27 ม.ค. 2023 เวลา 11:55 • ข่าวรอบโลก

แนวโน้มเศรษฐกิจอาเซียน 2566

‘อาเซียน’ เป็นหนึ่งในเขตที่เติบโตอย่างรวดเร็วของโลกในปี 2565 โดยเบื้องต้นธนาคารพัฒนาเอเชียคาดการณ์ไว้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะอยู่ที่ 5.5% ในปี 2565
ขณะนี้เราก้าวสู่ปี 2566 ที่เต็มไปด้วยความกดดันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ แล้ว ซึ่งความกดดันบางเรื่องเป็นตัวฉุดความเติบโตของโลก ด้วยเหตุนี้ ธนาคารพัฒนาเอเชียจึงได้ทบทวนการคาดการณ์ลดลงมาอยู่ที่ 4.7% สำหรับอาเซียน เนื่องจากอุปสงค์ทั่วโลกลดลง ขณะที่ นักวิเคราะห์จากเครดิต สวิส คาดว่าการเติบโตของ 6 ประเทศในอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทยและเวียดนามจะอยู่ที่ 4.4% ในปี 2566 จากที่คาดการณ์ไว้ที่ 5.6% ในปี 2565
เมื่อมองดูตัวเลขเหล่านี้แล้วจะเห็นได้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนยังคงเหนือกว่าค่าเฉลี่ยของโลก โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ไว้ว่าการเติบโตของโลกจะเติบโตที่ 3.2% ในปี 2565 และ 2.7% ในปี 2566 แต่ล่าสุด ธนาคารโลกหั่นแนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจโลกปี 2566 เป็น 1.7% จากที่ก่อนหน้านี้คาดการณ์ไว้ที่ 3% ดังนั้น ‘อาเซียน’ จึงยังคงเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดใจสำหรับการลงทุนต่างประเทศ เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้สัมผัสกับหนึ่งในพื้นที่ที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก
พร้อมกันนี้ บรรดาประเทศสมาชิกอาเซียนอาจจะได้รับประโยชน์จากสถานะทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีสิทธิพิเศษในอนาคต เนื่องจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีน ทวีความรุนแรงขึ้น และมหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศต่างก็มองหาโอกาสที่จะกระชับความสัมพันธ์ภายในภูมิภาคนี้มากขึ้นด้วย โดยเน้นไปที่พันธสัญญาในการทำมาค้าขายกับประเทศอาเซียนต่าง ๆ
เช่น จีนนั้นจะค้าขายผ่านความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) ส่วนสหรัฐฯ มีเพียงแค่ข้อตกลงการค้าเสรีกับบางประเทศที่ถูกเลือกจากภูมิภาคนี้เท่านั้น
มหาอำนาจทั้ง 2 ชาติ ไม่ได้เป็นแค่ปัจจัยเดียวที่อาจจะมีส่วนช่วยด้านความเติบโตของอาเซียนในปี 2566 ซึ่งหลายประเทศมีอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่างประเทศขนาดใหญ่และสภาพแวดล้อมเกี่ยวกับโรคระบาดที่ดีขึ้นจะส่งเสริมให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ในปี 2566 โดย Goldman Sachs ระบุว่า ไทยและมาเลเซียอาจเติบโต 4% เนื่องจากการเดินทางและการท่องเที่ยวทั่วโลกกลับมาเป็นปกติ อีกทั้งมาเลเซีย ฟิลิปปินส์และไทยมีแนวโน้มจะเห็นภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวสู่ระดับก่อนเกิดโรคระบาดโควิด 19 ในปี 2566 ด้วย
ทั้งนี้ หลายประเทศในอาเซียนจะเผชิญการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แต่ Goldman Sachs มองว่า ‘ไทย’ อาจเป็นเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ที่ต้านเทรนด์เศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากได้รับแรงสนับสนุนจากการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น ต้นทุนการขนส่งทางเรือทั่วโลกลดลง และแรงฉุดในสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ น้อยลง
ขณะที่ นักวิเคราะห์ของ S&P แนะนำว่าการชะลอตัวทางเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบน้อยต่อประเทศที่เน้นการเติบโตจากอุปสงค์ภายในประเทศอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ซึ่งทั้ง 2 ประเทศ คาดว่าจะเติบโตอย่างน้อย 5% ในปี 2566 อย่างไรก็ดี การเติบโตที่ลดลง ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศพัฒนาแล้วจะลดกิจกรรม่ทางเศรษฐกิจในแง่อุปสงค์ในบรรดาประเทศสมาชิกอาเซียน
ในด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ประเทศในอาเซียนเป็นแหล่งดึงดูด FDI ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยนำเสนอทางเลือกที่เย้ายวนสำหรับบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการลดการค้าขายกับจีนที่เพิ่มอุปสรรคทางการค้ามากขึ้น และต้องการหาแหล่งผลิตที่ถูกกว่าซึ่งปัจจุบันบรรดาบริษัทข้ามชาติมองว่า ‘ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้’ เป็นทางเลือกในแง่ ‘ศูนย์กลางการผลิต’ มากขึ้น โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ค่าจ้างที่แข่งขันได้ การปรับปรุงกฎเกณฑ์การทำธุรกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และอุปสงค์ภายในประเทศที่มากขึ้น
ตัวอย่างประเทศที่ดูงดูด FDI ได้มาก หนึ่งในนั้น คือ อินโดนีเซีย โดย FDI ทั้งหมดในอินโดนีเซีย ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2565 แตะ 894 ล้านล้านรูเปียห์ หรือราว 57,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 75% ของ 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นเป้าหมายของปี 2565 และแม้ว่าจะยังไม่เปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ แต่ทางการอินโดนีเซียเชื่อมั่นว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ ขณะที่ ในปี 2566 รัฐบาลอินโดนีเซียตั้งเป้าหมายเพิ่มเป้าหมาย FDI สู่ 92,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
อีกประเทศที่น่าสนใจ คือ เวียดนามที่นำเสนอการเข้าถึงอุตสาหกรรมที่แข่งขันได้ในระดับโลก การเข้าสู่ตลาดขนาดใหญ่ และความแน่นอนได้ดีกว่าจีน โดยท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน เวียดนามได้กลายเป็นผู้จำหน่ายทางเลือกของสินค้าประเภทไม้ซึ่งสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของการส่งออกผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับไม้ เช่นเดียวกันกับอุตสาหกรรมสิ่งทอของเวียดนามที่ได้รับความสนใจมากขึ้นหลังจากสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายที่กังวลเกี่ยวกับการใช้แรงงานและฝ้ายที่มีแหล่งที่มาจากเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน
นอกจากนี้ จีนและเศรษฐกิจของจีนนั้นนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจใน ‘อาเซียน’ โดยคาดว่าจีนจะอยู่ในสภาวะที่เฟื่องฟูหลังจากเปิดประเทศ ซึ่งจากข้อมูลของธนาคารโลกคาดว่าจะเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนฟื้นตัวสู่ 4.3% ในปีนี้ จากที่คาดการณ์ 2.7% ในปี 2565
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญมองว่าโดยรวมอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนอาจจะลดลงในปี 2566 ท่ามกลางอุปสรรคต่าง ๆ ทั่วโลกที่รุนแรงขึ้น แต่อาเซียนจะยังคงเป็นจุดที่ส่องแสง ‘เจิดจรัส’ ในโลกที่กำลังมุ่งสู่สภาวะถดถอย
ที่มา:
โฆษณา