27 ม.ค. 2023 เวลา 05:43 • หุ้น & เศรษฐกิจ

🔔 รู้หรือไม่❓ตลาดหุ้นไทยผันผวนต่ำที่สุดในโลก❗และผลลัพธ์ที่นักเก็งกำไรควรรู้

นักลงทุนหลายท่านคงมีความคิดเหมือนกับพวกเราใช่ไหมครับว่า ในทุกวันนี้ตลาดหุ้นไทยชักเริ่มน่าเบื่อและหมดเสน่ห์ลงทุกวัน จากการแกว่งตัวเขี่ยไป-มาขึ้นสลับลงจนสุดท้ายแทบจะวนเวียนอยู่ที่เดิม
โดยหากย้อนกลับไปเมื่อช่วงเวลานี้ของปีที่แล้ว (26 ม.ค. 65) ดัชนี SET50 ปิดที่ระดับ 992 จุด จนผ่านมาครบ 1 ปี (26 ม.ค. 66) ก็ปิดที่ระดับ 997 จุด แทบไม่เปลี่ยนแปลง
ดังนั้น ในวันนี้เราในฐานะของนักลงทุนที่อาศัยความผันผวนในการทำกำไร จึงได้ทำการเก็บข้อมูลสำคัญของตลาดพร้อมกับมาบอกเล่าถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นวิทยาทานให้กับทุกท่านได้เตรียมรับมือดังบทความนี้
ตารางแสดงค่า S.D. รายวันของตลาดหุ้นใหญ่ทั่วโลกปี 2022
ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดหุ้นที่มีความผันผวนต่ำที่สุดในโลก !
นี่เป็น 1 ในสถิติที่อาจไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก โดยเราได้ทำการเก็บข้อมูลส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviations) ของผลตอบแทนรายวันของตลาดหุ้น Top50 ที่มี Market Cap สูงสุดในโลกในปี 2022 โดยหาข้อมูลได้ทั้งสิ้น 35 ประเทศ
จากนั้น Ranking ลำดับจากน้อยที่สุดไปมากที่สุดพบว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีค่า S.D. ต่ำที่สุดเพียง 0.69% ตามมาด้วยประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย ตามลำดับ
ส่วนประเทศที่ความผันผวนมากที่สุด คือ รัสเซียที่ทุกคนคงคาดไว้แล้วจากผลกระทบของสงคราม ตามมาด้วยฮ่องกงหรือ Hang Seng ที่เราเห็นการเคลื่อนไหวระดับหลายร้อยจุดแทบทุกวัน
แล้วข้อมูลนี้ส่งผลกระทบต่อนักลงทุน(เก็งกำไร) อย่างไร ?
“I love Volatility” นี่คือคำที่ ปีเตอร์ ลินซ์ ผู้ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุนในตำนานเคยให้สัมภาษณ์ออกสื่อ รวมถึงอีกหลาย ๆ ประโยคในสังคม เช่น “ความผันผวนคือเพื่อนที่ดีที่สุด” ที่เราเชื่อว่านักเก็งกำไรเกินครึ่งคงเห็นด้วย เพราะความผันวนของราคาจะช่วยให้เราได้ใช้เป็นโอกาสในการซื้อ-ขายหุ้นเพื่อกินส่วนต่างราคา โดยยิ่งตลาดมีการแกว่งตัวขึ้น-ลงแรงเท่าไหร่ โอกาสทำกำไรก็จะยิ่งมากขึ้น
แล้วหากถ้าตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนที่ต่ำที่สุดในโลกนี้แบบนี้จะส่งผลอย่างไร ? เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพเราจึงทำตัวอย่างประกอบโดยการเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐที่มีความผันผวนในลำดับกลาง ๆ (21) มารับชมผลลัพธ์กันดังนี้
รูปแสดงกราฟ %ผลตอบแทนสะสมของ SET50 และ Dow Jones ในปี 2022 พร้อมผลการ Back Test
หากสังเกตจากกราฟจะเห็นว่าแท้จริงแล้ว ตลาดหุ้นไทยก็มีทิศทางการเคลื่อนไหวสอดคล้องกับตลาดหุ้นสหรัฐ เพียงแต่มีขนาดที่แตกต่างกันสิ้นเชิง ทำให้รอบการเคลื่อนไหวถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ไม่ +/-5% เท่านั้น ในขณะที่ดาวโจนมีรอบการเคลื่อนไหวสูงสุดเกือบ 20%
โดยเราได้ทำการ Back Test จำลองการซื้อขายเปรียบเทียบกันจากการใช้ Moving Average 2 เส้นตัดกันเป็นสัญญาณซื้อขาย (ใช้ค่ามาตรฐานที่ 2 กับ 100 ใน Time Flame 15 นาทีเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ไม่ Bias และเพียงพอ) โดยย่อขนาดดาวโจนลงมา 33 เท่าเพื่อให้ใกล้เคียงกับ SET50 (33,000 จุด หาร 33 เท่ากับ 1,000 จุด)
ซึ่งได้ผลลัพธ์ คือ ตลาดหุ้นไทยกลับมีผลตอบแทนสุทธิเพียง +8.7 จุด ขณะที่ดาวโจนกลับสร้างผลตอบแทนสุทธิได้ถึง +125 จุด ซึ่งถือเป็นตัวเลขกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำสำหรับนักลงทุนในตลาด Futures ดังนั้น ทุกท่านคงเห็นภาพแล้วนะครับ ว่าการที่ประเทศไทยผันผวนต่ำที่สุดในโลกนี้ ส่งผลผลกระทบต่อนักเก็งกำไรมากแค่ไหน
✳️ สุดท้ายนี้พวกเราเองก็ไม่คาดคิดว่าตลาดหุ้นไทยจะมาถึงจุดนี้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วก็ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องปรับตัว ทั้งการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมกลยุทธ์, การเล่นรอบให้เร็วขึ้น, รวมถึงการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่ช่วย Leverage ผลตอบแทน เช่น การเล่น DW หรือ Block Trade ซึ่งแน่นอนว่าส่วนหนึ่งที่ตลาดเป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะคนบางกลุ่มที่ปรับตัวมาใช้มันแล้ว
โดยทุกท่านสามารถดูหลักฐานดังคลิปในสปอยด้านล่าง โดยเราเองก็จะพยายามคิดค้นกลยุทธ์หรือข้อมูลเชิงลึกจากเครื่องมือเหล่านี้ มา Support เพื่อให้รายย่อยเราสามารถต่อกรกับรายใหญ่ได้อย่างทัดเทียมที่สุด ใครที่สนใจก็ติดตามกันมานะครับ เราขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการลงทุนในทุกสภาวะตลาด ขอบคุณครับ
💬 สามารถพูดคุย สอบถาม หรือร่วมแชร์ข้อมูลกับเราได้ ในห้อง Line Open Chat “TFEX For Future”
👇🏻 คลิก link เข้ากลุ่มได้
📣 "โปรลับค่าคอมลด 80%" ‼️ สำหรับสมาชิกคนพิเศษ
📍 เราให้ได้มากกว่า แค่คำว่า...”ค่าคอมถูก”
ง่ายๆ แค่คลิก👇🏻link แล้วกรอกข้อมูล📄
✳️ฝากติดตาม TFEX For Future ช่องทางอื่นด้วยนะครับ
โฆษณา