Tony Fadell เห็น pain point ตรงจุดนี้จึงมีความคิดอยากสร้างอุปกรณ์ที่สามารถฟังเพลงในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ได้ คือเริ่มต้นจากเค้าคิดที่จะให้อุปกรณ์ตัวนี้สามารถแปลงไฟล์จากซีดีเพลงเป็น MP3 ได้ก่อนและตัวอุปกรณ์ต้องสามารถเก็บไฟล์เพลงได้จำนวนมาก เป็นลักษณะเหมือนตู้เพลงครับ
หลังจากนั้นไม่นานเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ทาง Apple มีโครงการจะสร้างอุปกรณ์ฟังเพลงแบบพกพา “handheld” ตัวใหม่ เนื่องจากว่าในขณะนั้น Apple เองก็ค่อนข้างแย่ เนื่องจากยอดขายผลิตภัณฑ์หลักของเค้าในขณะนั้นซึ่งคือเครื่องคอมพิวเตอร์ “Mcintosh” ก็ตกลงอย่างมาก ทำให้ทาง “Steve Jobs” ที่เป็น CEO ของ Apple ในขณะนั้นต้องหาทางสร้าง product ตัวใหม่ที่จะนำ Apple กลับไปผงาดอีกครั้งครับ
1
และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ Tony Fadell ได้มาร่วมงานกับ Apple และสร้าง iPod ขึ้นมา โดยประสบความสำเร็จอย่างมากในขณะนั้นด้วยสโลแกนอย่าง “1,000 songs in your pocket” ครับ Wowwww
💡 Tony Fadell นั้นให้ข้อคิดว่าไม่ว่าไอเดียคุณจะเจ๋งซักแค่ไหน แต่มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม ยังไม่มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อหนุน ยังไม่เป็นที่ต้องการของคนหรือคนยังนึกไม่ออกว่าจะใช้งานมันยังไงก็ยากนะครับที่ไอเดียนั้นจะเกิดขึ้นได้จริง
✅ สามารถทำให้ลูกค้านึกถึงปัญหาหรือ pain point ที่ได้ถูกแก้ไขอย่างไร
Tony บอกว่า Steve Jobs เป็นคนที่เก่งมาก ๆ ครับในเรื่องของ storytelling ใครยังไม่เคยดูคลิปเปิดตัว iPhone สามารถไปหามาดูได้ครับ จะเห็นได้ว่า Steve Jobs จะใช้เวลาในช่วงแรกค่อนข้างมากในการอธิบาย why และ pain point ของโทรศัพท์ smartphone แบบเก่าครับ
2
……………..
“Evolution VS Disruption VS Execution”
สำหรับการสร้างผลิตภัณฑ์นั้น แน่นอนว่าจะมีออกมาหลายเวอร์ชั่นหรือหลายรุ่นตามการพัฒนาผลิตภัณฑ์นั่นเอง (เช่น พวก iPhone ปาเข้าไป 14 รุ่นแล้วไม่นับรุ่นย่อย S อีก)
Tony บอกว่ามันต้องขนาดที่ว่าทำให้คนหัวเราะเยอะใส่แนวคิดของคุณเลยครับ เหมือนตอนที่ Sony หัวเราะเยาะใส่ Apple ตอนที่จะออก iPod หรือเหมือนกับที่ Nokia หัวเราะเยาะใส่ Apple ตอนที่จะออก iPhone ครับ และเมื่อไหร่ก็ตามที่ผลิตภัณฑ์ของคุณเริ่มโดนเจ้าตลาดปัจจุบันรายใหญ่จับตามองหรือเริ่มตามมาฟ้องร้อง พยายามสกัดดาวรุ่งแล้วหละก็แสดงว่าผลิตภัณฑ์ของคุณประสบความสำเร็จในการ disrupt แล้วหละครับ ! เค้าบอกว่าหากเราเจอเรื่องแบบนี้ควรจะฉลองเลยครับ 555
เค้าได้เสริมเพิ่มอีกว่าในการออกผลิตภัณฑ์แต่ละเวอร์ชั่นนั้นอย่ามีฟีเจอร์อะไรใหญ่ ๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงมาก ๆ หลายอย่างพร้อมกันเพราะจะทำให้ลูกค้าสับสนและไม่สามารถตามทันได้ โดยเค้ายกตัวอย่างว่านี่คือเหตุผลที่ตอนออก iPod ตัวแรกนั้นยังไม่ได้มาพร้อมกับ iTune music store ทั้งที่เค้าได้เตรียมการไว้แล้ว เพราะการที่คนต้องเปลี่ยนแปลงจากการฟังเพลงจาก CD มาเป็น MP3 ด้วยการใช้เครื่องเล่นแบบ iPod ก็ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดมากแล้วครับ เค้าเลยเก็บฟีเจอร์ตัว iTune store มาปล่อยในเวอร์ชั่นถัดไปแทนครับ