6 ก.พ. 2023 เวลา 08:30 • ท่องเที่ยว

ตะลุยเที่ยว ‘สุขุมวิท-บางนา’ วันเดย์ทริปในกรุงเทพฯ

ฉันเป็นคนหนึ่งที่อยู่อาศัยในกรุงเทพมหานครมาตั้งแต่เกิด แต่ทุกครั้งที่ถูกใครถามว่าจะไปเที่ยวไหนในกรุงเทพฯ ดี หรือบางวันที่อยากนัดเพื่อนๆ ออกไปทำกิจกรรมแบบวันเดย์ทริปในเมืองหลวงแห่งนี้ ฉันกลับนึกไม่ออกว่าจะไปเที่ยวไหน
เมืองหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า หรือไม่ก็สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแลนด์มาร์ก ซึ่งเป็นสถานที่ที่เที่ยวบ่อยๆ เข้าก็อาจเกิดอาการเบื่อได้ แต่ไม่นานมานี้ฉันมีโอกาสได้เปิดประสบการณ์ ออกไปตะลุยเที่ยวกรุงเทพฯ ในย่านที่ฉันไม่ค่อยได้คิดถึงมาก่อน นั่นคือย่าน ‘สุขุมวิท-บางนา’
การเที่ยวครั้งนี้ทำให้ฉันตระหนักว่ายังมีอีกหลายมุมในกรุงเทพฯ ที่รอให้เราได้ไปค้นพบ พร้อมกับเรื่องราววิถีชีวิตที่มัดรวมอยู่กับย่านสำคัญของเมือง วันนี้จึงจะขอร้อยเรียงประสบการณ์ผ่านตัวอักษรมาแบ่งปันกับทุกคน
เป็นวันเดย์ทริปในกรุงเทพฯ แบบที่ไม่ต้องพึ่งพาห้าง ได้นั่งรถในระยะทางไม่ไกล และเดินเท้าสัมผัสบรรยากาศของย่านทั้งในสถานที่เก่าและใหม่ -- ถ้าพร้อมแล้วเราไปตะลุย ‘สุขุมวิท-บางนา’ กันเลยดีกว่า
เราเริ่มต้นทริปกันด้วยกาแฟยามสาย ในร้านกาแฟชื่อดังและไว้ใจได้อย่างร้าน Roots Coffee สาขาที่ตั้งอยู่ในโครงการ Summer Lasalle -- หลายคนอาจเป็นแฟนกาแฟร้านนี้อยู่แล้วด้วยคุณภาพและรสชาติของกาแฟ
แต่ความพิเศษของ Roots สาขานี้คือ มันเป็นทั้งร้านกาแฟสองชั้นที่เต็มไปด้วยโต๊ะเก้าอี้ในบรรยากาศสบาย และมีส่วนของโรงคั่วกาแฟ ที่ลูกค้าสามารถมองทะลุกระจกไปดูชมได้อย่างใกล้ชิด
อีกทั้ง Roots ยังเป็นร้านกาแฟที่ส่งเสริมกาแฟไทย รับเมล็ดกาแฟจากชาวสวนมาทำการผลิตขาย และยังตั้งชื่อเมล็ดกาแฟนั้นๆ ตามชื่อของชาวสวนด้วย เช่น กาแฟพี่จรูญ, กาแฟช่างเปา ฯลฯ
เมื่อได้พูดคุยกับทีมงานในร้าน เราก็ยังได้ทราบความตั้งใจและใส่ใจที่จะดูแลสิ่งแวดล้อมของ Roots ด้วย พวกเขามีระบบจัดการของเสียจากโรงคั่วเพื่อควบคุมมลพิษซึ่งจะส่งผลกระทบกับย่านให้น้อยที่สุด
และยังเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับการย่อยสลายมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ร้าน Roots ยังมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกาแฟจัดจำหน่าย นอกจากจะแวะมานั่งดื่มและกินขนมแล้ว เรายังสามารถซื้อกาแฟแบบต่างๆ ติดมือกลับไปได้ ทั้งเมล็ดกาแฟ กาแฟแบบแคปซูล หรือกาแฟ Cold Brew แบบ Concentrate ด้วย
ในวันนั้นฉันเลือกสั่งอเมริกาโน่เย็นๆ ที่ทั้งหอมและสดชื่น กาแฟจาก Roots ถือว่าเป็นการสตาร์ตวันดีๆ จิบกาแฟเรียบร้อย ก็พร้อมจะเดินทางไปยังสถานที่ถัดไป
ไม่ไกลจาก Summer Lasalle เรามาแวะกันที่ ห้องสมุดเพื่อการเรียนรู้ บ้านจิรายุ-พูนทรัพย์ ซึ่งตั้งอยู่ในซอยสุขูมวิท 101/1 พร้อมด้วยพิพิธภัณฑ์บ้านจิรายุ-พูนทรัพย์ บนที่ดินเดิมของหม่อมหลวงจิรายุ และท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์
ซึ่งถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อจัดสร้างเป็นห้องสมุด พร้อมเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2556 โดยมีกรุงเทพมหานครทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ
บรรยากาศของห้องสมุดนั้นทันสมัยและสะดวกสบาย มีหนังสือให้เลือกอ่าน มีทั้งโต๊ะเก้าอี้ให้ใช้เหมือน Co-working space และที่นั่งให้เอกเขนกกับหนังสือเล่มโปรดได้
นอกจากนี้ห้องสมุดฯ บ้านจิรายุ-พูนทรัพย์ ยังมีอัตลักษณ์ทางด้านภาษาโดยเฉพาะ เนื่องจากได้รวบรวมหนังสือ ตำรับตำรา เอกสารและข้อมูลวิชาการทางด้านภาษาเอาไว้มากมายด้วย
พ้นจากส่วนที่เป็นห้องสมุด ด้านหลังยังมีพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าชีวิตและการทำงานของหม่อมหลวงจิรายุ และท่านผู้หญิงพูนทรัพย์ นพวงศ์ ปูชนียบุคคลทางด้านภาษาของไทย
และยังจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน ซึ่งหลายชิ้นผ่านกาลเวลาและมีคุณค่าทางความทรงจำ เหมือนได้เห็นอดีตที่ถูกสตัฟฟ์ไว้อย่างดี
เที่ยวห้องสมุดที่ทำให้ผ่อนคลายและรู้สึกสงบแล้ว ก็ถึงเวลาเติมความหวานให้ร่างกาย โดยเราเดินทางไปกันที่ ‘ร้านไอติมกะทิอบควันเทียนอุดมสุข’ ร้านไอศกรีมที่อยู่คู่กับย่านนี้มายาวนาน และเป็นสูตรที่มีอายุหลายสิบปี
ไอศกรีมกะทิมีสีขาวนวล กลิ่นหอมควันเทียนโดดมาทักตั้งแต่คำแรกที่ตักกิน รสชาติกะทิออกมันๆ และไม่หวานจนเกินไป แถมยังมีความพิเศษอยู่ตรงท็อปปิ้งแบบดั้งเดิมคือ ‘มะลาโก้’ หรือมะละกอเชื่อมที่รสชาติคล้ายมะม่วง รสเปรี้ยวของมะละโก้เข้ากันดีกับความหวานของไอศกรีม และถือเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของร้านเลย
โชคดีที่วันนั้นเราได้พบกับ พี่แต้-ณณัฏฐ์ เขมโสภต ทายาทรุ่นสองของร้าน ผู้ซึ่งโบกมือลางานออฟฟิศมาสืบทอดสูตรไอศกรีมแสนอร่อยจาก ‘ลุงพ้ง’
ชายผู้ช่วยครอบครัวทำไอศกรีมขายมาตั้งแต่เด็ก และเชี่ยวชาญด้านอบควันเทียนขนมไทย จนนำวิธีการมาประยุกต์เข้ากับการทำไอศกรีมกะทิ และเริ่มขายมาตั้งแต่ปี 2516 โดยหน้าร้านดั้งเดิมเคยตั้งอยู่บริเวณโรงหนังอุดมสุข
พี่แต้ยังเล่าให้ฟังด้วยว่าปัจจุบันก็ยังคงมีลูกค้าประจำที่กินไอศกรีมมาตั้งแต่ยุคลุงพ้งคอยแวะเวียนมาซื้อไอศกรีมอบควันเทียนอยู่เช่นเดิม พอฟังอย่างนี้แล้วไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่รสของไอศกรีมมันหวานกำซาบไปที่ใจเสียอย่างนั้น
บน ‘ถนนสรรพาวุธ’ ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านไอติมอบควันเทียนยังมีสถานที่น่าสนใจอีกมากมาย แถมยังเป็นพื้นริมแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้เคียงกับท่าเรือวัดบางนานอก เรียกได้ว่าบรรยากาศดีสุดๆ
เดินเท้าไปไม่ไกลจากร้านไอติม เราจะเจอกับ ‘สรรพกิจซุปเปอร์มาร์เก็ต’ ร้านสะดวกซื้อเก่าแก่ที่ให้บริการสินค้าครบวงจร และยังมีสินค้าหายาก หรือสินค้ายุคเก่าที่เราไม่ค่อยได้เห็นในร้านสะดวกซื้อสมัยใหม่วางขายอยู่
เช่น แป้งน้ำมองเล่ย่ะ น้ำมันใส่ผมไนติงเกล ขนมเค้กตกแต่งด้วยครีมสีสดที่วางเรียงอยู่ในตู้โชว์ ไปจนถึงเครื่องสังฆทานก็ยังมี
ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งนี้เป็นร้านที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ เคียงคู่กับย่านนี้มาอย่างยาวนาน แถมยังคงเอกลักษณ์และกลิ่นอายของอดีตเอาไว้อย่างมีเสน่ห์
เราหยิบขนมติดมือมาชิ้นสองชิ้น และจ่ายเงินด้วยวิธีสแกนจากโมบายแบงกิ้ง คิดในใจว่าถึงแม้จะเป็นร้านเก๋า แต่เขาก็ให้บริการอย่างทันสมัยนะ ไม่เช่นนั้นจะอยู่มานานขนาดนี้ได้อย่างไร
ขณะจ่ายเงินพี่พนักงานแคชเชียร์พูดกับเราว่า “เดินมาถึงตรงนี้แล้วต้องเข้าไปไหว้วัดบางนานอกให้ได้ละ” ฉันตกปากรับคำทันที และเดินเท้าต่อไปบริเวณเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา
วัดบางนานอกเป็นวัดเก่าแก่ที่เคียงคู่กับชุมชน คาดว่าน่าจะสร้างมาตั้งแต่ราว พ.ศ. 2400 มีพระอุโบสถที่สวยงาม แม้จะเคยมีประวัติเกิดเหตุเพลิงไหม้จนได้รับความเสียหาย
แต่ก็มีการทอดผ้าป่าสามัคคีสมทบทุนสร้างอุโบสถหลังใหม่ขึ้นมาและยังรักษาความเก่าแก่ไว้ได้อย่างครบถ้วน รอบๆ วัดมีเด็กน้อยที่วิ่งเล่นกันอย่างคึกคัก (พูดจริงๆ ว่าได้ยินเด็กสักคนตะโกนร้องเพลง ‘ทรงอย่างแบด’) มีพื้นที่ริมน้ำที่เราสามารถไปนั่งทอดใจหลังทำบุญ แถมวัดนี้ยังมีควายอยู่สามสี่ตัวที่เราสามารถให้อาหารมันได้อีกต่างหาก
พูดกันตามตรงว่าการไปวัดไม่ใช่สิ่งที่ฉันจินตนาการไว้เท่าไร แต่ความดีงามของการมาเยี่ยมชมบริเวณวัดบางนานอกนี้คือการได้เห็นวิถีชีวิตริมน้ำที่ยังเป็นของผู้คนในชุมชน ไม่ใช่พื้นที่ริมน้ำที่มักถูกครอบครองโดยห้างสรรพสินค้าหรือโรงแรม และได้เห็นท่าเรือบางนานอกซึ่งคนสามารถขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นไปบนเรือข้ามฟากได้ด้วย!
เมื่อเดินเล่นจนเหนื่อย เราจึงปิดท้ายวันเดย์ทริปครั้งนี้ด้วยการแวะกินอาหารทะเลที่ร้าน ‘ศิลวัฒน์ซีฟู้ด’ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสี่แยกสรรพาวุธ และถือเป็นร้านเก่าแก่ที่ปัจจุบันสืบทอดกิจการมาจนถึงทายาทรุ่นที่สาม
ร้านนี้เสิร์ฟอาหารทะเลสดๆ หลากหลายเมนู วันนั้นเราได้ลองทั้งปลาหมึกนึ่งมะนาว ปลากะพงทอดน้ำปลา หอยจ๊อ และอีกหลายจานที่รสจัดจ้านดับความเหนื่อยได้เป็นปลิดทิ้ง ถือเป็นการปิดทริปที่ทำให้ท้องอิ่มได้พอๆ กับใจ
ขอขอบคุณเครดิต เรื่องราวดีๆที่มาแชร์ในวันนี้จาก Thairath PLUS ด้วยนะคะ
อ้างอิง :
โฆษณา