24 ม.ค. 2023 เวลา 12:59 • กีฬา

ชะตาชีวิตของอาร์เตต้ากับอาร์เซน่อล จังหวะที่เหมาะสม สู่การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก

ความจริง มิเกล อาร์เตต้า เกือบจะได้คุมอาร์เซน่อลทันที ตั้งแต่อาร์แซน เวนเกอร์ลงจากตำแหน่ง แต่ผู้บริหารเปลี่ยนใจวินาทีสุดท้าย ไปเลือกเอาอูไน เอเมรี่แทน
4
ทำไมทีมปืนใหญ่ ถึงตัดสินใจแบบนั้น เราจะไปย้อนอดีตด้วยกัน
ด้วยกระแส Wenger Out ที่รุนแรง ทำให้อาร์แซน เวนเกอร์ ลาออกจากสโมสรหลังจบฤดูกาล 2017-18 ปิดฉากช่วงเวลา 22 ปี กับอาร์เซน่อล แน่นอนว่า การจะหาโค้ชคนใหม่มาแทนที่นั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะเวนเกอร์สร้างตำนานเอาไว้อย่างยิ่งใหญ่จริงๆ
ในการ Recruit หาบอสคนใหม่ ชื่อของ มิเกล อาร์เตต้า ผู้ช่วยผู้จัดการทีมแมนฯ ซิตี้ ซึ่งเป็นอดีตกัปตันทีมปืนใหญ่ พุ่งขึ้นมาเป็นตัวเต็งลำดับต้นๆ เพราะเป็นคนที่เข้าใจดีเอ็นเอของสโมสรอย่างลึกซึ้ง แถมอายุยังน้อย (ณ เวลานั้นคือ 36 ปี) สามารถอยู่กับทีมได้ยาวๆ เป็นสิบฤดูกาล
1
อาร์เซน่อลไม่ชอบเปลี่ยนผู้จัดการทีมบ่อย ตอนเวนเกอร์ ก็ใช้มา 22 ปี ดังนั้นโค้ชคนใหม่ ถ้าเอาอาร์เตต้า ก็น่าจะเป็นชอยส์ที่เหมาะสม
อาร์เซน่อลเชิญอาร์เตต้ามาสัมภาษณ์ กับ 3 ผู้บริหาร คือ อีวาน กาซิดิส, ราอูล ซานเยฮี และ สเวน มิสลินทัต เมื่อสัมภาษณ์เสร็จ ทั้งหมดบอกตรงกันว่า "อาร์เตต้าเข้าใจคุณค่าของอาร์เซน่อลที่เวนเกอร์สร้างขึ้นมา และน่าจะสานงานต่อได้อย่างไม่มีปัญหา"
2
ทัศนคติของอาร์เตต้ามี 2 ข้อ ที่เหมือนเวนเกอร์มากๆ ข้อแรกคือ ผู้เล่นต้องเป็นมืออาชีพเสมอ นี่ไม่ใช่เวทีของมือสมัครเล่น
2
อาร์เตต้ากล่าวว่า "ผมจะทำให้นักเตะทุกคนใส่ความมุ่งมั่น 120% นั่นคือกฎข้อแรก ถ้าคุณทำไม่ได้ คุณก็เล่นฟุตบอลกับผมไม่ได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นเวลาทำงาน มันคือเวลาทำงาน และเมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นช่วงอิสระ ที่เราจะปล่อยให้คุณสนุกได้ ผมจะเป็นคนแรกที่กระโจนเข้าไปหาความสนุกเลย"
เรื่องนี้ มีความคล้ายกับเวนเกอร์มาก ที่คาดหวังความเป็นมืออาชีพกับนักเตะเสมอ เมื่อก่อนผู้เล่นอาร์เซน่อล ในยุคบรูซ ริอ็อค จะกินอาหารมั่วซั่วไม่ดูแลตัวเอง แต่พอเวนเกอร์เข้ามา เขากำหนดเรื่องโภชนาการอย่างละเอียด และนักเตะที่จะเล่นให้เขา ก็ต้องกินอาหารให้ถูกต้องตามคำสั่งเวนเกอร์ด้วย คุณจะมาทำเล่นๆ ไม่ได้เด็ดขาด
1
และข้อสองที่เหมือนเวนเกอร์คือ อาร์เซน่อลต้องเป็นผู้นำในสนามไม่ใช่ผู้ตาม
อาร์เตต้ากล่าวว่า "ผมต้องการฟุตบอลที่ดุดัน และสวยงาม เราต้องเล่นฟุตบอลในแนวทางของเราเอง เราไม่สามารถวางแท็กติกโดยอ้างอิงจากแผนการเล่นของคู่แข่งทุกๆ นัดได้หรอก เราต้องคุมเกมเอาไว้ และเป็นคนที่สร้างสรรค์เกมขึ้นมา เราต้องทำให้แฟนบอลรู้สึกสนุกที่เข้ามาดูเราในสนาม"
1
ความหมายของอาร์เตต้าคือ จะมีโค้ชบางคน ที่จะปรับเปลี่ยนแท็กติก ไปตามคู่แข่ง ถ้าคู่แข่งมาแผนนึง ก็จะใช้กลยุทธ์ A เข้าสู้ หรือถ้ามาอีกแผน ก็จะใช้กลยุทธ์ B
1
โค้ชสไตล์แบบนี้ ก็เช่น โชเซ่ มูรินโญ่ หรือ ราฟาเอล เบนิเตซ เป็นต้น ซึ่งก็สามารถประสบความสำเร็จได้ แต่นั่นคือสิ่งที่อาร์เตต้าไม่ต้องการ เขาอยากสร้างอาร์เซน่อลให้มีวิธีการเล่นที่ชัดเจนไปเลย เป็นทีมที่เล่นเกมรุก และพร้อมชนะคู่ต่อสู้ โดยยึดแผนการเล่นของตัวเองไว้ ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
คือตอนแรกดูแล้วยังไงอาร์เซน่อลก็น่าจะเลือกอาร์เตต้าแน่ๆ แต่ทว่าแคนดิเดทคนสุดท้ายที่เรียกสัมภาษณ์คือ "อูไน เอเมรี่" และหลังเอเมรี่ทำการพรีเซ็นเตชั่นเสร็จ มันก็ได้เปลี่ยนความคิดของผู้บริหารไปอย่างสิ้นเชิง
1
เอเมรี่ เข้ามาที่สโมสรอาร์เซน่อล พร้อมด้วยกระดาษ 100 แผ่น ที่มีข้อมูลทั้งหมดของนักเตะในอาร์เซน่อล และสตาฟฟ์โค้ช รวมถึงยังมีข้อมูลเกี่ยวกับดาวรุ่งพรสวรรค์ของสโมสรอีกด้วย คือดูก็รู้ว่าเอเมรี่ ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีมากๆ ก่อนทำการพรีเซนเตชั่น นี่เป็นเรื่องที่สร้างความประทับใจให้ผู้บริหารปืนใหญ่เป็นอย่างมาก
จากนั้นทุกคนก็มาดูโพรไฟล์เทียบอาร์เตต้ากับเอเมรี่อีกที ปรากฏว่า อาร์เตต้าเคยเป็นแค่ผู้ช่วยของกวาร์ดิโอล่าอย่างเดียว ประสบการณ์น้อยเกินไป ตรงข้ามกับเอเมรี่ ที่เคยได้แชมป์ลีกเอิง (กับเปแอสเช) และ ยูฟ่า ยูโรป้าลีก (กับเซบีญ่า) รวมถึงคุมทีมในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกหลายซีซั่น
ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา อาร์เซน่อลไม่เคยแต่งตั้งโค้ชที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนเลยแม้แต่คนเดียว คนสุดท้ายคือ เบอร์ตี้ มี ที่เคยคุมทีมปืนใหญ่ ในช่วงปี 1966-1976 แต่จากนั้นมา ก็เปลี่ยนผู้จัดการทีมมาอีกหลายครั้ง ก็จะเน้นเอาคนที่มีประสบการณ์เยอะไว้ก่อน ดังนั้นถ้าไปเลือกอาร์เตต้า มันดูจะขัดกับธรรมเนียมเดิมๆ ของทีม
2
อีวาน กาซีดีส ซีอีโอของอาร์เซน่อลเล่าให้ฟังว่า หลังจากสัมภาษณ์ครบทุกคน ก็ตัดแคนดิเดทเหลือ 8 คน และจาก 8 คน ก็เหลือ 3 คน โดยขั้นตอนสุดท้าย กาซีดีส, มิสลินทัต และ ซาเยฮี จะเขียนชื่อในกระดาษเรียงกัน ว่าชอบใครมากสุด อันดับ 1 2 3 ซึ่งผลลัพธ์คือทั้งสามคนเรียง 1 2 3 เหมือนกันเป๊ะ และคนที่เป็นอันดับ 1 ในกระดาษทั้งสามใบคือ อูไน เอเมรี่
นั่นทำให้เอเมรี่ได้งาน ส่วนอาร์เตต้า ต้องโดนหักอก แล้วกลับไปทำงานเป็นผู้ช่วยของกวาร์ดิโอล่าต่อ ในแง่ดีคือเขาก็มีเวลาศึกษาจากปรมาจารย์อย่างเป๊ปมากขึ้นอีกนิด ซึ่งมันจะกลายเป็นรากฐานสำคัญกับตัวเขาเองในอนาคตด้วย
เอเมรี่ได้งานก็จริง แต่ผู้บริหารทีม ไม่ได้มอบความเชื่อใจขนาดนั้น โดยแต่งตั้งให้เอเมรี่เป็น "เฮดโค้ช" เท่านั้น ไม่เหมือนอาร์แซน เวนเกอร์ ที่เป็นผู้จัดการทีม สามารถคอนโทรลได้ทุกอย่าง แต่เอเมรี่ จะได้ทำหน้าที่หลักแค่วางแท็กติกในแต่ละนัด ไม่มีอำนาจในการเสนอว่าจะซื้อนักเตะคนไหนเข้าสู่สโมสร
2
ระบบการทำงานของอาร์เซน่อล ณ เวลานั้น มีโครงสร้างแบบนี้ คือ
- อีวาน กาซิดิส เป็นซีอีโอ ควบคุมภาพรวมทั้งหมดขององค์กร
- อูไน เอเมรี่ เป็นเฮดโค้ช ทำหน้าที่รับผิดชอบด้านแท็กติกการเล่น
- ราอูล ซานเยฮี เป็น Head of Football Relation ทำหน้าที่ตัดสินใจการซื้อขายตัวผู้เล่น และ การเจรจาจ้างสตาฟฟ์ทั้งหมดของสโมสรที่เกี่ยวกับฟุตบอล
- สเวน มิลินสตัต เป็นหัวหน้าแมวมอง เขาจะมองนักเตะที่น่าจะเหมาะสม นำไปเสนอกับซานเยฮีต่อไป
ถามว่าฤดูกาลแรกของเอเมรี่ ย่ำแย่ขนาดนั้นไหม? คำตอบคือ ไม่
1
อาร์เซน่อลของเอเมรี่ (2018-19) หากเทียบกับอาร์เซน่อลปีสุดท้ายของเวนเกอร์ (2017-18) จะเห็นได้ว่า มีแต้มเฉลี่ยเพิ่มขึ้น จาก 1.7 แต้มต่อเกม เพิ่มเป็น 1.9 แต้มต่อเกม และยิงประตูเฉลี่ยเพิ่มขึ้น จากเดิมเกมละ 1.9 ลูก เพิ่มเป็นเกมละ 2.1 ลูก
1
อาร์เซน่อลในพรีเมียร์ลีก ทำได้ 70 แต้ม อยู่อันดับ 5 ตามหลังสเปอร์ส อันดับ 4 เพียงแค่ 1 คะแนนเท่านั้น เกือบมากๆ ที่จะได้โควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นอกจากนั้น ยังได้เข้าชิงยูฟ่า ยูโรป้าลีก แต่ไปแพ้เชลซีอย่างน่าเสียดายในรอบชิงชนะเลิศ
อาร์เซน่อลทำได้ขนาดนี้ ในเงื่อนไขว่า ตัวหลักๆ อย่าง แอร่อน แรมซีย์ และ เอคตอร์ เบเยริน เจ็บยาว การมาได้ไกลขนาดนี้ ก็นับว่าไม่แย่แล้ว
แต่ไม่แย่ ไม่ได้แปลว่าดี อธิบายคือ ในความรู้สึกของแฟนบอลอาร์เซน่อล และตำนานของทีมหลายคน คิดว่าถ้าทีมปืนใหญ่ใช้งานเอเมรี่ ทีมก็จะวนเวียนอยู่แถวนี้ล่ะ อันดับ 4-5-6 อาจจะมีลุ้นบอลถ้วย แต่ถ้าจะหวังให้ไปลุ้นแย่งแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ ลิเวอร์พูล มองไม่ออกเลยจริงๆ
คนแรกๆ ที่ออกมาตำหนิเอเมรี่ คือเยนส์ เลห์มันน์ นายทวารชุด The Invincibles โดยเลห์มันน์บอกว่า "ผู้บริหารเลือกผิดคนแล้ว" ในมุมของเขา ไปเอาอาร์เตต้าแต่แรกยังดีกว่า
เลห์มันน์บอกว่า "คนที่อยู่บนหอคอยบางครั้งจะไม่รู้ว่าใครเหมาะสม พวกเขาจึงตัดสินใจผิดพลาดง่ายมาก อย่างเอเมรี่ ผมคิดว่ามันคือความผิดพลาด เขาจะสร้างทีมขึ้นมาได้อย่างไร ในเมื่อยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ผมว่าเขาโชคดีนะที่ได้ตำแหน่งที่อาร์เซน่อล แต่ผมว่าเขาไม่ดีพอ เพราะข้ามกำแพงภาษาไม่ได้ คุณอาจมีไอเดียที่เลิศเลอในหัวเป็นภาษาสเปน แต่เมื่อคุณถ่ายทอดมาเป็นอังกฤษไม่ได้ก็จบแล้ว"
2
ขณะที่เอ็มมานูเอล เปอตีต์ กองกลางทีมชาติฝรั่งเศส ทีมแชมป์ยุคแรกของเวนเกอร์ กล่าวว่า เอเมรี่เป็นโค้ชประเภทที่ปรับแผนตามคู่แข่ง และเน้นให้ผ่านไปแต่ละเกม อาจจะเหมาะกับทีมระดับกลางๆ หรือเล็กๆ แต่ไม่เหมาะกับอาร์เซน่อล เพราะไม่เข้าใจดีเอ็นเอของสโมสร
4
เปอตีต์กล่าวว่า "การเลือกเอเมรี่เป็นการทำลายมรดกฟุตบอลที่เวนเกอร์ทิ้งเอาไว้ โอเคว่า 2-3 ปีหลังสุดของเวนเกอร์ เขาอาจจะติดๆ ขัดๆ บ้าง แต่มันก็ยังมีเอกลักษณ์ของอาร์เซน่อลชัดเจน แต่พอเอเมรี่ถูกแต่งตั้ง สไตล์การเล่นของเขาไม่เหมาะกับดีเอ็นเอของสโมสร เกมรุกอันสวยงามที่เราเคยทำได้ นึกไม่ออกจริงๆ ว่ามันไปอยู่ไหนแล้ว ไม่มีการต่อบอลสวยๆ ไม่มีการช่วยกันเคลื่อนที่ ไม่มีการจ่ายบอลวันทัช ทูทัช อะไรดีๆ ผมไม่เห็นอยู่ในทีมเลย บางครั้งผมก็รู้สึกว่ามันน่าเบื่อนะ"
3
ในฤดูกาล 2019-20 อาร์เซน่อลเริ่มมาได้โอเค ใน 2 เกมแรกชนะรวด อยู่รองจ่าฝูงของตาราง แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็ค่อยๆ ดิ่งลงเหว 11 เกมต่อมาของเอเมรี่ เขาพาทีมชนะได้แค่ 2 นัด ทีมเล่นแบบไม่มีทรง นักเตะเสียความมั่นใจ และแฟนบอลก็หมดศรัทธา
1
คือถ้าไม่ชนะแต่เล่นดีเล่นสวยก็ยังว่าไปอย่าง แต่อันนี้มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีมิติ ไม่มีความน่ากลัว คือมันไม่เห็นอนาคต ทำให้ราอูล ซานเยฮี และ เอดู ผู้อำนวยการเทคนิค ตัดสินใจบินด่วนไปสหรัฐอเมริกา หลังจบเกมเสมอเซาธ์แฮมป์ตัน 2-2 เพื่อไปคุยกับสแตน โครเอนเก้ เจ้าของทีมถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ประเด็นสำคัญที่สุดคือ "การสื่อสาร" ที่เอเมรี่ ไม่สามารถทำให้อาร์เซน่อลเป็นเนื้อเดียวกันได้
3
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน 2019 อาร์เซน่อลตกลงใจว่าจะปลดเอเมรี่ จากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้น ศุกร์ที่ 29 พ.ย. ก่อนเริ่มการซ้อม ซานเยฮีเรียกเอเมรี่เข้าไปแจ้งข่าว ว่าสโมสรตัดสินใจแยกทางกับเขา พร้อมทั้งสตาฟฟ์ชาวสเปน ที่เอเมรี่เอามาทั้งหมด
เอเมรี่ยอมรับความจริงด้วยความสงบนิ่ง เขาขออนุญาตสโมสร ไปบอกลานักเตะแต่ละคน ขอให้ทุกคนโชคดีในอนาคต ก่อนจะเก็บของออกจากสโมสรทันที และอาร์เซน่อลออกแถลงการณ์ทางทวิตเตอร์ เวลา 10.09 น. ที่อังกฤษ
เอเมรี่ ไม่ได้ทำอะไรผิดขนาดนั้น ถ้าให้เวลาอีกสัก 2-3 ปี เขาอาจจะมีผลงานดีขึ้นกว่านี้ก็ได้ แต่อาร์เซน่อลมองเกมระยะยาวแล้ว คิดว่าไม่น่าจะเวิร์ก ถ้าไหนๆ ก็ต้องเปลี่ยนผู้จัดการทีมอยู่แล้ว ทำไมไม่เปลี่ยนมันซะตอนนี้เลยดีกว่า
1
คำถามคือ เมื่อไล่ออกแล้วจะเอาใคร? ตอนนั้น มีชอยส์อยู่ 2 ตัวเลือก ที่เด่นมากๆ คือโชเซ่ มูรินโญ่ที่ว่างงานอยู่ หลังโดนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไล่ออกมาพอดี กับ มิเกล อาร์เตต้า ผู้ช่วยผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ ซิตี้
อาร์เซน่อลใช้เวลาทบทวนราว 1 เดือน โดยระหว่างนั้นก็ให้เฟดริค ลุงเบิร์ก ที่มีโปรไลเซนส์ คุมทีมชั่วคราวไปก่อน และหลังจากคิดมาอย่างดีแล้ว อาร์เซน่อลไม่ยื่นข้อเสนอให้มูรินโญ่ แต่เลือกมิเกล อาร์เตต้า วัย 37 ขึ้นเป็นเฮดโค้ชคนใหม่
เหตุผลที่เลือกอาร์เตต้านั้น มีหลายข้อมาก ข้อแรกคือ ถ้าไปเลือกมูรินโญ่ ก็จะเหมือนกับเอเมรี่นั่นแหละ คือประสบการณ์เยอะ แต่ไม่เข้าใจความเป็นอาร์เซน่อล ตรงข้ามกับอาร์เตต้าที่รู้ข้อมูลภายใน ภายนอกทุกอย่าง รู้ว่าจะจัดการปัญหาอย่างไร และการเป็นอดีตนักเตะก็จะทำให้แฟนบอลมีความอดทนเพิ่มขึ้นด้วย
1
ในช่วง 1 เดือนที่ลุงเบิร์กคุมทีมนั้น เขายอมรับว่าแต่ละเกมยากลำบากมาก เพราะนักเตะหลายคน "ดูไม่แคร์สโมสร" คือเล่นๆ ไป ตามหน้าที่ ไม่มีแพสชั่น ไม่มีความกระหาย ไม่มีการมองอนาคต ดังนั้นปัญหานี้ สโมสรจึงมองว่า ถ้าได้โค้ชที่เข้าใจดีเอ็นเอของอาร์เซน่อลอย่างอาร์เตต้าอาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้
1
ข้อสองคือ อาร์เตต้าโตมาจากลา มาเซีย และเป็นผู้ช่วยของกวาร์ดิโอล่า ดังนั้นถ้าคุณอยากให้อาร์เซน่อลเล่นบอลสวย ต่อบอลงดงามเหมือนยุคเวนเกอร์ จะมีใครที่เหมาะไปกับอาร์เตต้าอีก
2
มีเรื่องเล่าที่น่าสนใจมาก อาร์เตต้าเคยบอกไว้ ในวันแรกที่เขารับงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมแมนฯ ซิตี้ เขาเห็นกวาร์ดิโอล่า เดินลงไปในสนามซ้อม และสั่งให้ผู้เล่นทั้งหมด ลงมาสู่สนามพร้อมอธิบายว่า เวลาคุณมีบอลต้องวิ่งอย่างไร แล้วถ้าไม่มีบอลต้องทำอย่างไร สิ่งที่กวาร์ดิโอล่าบอกคือ คำสั่ง เป็นเรื่องที่ Non-negotiable หรือต่อรองไม่ได้
2
วันนั้นอาร์เตต้าจึงได้เข้าใจว่า การที่กวาร์ดิโอล่าสุดยอดขนาดนั้น เพราะเขา "คิดแผน" มาอย่างดีแล้ว ว่าต้องเล่นแบบไหน นักเตะทำหน้าที่ซ้อมตามแผนเท่านั้น การจะคุมผู้เล่นระดับโลกได้ คนที่เป็นโค้ชต้องมีความอหังการ และมีความเผด็จการอยู่ในตัวบ้าง ถ้าอะไรๆ ก็โอนอ่อนตามนักเตะไปหมด จะทำทีมประสบความสำเร็จยากมาก
4
ลองคิดดูว่า นั่นคือวันแรก ที่อาร์เตต้าอยู่กับกวาร์ดิโอล่า ยังได้เรียนรู้อะไรดีๆ ขนาดนี้ แล้วเขาอยู่มา 3 ปีเต็มๆ จะได้ความรู้มากมายขนาดไหน
ส่วนเหตุผลข้อสาม ที่ทำให้อาร์เตต้าโดดเด่นกว่าใครคือเขาพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วมาก สามารถสื่อสารโดยตรงกับนักเตะ ผู้บริหาร และสตาฟฟ์ทุกคนได้เลย โดยไม่ต้องผ่านล่าม
2
สเป็กทุกอย่างตรงหมดกับสิ่งที่ผู้บริหารต้องการ จริงอยู่ว่ามันก็มีความเสี่ยงเหมือนกัน ในแง่ว่าคุณไปเอากุนซือที่ไม่มีประสบการณ์เลยมาคุมทีม แต่ถ้าคุณไม่กล้าเดิมพัน แล้วจะกล้าหวังความสำเร็จได้อย่างไร ดูอย่างบาร์เซโลน่ายุคทองสิ ก็เลือกกวาร์ดิโอล่าที่ไม่เคยคุมทีมชุดใหญ่ หรือเรอัล มาดริด ชุดแชมป์ยุโรป 3 ปีซ้อน ก็ไปดึงเอาซีเนอดีน ซีดาน ที่ไม่เคยคุมทีมชุดใหญ่เช่นกัน ดังนั้นทำไมอาร์เซน่อล จะวัดใจกับอาร์เตต้าไม่ได้
1
จริงๆ แล้ว เป๊ป กวาร์ดิโอล่า พยายามรั้งอาร์เตต้าสุดชีวิตแล้ว กวาร์ดิโอล่าประกาศว่า "ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผมลงจากตำแหน่งผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คนที่เหมาะสมที่สุดที่จะขึ้นมาทำหน้าที่แทนก็คือ มิเกล อาร์เตต้า"
1
กวาร์ดิโอล่า ถามอาร์เตต้าตรงๆ เลยว่า "นายอยากทำจริงๆ หรอ ถ้านายรู้สึกว่าอยากทำจริงๆ งั้นก็ไป"
อาร์เตต้าจึงต้องเลือก ระหว่างอยู่แมนฯ ซิตี้ต่อ รอกวาร์ดิโอล่าลงจากตำแหน่งแล้วสานต่อความสำเร็จทันที ถ้าเป็นแบบนั้นเขาอาจจะได้แชมป์ง่ายมากๆ เพราะได้ใช้งานทีมเรือใบที่โครงสร้างดีอยู่แล้ว กับอีกทางคือ มาสร้างทีมอาร์เซน่อลขึ้นมาใหม่จากจุดเริ่มต้นเลย
และอาร์เตต้า ตัดสินใจเลือกอาร์เซน่อล มันเป็นข้อเสนอที่เขาปฏิเสธไม่ได้จริงๆ เขาอยากจะทำให้อาร์เซน่อลของเขา กลับมาเกรียงไกรอีกครั้ง
ในวันที่อาร์เตต้ามาบอกลากวาร์ดิโอล่า ตัวเป๊ปได้ถามความแน่ใจครั้งสุดท้ายโดยบอกว่า "นายอยากทำจริงๆ หรือ? ถ้านายรู้สึกว่าอยากทำจริงๆ งั้นก็ทำมันเลย"
และเมื่อคำตอบจากอาร์เตต้าคือ "ใช่" เป๊ปก็ได้แต่แสดงความยินดี และขอให้ผู้ช่วยของเขา โชคดีกับเส้นทางในอนาคต
20 ธันวาคม 2019 อาร์เตต้าเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับทีมอาร์เซน่อล ในฐานะเฮดโค้ช ท่ามกลางความคาดหวังว่า อาร์เตต้าจะทำให้ทีมปืนใหญ่กลับมามีดีเอ็นเอเฉพาะของตัวเองอีกครั้ง
ในวันแรกที่เข้ามาคุมทีม สิ่งที่อาร์เตต้าสัมผัสได้อย่างรวดเร็วคือ สปิริตของนักเตะ ทัศนคติของหลายคนผิดเพี้ยนมาก ไม่มีใจอยากเป็นผู้ชนะ มีแต่ลงเล่นให้จบๆ ไป ซึ่งอาร์เตต้ากล่าวไว้วันแรกๆ เลยว่า "ผมต้องการจะเริ่มต้นจากอิฐก้อนแรกเลย ผมอยากรู้ว่าทำไมทัศนคติแบบนี้ถึงเกิดขึ้นในห้องแต่งตัวของเรา"
3
ภารกิจของเขายาวไกล การจะรื้อฟื้นทีมที่หมดใจให้กลับมาเล่นด้วยใจสู้อีกครั้ง ไม่ใช่เรื่องง่าย ใครที่ควรโละ ใครที่ควรเก็บไว้ นักเตะตำแหน่งไหน ที่ต้องซื้อใหม่ มีการบ้านให้ทำมากมายหลายข้อจริงๆ
1
แต่อาร์เตต้าไม่ยอมแพ้ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะมากอบกู้อาร์เซน่อล เขาก็จะทำให้ได้อย่างที่พูด และประโยคสำคัญที่เขาได้ฝากไว้ถึงแฟนๆ ก็คือ "ความฝันของผมคือทำให้สโมสรฟุตบอลแห่งนี้ ไปถึงระดับที่คู่ควร ผมต้องการสร้างบางอย่างขึ้นมา แต่แน่นอน มันต้องใช้เวลา เวลาที่ผมพูดไม่ได้ 1 เดือน หรือ 3 เดือนนะ มันนานกว่านั้น ตอนนี้เราอาจจะยังไม่ได้อยู่เหนือใครๆ แต่ผมก็พร้อมที่จะสู้ ผมพร้อมที่จะสู้ด้วยพลังทั้งหมดในชีวิตเพราะผมเชื่อจริงๆ ว่าเราจะสามารถประสบความสำเร็จได้"
1
อาร์เตต้าขอให้สโมสรและแฟนๆ เชื่อมั่นในโปรเจ็กต์ของเขา เขารู้ว่าทำอะไรอยู่ แต่การจะรื้อสิ่งที่ผุผัง ที่กัดกร่อนสโมสรอยู่ มันทำไม่ได้ใน 3 เดือน 6 เดือน มันต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ถ้าคุณรอได้ คุณจะได้เห็นอาร์เซน่อลยุคใหม่ ผลิดอกออกผลแน่นอน
2
มันมีคำกล่าวที่คนชอบพูดกันเสมอ คือชีวิต มันมีจังหวะของมัน
1
ถ้าหากวันที่ปลดเวนเกอร์ปั๊บ แล้วแต่งตั้งอาร์เตต้าทันที ป่านนั้นอาร์เตต้าอาจถูกนำไปเปรียบเทียบกับเวนเกอร์ทันที และโดนเด้งตั้งแต่ปีแรกแล้ว แต่พอมีอูไน เอเมรี่มาคั่นก่อน ทำให้บอร์ดบริหารได้เห็นว่า คนที่เข้าใจคาแรคเตอร์ของทีมจริงๆ มันหายากมาก และเมื่อพบเจอแล้วคุณก็ควรอดทนรอ ให้เวลาเขาทำทีมเต็มที่
1
ในช่วงที่อาร์เซน่อลเลือกอูไน เอเมรี่ ระหว่างนั้น อาร์เตต้าก็ได้เรียนรู้กับกวาร์ดิโอล่าเพิ่มอีก 18 เดือน ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น และนำมันมาใช้ตอนได้คุมอาร์เซน่อลจริงๆ ด้วย
2
ดังนั้นแฟนอาร์เซน่อล ที่ต้องเจ็บปวดมาอย่างยาวนาน ไม่ได้แชมป์มานานหลายปี บางทีจังหวะชีวิตมันอาจกำหนดไว้
เสียใจ เจ็บใจ ท้อใจ มากเท่าไหร่ แต่ในเมื่อคุณยังอดทนอยู่เคียงข้างทีมมาตลอด อาจบ่นนู่น บ่นนี่ แต่สุดท้ายก็เชียร์อยู่ดี ไม่เคยหนีไปไหน
ยิ่งรอคอยมานานเท่าไหร่ แล้วเมื่อวันหนึ่งไปถึงแชมป์ได้จริงๆ ความสุขมันก็จะยิ่งทวีคูณจนอธิบายไม่ได้เลยทีเดียว
 
#TRUSTTHEPROCESS
โฆษณา