ประวัติศาสตร์ล้วนๆ
กลุ่ม อพปส ได้ทำคลิปที่ยกคัมภีร์อัลกุรอาน
ของอิสลาม มาชี้นำตามที่ตนเองตีความ
ที่ต่อต้านศาสนาอิสลามอย่างเปิดเผย
ที่คนระดับหัวหน้า องค์กรนี้ยกมา
ตอนนั้นผมไม่ได้ไปค้น วันนี้มีคนเอามา
ให้ผมดูพร้อมกับ พูดทำนองเดียวกันว่า
มันคือ หลักฐานของ การที่คนเห็นต่างจากศาสนา
อิสลามพระเจ้าจะลงโทษ ตามฉากของโวหารที่บรรยายนี้
ผมคงไม่ได้จะตอบโต้อะไรเขา
แต่อยากจะเขียนถึงความหมายและ
โครงสร้าง การเขียนคัมภีร์อัลกุรอาน
ที่มันได้มีมาถึงยุคเรา ในรูปแบบหนังสือเล่มหนึ่ง
ในนามคัมภีร์ของศาสนา ที่ อิสลามเชื่อว่า
ทุกคำมาจากพระเจ้า ที่ถ่ายทอดให้ท่าน
ศาสดารับมาคำต่อคำ ตามที่พระเจ้าได้ตรัสไว้
ไม่ใช่ รับเรื่องมากล่าวต่อโดยปราศจาคต้นฉบับ
ส่วนคนที่ไม่ใช่อิสลาม ก็อ่านในแบบที่ตนคิด
และเชื่อกันไป ตามพื้นฐานที่เลือก
โครงสร้างการเขียน เป็นลักษณะที่พระเจ้า
(อัลลอฮ์ พระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง)
เป็นผู้เล่าเรื่อง ให้ ศาสดามูฮัมหมัด ผู้ได้รับคัมภีร์นี้ฟัง
ภาษาที่ใช้ เป็นภาษาวรรณกรรมเชิงโวหาร
ที่พระเจ้า เป็นผู้ที่ ตรัสฝ่ายเดียว โดยศาสดาได้แต่
เพียงรับฟังแล้วรับมา โดยไม่คำต่อเติมหรือตัดทอน
จึงสรุปรวมว่า เป็นสำนวนทางการใช้ภาษา สำหรับอ่าน
ที่พระเจ้าออกแบบมาล้วนๆ (รวมไปถึงการเรียบเรียงทั้งเล่ม
ที่มาถึงมือเราอย่างที่เห็น)
ในโองการที่ 122 เป็นวิธีการบอกยุคสมัยของผู้เล่า
คือยุคของโมเสส(มูซา) และฮารูน(อารอน) สองพี่น้อง
ชาวยิว ที่เป็นศาสดาทั้งคู่ ในยุคที่ติดอยู่ในอียิปต์
(ราว3000ปีที่แล้ว)
123 ฟิรอาวน์ กล่าวว่า เป็นการทับศัพท์การใช้คำว่าฟาโรว์
แห่งอียิปต์ของอาหรับ ที่ข่มขู่ทาสชาวยิว ที่เชื่อในคำสอนของ
มูซา(โมเสส)และฮารูน ในเรื่องการนับถือพระเจ้าองค์เดียว
และไม่เชื่อว่า ฟาโรห์คือพระเจ้าแบบสมมติเทพ
ในโวหารตรงนี้ชี้ให้เห็นถึงฟาโรห์คิดว่า ทาสยิวอาจ
ก่อกบถได้จากความเชื่อนี้ ที่ปลูกฝังกันมายาวนาน
นับตั้งแต่เปลี่ยนราชวงษ์ แล้วกลายเป็นคนต่างด้าว
ในอียิปต์ทั้งๆที่อยู่กันมาสี่ร้อยปีแล้วเป็นอย่างน้อย
ตั้งแต่รุ่น นบี(ศาสดา)ยะกู๊บ(อิสราเอล) ที่นบียูซุฟหรือ
โยเซฟ ผู้เป็นลูก ให้อพยพกันมาอยู่ทั้งตระกูลพร้อมข้าทาสบริวาร
124 เป็นสำนวนการข่มขู่ของฟาโรห์ต่อชาวยิว
ว่า จะได้รู้ว่าเขาจะทำอย่างไร
125 ชาวยิวกล่าวว่า ถ้าฟาโรห์ฆ่าพวกเขาเพราะศรัทธา
ที่พวกเขามี พวกเขาก็เพียงแค่กลับไปสู่พระเจ้าที่เขาศรัทธา
สำนวนในอัลกุรอานในแต่ละบทและโองการนั่น
จะเกี่ยวพันอ้างอิงกันเองไปหมดในเรื่องต่างๆ
ที่มีผลต่อการให้ความหมาย ในหลายด้าน
บางครั้งก็อ้างอิงกลับไปถึงคัมภีร์ ก่อนหน้านี้
ที่มีคนในประวัติศาสตร์รู้กัน ที่เรียกว่าชาวคัมภีร์
ในยุคนั้น
ดังนั้นคนที่ไม่มีพื้นฐาน การอ่านภาษาวรรณกรรม
หรือประวัติศาสตร์ ในบางโองการที่อยู่ๆมาอ่าน
หรือยกมาเฉพาะที่ตนโฟกัส แล้วตีความชี้นำเอาเอง
จึงเข้าใจผิดพลาดได้ง่าย หากไม่มีความรู้ทางด้านวิชาการ
อื่นๆกำกับหรือมีพื้นฐานในการแปลและให้ความหมายไม่เพียงพอ
เพียงแต่แค่อ่านหนังสือออกนั้นยังไม่พอ
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
