาไม่รู้จักอยู่เสมอ เพื่อขยายขอบเขตความสามารถของตัวเอง ซึ่งจะทำให้เขาเจอโอกาสลงทุนดีๆ เยอะขึ้น
2
อีกข้อได้เปรียบของ Li Lu คือ เขาเป็นคนจีนโดยกำเนิดจึงเข้าใจภาษาจีนเป็นอย่างดี และทำให้เขาหาโอกาสลงทุนจากตลาดหุ้นจีนได้สะดวกกว่านักลงทุนสาย VI คนอื่นๆ
1
ซึ่งก็เป็น Li Lu นี่แหละที่แนะนำให้ปู่ Buffett และ Munger รู้จักกับหุ้น BYD ยักษ์ใหญ่ด้านรถยนต์ EV ของจีน ซึ่งทำกำไรก้อนโตให้กับ Berkshire Hathaway ในปัจจุบัน และตัว Li Lu ก็ลงทุนหุ้น BYD อยู่ด้วย
2
และกองทุน Himalaya Capital ของเขาก็เป็นกองทุนเดียวนอกเหนือจาก Berkshire Hathaway ที่ปู่ Munger เอาเงินของตัวเองไปลงทุนด้วย เพราะยอมรับในความสามารถ
1
โดยปู่ Munger เคยพูดถึง Li Lu ไว้ว่า “ผมอ่านนิตยสาร Barron’s มาเกือบ 50 ปี ผมเจอโอกาสการลงทุนดีๆ แค่ครั้งเดียวและได้กำไรมา 80 ล้านดอลลาร์ ต่อมาผมเอาเงิน 80 ล้านดอลลาร์ไปให้ Li Lu ลงทุนต่อ และเขาทำกำไรให้ผมได้ 400 หรือ 500 ล้านดอลลาร์”
2
แค่เท่านี้ คุณก็น่าจะพอเห็นภาพความเป็นอัจฉริยะด้านการลงทุนของ Li Lu ที่ขนาดว่านักลงทุนที่มั่งคั่งที่สุดในโลกยังให้การยอมรับ 👍
ถึงแม้ในโลกการลงทุน เราจะไม่ค่อยได้ยินชื่อของ Li Lu ปรากฎตามหน้าสื่อมากนัก แต่นักลงทุนสาย VI ที่เก่งๆ หลายคนกลับให้การยอมรับในฝีมือการลงทุนของเขา
แต่มุมมองต่อการลงทุนของ Li Lu นั้นน่าศึกษา เพราะเขานำหลักการลงทุนจากทั้ง Warren Buffett และ Charlie Munger มาต่อยอด แถมยังขยันหาหุ้นในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย เพื่อขยายขอบเขตความรู้ของตัวเองอีกด้วย
2
ถือเป็นคุณลักษณะที่นักลงทุนสาย VI ที่ประสบความสำเร็จมักจะมีร่วมกันครับ คือ แน่วแน่ในหลักการลงทุน มองทุกอย่างในระยะยาว และหมั่นหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ
ซึ่งคุณเองก็นำมาใช้เป็นแบบอย่างในการลงทุนได้เช่นกัน
ขอให้มีความสุขในการลงทุนครับ 😎
โฆษณา