2 ก.พ. 2023 เวลา 15:12 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] THATTHONG SOUND - YOUNGOHM

เจอธาตุแท้ที่ธาตุทอง
-ประเดิมรีวิวอัลบั้มแรกประจำปี 2023 ด้วย sophomore album จากไอ้เด็กหนุ่มสุดซ่าส์ย่านเอกมัย โอม รัธพงศ์ ภูรีสิทธิ์ a.k.a Youngohm (Mafuckerrrr) ที่กลับมาในรอบ 2 ปีกว่าถัดจาก Bangkok Legacy เดบิวต์อัลบั้มที่ฉายแสงเด็กแร็ปที่มีเซนส์ป็อปเต็มเปี่ยม มีวลี earworm มากมาย และปฏิเสธไม่ได้ว่าไอ้หนุ่มนี่มันมี potential ในการบิ้วด์คาแรคเตอร์ที่เป็นได้ทั้งเด็กแสบและนักรักในเวลาเดียวกัน
-อัลบั้มแรกที่ผมเคยรีวิวไป ผมเคยให้ฉายาเค้าไปว่า นักรัก ณ บางกอก ด้วยตัวเพลงแทบจะ 80% เปิดหัวด้วยประเด็นรักๆใคร่ๆที่ศิลปินไทยแนวไหนก็ต่างเล่นกัน ความแตกต่างที่พอจับต้องได้ก็คงเป็นความขบถพร้อมท้าชนและงัดการ diss ออกมาตอบโต้ด้วยอารมณ์ไม่ยอมใครเช่นกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งลุงตู่ อย่างไรก็ดีนี่คือการเดบิวท์ที่เปิดทางให้ใครก็ตามที่ไม่ใช่สายฮิปฮอปแบบจัดจ้านสามารถเข้าถึงไอ้หนุ่มคนนี้ได้ไม่ยากเย็น ประหนึ่งมันจะต้องมีซักเพลงที่คุณสามารถฟังเคียงคู่กับเพลงป็อปไทยอื่นๆได้อย่างแนบเนียน
-สำหรับอัลบั้มชุดที่สอง เริ่มท้าทายกลุ่มแฟนเพลงที่ฮิปฮอปไม่จัดมากแต่ติดใจความ catchy จาก Bangkok Legacy แต่สาวกเดนตายตั้งแต่สมัยใต้ดินต่างสิ้นสุดการรอคอย เพราะนี่คืออัลบั้ม rap mode สัดส่วน 80% ที่ไม่เน้นติดหู แต่เน้นสตอรี่ดีเทลที่ไม่ได้นั่งเทียนเซ็ตเรื่องใหม่แต่อย่างใด หยิบเรื่องราววีรกรรมสมัยมัธยมวัดธาตุทองเนี่ยแหละ
-วัตถุดิบชั้นดีอยู่ที่การ reminisce ประสบการณ์ที่ศิลปินคนนึงโตมา ผ่านอะไรมาถึงได้เป็นยังโอมที่เรารู้จักจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็ต้องร้องอื้อหือ โอมแม่งโตเกินวัยมากๆ โคตรแสบตรงที่ผ่านจุดเห่อมอยจนเกือบถลำลึกเข้าสู่ด้านเทาเข้ม อดห่วงไม่ได้ว่า หากพวกเอ็งไม่มี goal ที่จะเป็นแร็ปเปอร์ พวกเอ็งคงจะเสเพลจนไม่สามารถเป็นศิลปินที่มีหน้ามีตาจนถึงวันนี้เป็นแน่นแท้
-พัฒนาการในอัลบั้มนี้ที่ผมชอบมาก คือการใส่ใจในดีเทล การใส่สิ่งละอันพันละน้อยอย่างการล้อเสียงประกาศในรถไฟฟ้า ซึ่งพากย์เสียงโดยต้นฉบับอย่างคุณรัดเกล้า อามระดิษ เป็นตัวเชื่อมให้คนฟังสามารถ relate การเดินทางไปเยี่ยมเยียนสถานีเอกมัยและสถานีอื่นๆใกล้เคียงได้อย่างเห็นภาพ ตั้งแต่ INTRO เปิดอัลบั้มที่เป็นการบ่งบอกว่า ณ ขณะนี้คุณถึงสถานีเอกมัยเพื่อเข้าสู่อัลบั้มที่เป็นแก่นของความทรงจำในที่ๆโตมา จะว่าไปก็มีบ้างที่เตลิดไปนอกเส้นทางรถไฟฟ้า แต่ก็เป็นสถานที่ทุกคนก็รู้ แต่ก็ทำเป็น If you know you know
-อีกทั้งการที่ให้เพื่อนตั้งแต่ Day1 อย่าง เจ SONOFO (ถ้าจับแยกคำกันจะแปลว่า ลูกแม่โอ Son of O) มาเป็นคนสร้างสีสัน เติมดีเอ็นเอของความเป็นคู่หูที่เจ้าของอัลบั้มเค้าไม่ปล่อยให้เล่าเรื่องราวต่างๆเพียงคนเดียว 4 เพลงแรกหากไม่นับอินโทร ไอ้หนุ่มเจคือตัวเสริมที่ช่วยอธิบายความทรงจำสมัยมัธยมให้มีรสสนุกปากขึ้น แถมยังพ่นอังกฤษได้คล่องแคล่ว รักและศรัทธาในฮิปฮอปและอัพเดทเทรนด์ได้ทันเพื่อนด้วย
-เป็นการนำพาความรู้สึกสดใหม่ที่แร็ปเอาสนุกในโรงเรียนกลับมาคืนสู่เหย้าอีกครั้ง โดยไม่ต้องปรับจูนเคมีอะไรมากมาย มันจะมีเพลงที่ introduce ตัวเขาเองในเพลง #เห้ยไอเจ (Hey J) ฟีลเพลงกิจกรรมรับน้องมากๆ เป็นการส่งไม้ต่อให้ไอ้เจพูดแทนเพื่อนตอนที่กำลังเมา อย่ามา kill my vibe ซึ่งก็แอบดิสคนที่ชางแร็ปไทยก็รู้ว่าใคร
-ไล่ตั้งแต่การดูดควันชิวๆมองฟ้าเพื่อเดิมพันที่จะไปแตะมันในเพลง SMOKING ON THE ROOFTOP แทร็คแนะนำไอ้หนุ่มเจในเพลง แนะนำตัวละครสุดแสบอีกหนึ่งตัวที่คอยแว้นไปเอาของจากคลองเตยมาให้ เพียงแค่ระดมทุนคนละยี่สิบในเพลง #ไอจ๊อด (I JOD) การแร็ปลับหลังอาจารย์ที่มักจะสบประมาทความฝันของพวกเขาในเพลง #หมาป่ารอวันหอน สะท้อนความคิดความอ่านสุดโบราณของเหล่าครูไทยที่ยังไม่ทิ้งเชื้อไปไหน drill วูบวาบปนกับเทคโนบีทฉวัดเฉวียนให้ความรู้สึกล้ำกว่า drill ทั่วๆไปดี
-มาถึงเพลงที่ฉีกสุดอย่าง #ธาตุทองเอกมัย ไม่คิดว่าโอมจะนำเข้า UK Garage มาผสมผสานในเพลงนี้ด้วย จังหวะเมืองนอกที่ดูโมเดิร์นช่างสวนทางกับท้องเรื่องที่ฉายภาพวีรกรรมเด็กแสบแบบไทยๆที่ครั้งนึงเคยเอาบ้องไปดูดในห้องน้ำที่โรงเรียนจนเกือบโดนอาจารย์จับได้ เป็นเพลงที่มีรสแปลก แต่ก็น่าลองด้วยความฉงนสนเท่ห์
-ทั้งสี่เพลงที่ว่ามาผมเกิดความรู้สึกว่ามันเป็นสตอรี่ที่ค่อยๆขยายความแสบสันต์ไปเรื่อยๆแล้วค่อยมาขยี้ชีวิตส่วนตัวอีกสองเพลง เริ่มจาก How I Like Pt.2 เพลงภาคต่อในชื่อเดียวกันที่ตอนนั้นยังเป็นเพลงใต้ดิน แร็ปอยู่บนบีทฟรีตามยูทูปอยู่เลย ซึ่งในภาคแรกคือเด็กที่ใส่ไฟฝันและเป้าประสงค์ของตัวเองเต็มข้อเลย เผื่อว่าใครซักคนคงได้ยิน
-แต่พอมาเป็นพาร์ทสองให้ความรู้สึกลุ่มลึกในการมองโลกที่เปลี่ยนไป จากที่คิดว่าง่ายกลายเป็นความไม่ง่ายตามใจอยาก ในขณะที่ท้าวความไปถึงความขัดแย้งกับแม่ที่ตอนนั้นก็ยังไม่เก็ตกับสิ่งที่โอมทำ แต่ก็ยังคงเด็ดเดี่ยวทำงานเสริม เดินทางไปอัดเพลงที่บ้านพี่ไมค์ ถ้าให้เดาน่าจะเป็น MikeSickFlow ซึ่งก็คือคนๆเดียวกับที่ช่วยมิกซ์พาร์ทแรกเนี่ยแหละ จนกระทั่งได้เป็นแร็ปเปอร์ที่สามารถซื้อรถจ่ายสดให้ยายได้นั่งเล่นได้
-ขยายพาร์ทความยากลำบากด้วยเพลง #ข้างล่าง (Bottom) ที่เล่าเรื่องชีวิตครอบครัวแสนยากลำบาก พ่อมีหนี้ท่วมจนต้องแยกทาง ในขณะเดียวกันต้องส่งโอมเรียนจนวันนึงที่ทำงานได้เดือนละ 5 พันถึงได้เห็นคุณค่าทุกบาททุกสตางค์ รู้ซึ้งถึงการโดนทรยศ เป็นอีกหนึ่งเพลงแนวสู้ชีวิตที่ชาวโอลสคูลน่าจะชื่นชอบและยอมรับได้
-I Just Wanna Be Free ซิงเกิ้ลลำดับสองที่ปล่อยเมื่อปลายปี เป็น Pop-Rap ที่เข้าถึงคนทุกเพศทุกวัยมากที่สุด ด้วยโทนเพลงที่สว่าง ทำนองฟังสบาย ติดหูง่าย แถมได้แง่คิดที่น่าสนใจของไอ้เด็กหนุ่มที่เริ่มเบื่อกับสิ่งที่เป็นอยู่ พอเอามาวางต่อจากสองเพลงก่อนจึงให้ความรู้สึกบ่นอย่างมีความหวัง มองโลกแห่งความจริงที่ quote “เงินซื้อความสุขไม่ได้” กลับใช้ไม่ได้กับเด็กยุคนี้อีกต่อไป สุดท้ายทุกคนก็ดิ้นรนเติมเงินดำรงชีพอยู่ดี การที่ต้องทำงาน part time been thru the hard time ทำให้เขาเข้าใจโลกนี้ได้แหล่มชัดขึ้น
-ตัดสลับจากเรื่องส่วนตัวมาต่อที่เรื่องราวของแก๊งค์วัดธาตุทองที่มีทั้ง flex แบบเด็กเมกาใน Black Van แล้วก็ไม่คิดว่าจะนำพาไปสู่โมเมนต์ที่ดาร์คสุดในอัลบั้มนี้อย่าง #โรเช่ (Roche) ชื่อดูกิ๊บเก๋ แต่แม่งคือชื่อเล่นของยาชนิดนึงที่พวกเขาดันไปลองดี ยาดีดจนคึกไม่หลับไม่นอน อารมณ์พลุ่งพล่านแปรปรวน พอหมดฤทธิ์ก็จมดิ่งไม่ต่างจากคนเป็นซึมเศร้า เป็นเพลงที่พวกเขากะไม่โชว์เท่ห์ ทิ้งไว้เป็นอุทาหรณ์แบบจำไว้จนวันตาย
-ในขณะที่เพลง #สกัดดาวรุ่ง บีทอย่างดีด ตบเกรียนเด็กเห่อมอยอยากลองของทำทรงเป็น OG เคี้ยวยาดูดปุ๊นอย่างเอิกเกริก ได้เแร็ปเปอร์ “ปลาหวาน” เฮียโบโซ่มาช่วยจิกกัดอย่างออกรส
-ทั้งนี้ต่อให้รับอิทธิพลเมืองนอกมาเยอะ แต่ก็ไม่ลืมรากเหง้าความเป็นไทยด้วยการสร้าง anthem ของเด็กวัดธาตุทองด้วยไตเติ้ลแทร็ค #ธาตุทองซาวด์ (THATTHONG SOUND) ที่ได้ยินปุ๊บ เก็บทรงไม่อยู่อย่างแน่นอน เป็นสายตื้ดรถบั้มที่เกิดมาเพื่องานวัดโดยเฉพาะ เอาไปเปิดผับก็ครื้นเครงเซิ้งออนเดอะฟลอร์
-ได้ดีเจป๋าเพชรมาช่วยรังสรรค์ได้อย่างถึงแก่น เป็นการผสมผสานความเป็นไทยร่วมสมัยที่ล้ำและฉลาดมาก transition ไปๆมาๆอย่างมันส์พอๆกับเพลง #โคโยตี้ ของไททศมิตรกับมิลลิ ซึ่งผมก็ทายถูกว่าเพลงนี้ต้องปังชัวร์ เพราะตั้งแต่ปล่อยอัลบั้มในวันแรกๆ เพลงนี้ก็ติดอันดับ 1 เพลงมาแรงภายใน 24 ชั่วโมงทันที นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ดีเอ็นเอคนไทยยังไม่ทิ้งเชื้อจริงๆ
-จากโหมดแร็ปเข้าสู่โหมดร้อง สวมบทบาทนักรักฮอร์โมนพลุ่งพล่านกำลังได้ที่ แรงบันดาลใจจาก Illslick เต็มข้อ ซึ่งก็แน่นอนว่านี่คือกลุ่มเพลงที่สามารถเอาไปตีตลาดเป็น hitmaker ได้อีกครา เซอร์วิสให้ตั้ง 5 เพลง
-เริ่มตั้งแต่ Very Very Small ที่เป็นซิงเกิ้ลแรก มีความทุ้มมินิมอล เมื่อเทียบกับ #สายน้ำผึ้ง ที่ดูเนี๊ยบกว่าในการเรียบเรียงและโรแมนติกที่สุดในอัลบั้ม มีวลีติดหูตั้งแต่แรกฟัง “ถึงพร้อมพงศ์ ฉันก็พร้อมลง” และดูมีแนวโน้มปล่อยเป็นซิงเกิ้ลได้สบายๆ เป็นการพรรณนาชมสาวโรงเรียนสายน้ำผึ้งที่ขึ้นชื่อลือชาในเรื่องงานดีพร้อมโดนตก อีกทั้งยังเป็นเพลงสุดท้ายของเจที่ได้มาร่วมแจม
#เด็กอินเตอร์ (Dek Inter) ที่ให้อารมณ์แห้วของคนที่พรรณนาพร่ำเพ้อถึงสาวคุณหนูไฮโซที่ฟังเพลงฝรั่งเป็นนิตย์ เดินพารากอนเป็นหลัก เธอคงไม่สนใจเด็กแร็ปที่ชอบฟังพี่อิลหรอก เพราะเธอหัวสูงพอตัว จุด breaking point จริงๆถึงชีวิตรักวัยรุ่นที่สุดท้ายก็ทางใครทางมัน Too Young 2 Love ที่มาแนว aggressive emo เต็มไปด้วยอารมณ์ผิดหวังที่ดันเจอคนที่ใช่ แต่มาได้ผิดเวลา
-มาถึงสองแทร็คสุดท้ายที่ผมรู้สึกว่าเป็นจุด coming of age ที่ดีเลย #สำมะเรเทเมา ไอ้ตอนแรกที่ผมเห็นชื่อเพลงนึกว่าจะมาแนวเมาปลิ้นส่งท้ายความพลุ่งพล่าน ที่ไหนได้มันเป็นความเมาปลิ้นสะลึมสะลือที่ให้ฟีลงานเลี้ยงจบการศึกษาเลย เดินเพลงด้วยโซลป็อป เปียโนสุดอบอุ่น แต่ก็แอบเหงาด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่งัดความรู้สึกก้นบึ้งจนต้องระบายออกมา
-ผมชอบการวางเพลงสำมะเรเทเมาไว้ที่แถวปลายม้วนมากๆ เพราะเราได้สัมผัสถึงชีวิตที่โคตร restless ของไอ้เด็กหนุ่มวัดธาตุทองที่ฝันไกลใจถึง ผ่านความสุ่มเสี่ยงของชีวิตมาไม่น้อย จนมาถึงเพลงนี้ มันเป็นการแตะเบรค อารมณ์เริ่มกรึ่มในช่วงท้ายปาร์ตี้ที่ได้มานั่งทบทวนในบางสิ่ง ทบทวนคนที่ผ่านมาผ่านไปต่างๆนาๆโดยไม่รู้ตัว ซึ่งสุดท้ายก็ระลึกได้ว่า ชีวิตก็แค่นี้จริงๆ
-ปิดท้ายด้วย rap freestyle #เสียงจากเด็กวัด ที่ปลุกใจคนฟังให้ได้เห็นถึงคุณค่าของการต่อสู้ และอย่าลืมความบาดหมางที่ผ่านมาเพื่อไม่ให้เรากลายเป็นคนน่ารังเกียจแบบนั้น ทำจิตใจให้มั่น ทำมาหากิน และสู้ต่อไป แร็ปบนบีทเครื่องดนตรีไทยระนาดปี่พาทย์ที่โคตรงดงาม และ Outro ล้อเสียงประกาศบนรถไฟฟ้าด้วย quote ที่ยอดเยี่ยม ซึ้งกินใจ
-ตอนที่นั่งฟังเพลงนี้ในงาน listening party สารภาพว่าน้ำตาตกในจริงๆ ไม่คิดว่าไอ้เด็กแสบคนนี้เค้าไม่ลืมที่จะใส่หัวจิตหัวใจ แคร์เพื่อนมนุษย์ นี่คือความคิดของ young age ที่เป็นกระบอกเสียงคนรุ่นใหม่ชั้นดีเลยจริงๆ
-ยังคงยืนยันคำเดิมว่า ผมชอบธาตุทองซาวด์มากกว่า Bangkok Legacy ด้วยเหตุผลของความเก่งขึ้น จริงจังในการคราฟต์อัลบั้ม ซึ่งไม่เห็นได้บ่อยในวงการเพลงไทยที่หลายศิลปินมักจะปล่อยซิงเกิ้ลไปเกินครึ่งอัลบั้มแล้วเอามารวมกัน บางอัลบั้มก็ขาดความน่าค้นหาจริงๆราวกับโดนสปอยล์ไฮไลต์สำคัญไปมากพอแล้ว
-ผมมองว่านั่นเป็นกลยุทธ์ที่เซฟโซนมากๆ ทั้งๆที่เห้ยคุณก็มีฐานแฟนเพลงเยอะพอสมควร ปล่อยซิงเกิ้ลแค่หอมปากหอมคอก็ได้ ผิดกับยังโอมที่กล้าท้าทายคนฟังในเวลาที่ตัวเองเป็นแถวหน้าของวงการไปแล้ว เป็นนิมิตรหมายเหมาะสมในการปล่อยชุดผลงานให้คนฟังไปค้นหาสตอรี่และประสบการณ์เต็มๆ
-ความกล้าอีกอย่างนึงคือจำนวนแทร็คที่เยอะผิดวิสัยอัลบั้มเพลงไทย ไอ้ตอนแรกผมก็แอบเสียวเหมือนกันว่า จำนวนแทร็คเยอะขนาดนี้ จะเกิดความจำเจมั้ย ? ผมเคยมีประสบการณ์ไม่ดีกับอัลบั้มที่มีปริมาณแทร็คเกือบยี่สิบมาก็ไม่น้อย โดยเฉพาะฮิปฮอปเมกา ผมเจอจนเอียน แต่ผลปรากฏว่าโอมทำได้เว้ย ให้ความสำคัญถูกจุด
-โดยเฉพาะการเน้นความต่อเนื่องและไดนามิคที่แข็งแรง กลุ่มเพลงเหล่านั้นมันเกิดมาทำหน้าที่เป็นจิ๊กซอว์ประกอบอัลบั้มมากกว่าแตกออกมาขายเป็นชิ้นอย่างเอกเทศ บางคนอาจจะพึงพอใจการฟังเพลงแบบซิงเกิ้ล แต่สำหรับอัลบั้มที่สองรอบนี้คงกลายเป็นขนมหวานสำหรับผู้ฟังสาย album mode เลยครับ
-จากอัลบั้มแรกที่ทำให้เราได้สัมผัสความมีของและศักยภาพในแบบที่ไม่แปลกใจในความโดดเด่น คาแรคเตอร์ที่จับต้องได้ จนมาถึงอัลบั้มนี้เป็นการตอกย้ำเพื่อให้เป็นมากกว่า แร็ปเปอร์ hitmaker ที่ไม่ได้เน้นติดหูว ไม่ได้จำกัดกรอบสูตรสำเร็จไว้ในแนวทางใดทางใดแนวทางนึง อันนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้ทั้ง ภูมิ Gamevader และ NINESIXTSOUL ที่ช่วยบิดพริ้วบีทให้ไม่จำเจได้ตลอดทาง
-โอมเองก็เริ่มเปิดกว้างที่จะแสวงหาแนวเพลงหลากหลาย สังเกตได้จากเพลง ธาตุทองเอกมัย ในแนวเพลง UK Garage ที่ผมก็ไม่คุ้นชินเลยด้วยซ้ำ ไปเจอมาได้ไง เป็นการแสวงหาความแปลกใหม่ส่วนตัวของศิลปินเองด้วย
-และที่พูดถึงไม่ได้คือ ความกล้ากะเทาะเปลือกตัวเองแล้วเอามาเล่าอย่างเข้มข้น จากที่รู้จักอยู่แล้ว ให้รู้จักอีกในทุกแง่ทุกมุม ทัศนคติการมองโลก การใช้ชีวิต ความเป็นมนุษย์เทาๆใช้ชีวิตสุ่มเสี่ยง ได้ลองปุ๊นลองบ้องในช่วงเวลาที่ยังไม่ปลดล็อก ลองดีกับยาเสพติดในแบบที่รอดมาได้ก็บุญ สภาพแวดล้อมทางครอบครัวที่บีบบังคับให้ดิ้นรน
-การพิสูจน์ตัวเองให้คนทางบ้านเข้าใจ ผ่านการสบประมาทจากพวกผู้ใหญ่ที่บางทีก็ทำตัวน่ารังเกียจในแบบที่ช่วยไม่ได้ที่เด็กมันจะแสดงอารมณ์ก้าวร้าว มีท่าทีต่อต้าน ประเด็นที่ว่ามานี้ทำให้เรื่องความรักในช่วงวัยรุ่นกลายเป็นประเด็นไม่จักสำคัญเลยจริงๆ puppy love จุดหมายปลายทางก็ไม่สามารถบรรจบได้จริงๆ
-นี่คืออัลบั้มไทยที่ใส่จิตวิญญาณฮิปฮอปอย่างเต็มเปี่ยม และให้ผลของกระทำเป็นคนบอกเองว่า ที่ได้ดิบได้ดีแม่งไม่ฟลุ๊คนะเว้ย น่าจะทำให้สาวกฮิปฮอปคล้อยตามได้ไม่ยาก ไม่น่าจะแซะลง ไอ้ที่แซะอยู่แล้วก็เป็นเรื่องของความเกลียดส่วนตัวที่ต้องปล่อยเขาไป น่าคิดมากๆว่า สูตรสำเร็จในการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดคืออะไร ต้องประสบความสำเร็จ ต้องมีชื่อเสียง ต้องร่ำรวย ผมเองก็ตอบไม่ได้ พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น แต่ก็ต้องพัฒนาตัวเองด้วยทั้งสถานะ ร่างกาย และจิตใจ แต่คำตอบที่แน่นอนก็คือ…
อย่าโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารังเกลียดก็พอ
Give 8/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา