7 ก.พ. 2023 เวลา 08:36 • สิ่งแวดล้อม

โลกเปลี่ยนไป

ทำไมโลกเปลี่ยนไปจริงหรือ? คำถามยอดฮิตเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โลกของเราไม่เหมือนเดิม รู้ได้ยังไง ทั้งๆที่เราก็อยู่ที่เดิมบางคนยังทำงานที่เดิม อาศัยที่เดิม ไม่ได้ย้ายหนีไปไหน หรือเริ่มมีความคิดว่าย้ายไปดาวดวงอื่น แต่ทำไมใครๆก็บอกว่าโลกเปลี่ยนไป
รู้หรือไม่ โลกตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว สัญญาณทางธรรมชาติที่เห็นชัดมากที่สุดคือ น้ำแข็งขั้วโลกกำลังละลาย และมีอัตราสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่เกิดภัยพิบัติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บ่งชี้ได้ว่าอุณภูมิโลกร้อนขึ้น ส่งผลให้น้ำแข็งขั้วโลกไม่สามารถรักษาสถานะของแข็งได้
เพราะอะไรทำให้โลกร้อนขึ้น ปัจจัยที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกร้อนมาจากผลกระทบสำคัญคือมนุษย์ มนุษย์คือผู้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆเพื่อตอบสะนองความต้องการของตนเอง หรือเผ่าพันธุ์ แต่ในฐานะโลกมนุษย์คือผู้ทำลาย พฤติกรรมของมนุษย์ส่งผลโดยตรงต่อโลก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมหาศาล การเผ่าไหม้เชื้อเพลิง การทำเกษตรกรรม หรือปศุสัตว์ การขนส่งหรือแม้กระบวนการผลิตในภาคอุตกรรม รวมทั้งการใช้ผลิตภันฑ์ที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือไม่สามารถย่อยสลายได้ ทั้งหมดนี้ส่งผลโดยตรงต่อโลกใบนี้
https://pixabay.com/th/photos
รู้หรือไม่ว่ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น 2% และถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 37 พันล้านตันในปี ค.ศ. 2018 (ข้อมูลจากกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม) ถึงแม้ในช่วง 2- 3 ปีที่ผ่านจะมีการชะลอการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เนื่องจากวิกฤตการณ์แพร่ระบาดโควิท-19 ทำให้ภาคการขนส่งและอุตสาหกรรมหยุดชะงักแต่โลกยังไม่สามารถกลับมาอยู่ในสภาวะปกติได้
ประเทศไทยมีแผนที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกให้ลดลง 40 เปอร์เซ็นต์ในปี ค.ศ. 2030 หรือเรียกว่าความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะควบคุมอุณหภูมิโลกไม่สูงขึ้น 1.5 องศาเซลเซียล มุมมองของนักวิทยาศาสตร์และนักสิ่งแวดล้อม มองว่าถ้าโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นทุก 1 องศาเซล เซียล จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างสูงเช่นเกิดการพังทลายของภูเขาน้ำแข็ง น้ำทะเลหนุนสูง กระแสน้ำเปลี่ยนแปลง เกิดพายุที่รุนแรงมากขึ้นและมีความถี่สูงขึ้น
https://pixabay.com/th/photos
ในประเทศไทยคาดว่าเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียลจะเพิ่มระดับทะเล 5 มม. อาจก่อให้เกิดภัยแร้งที่ยาวนานในบางพื้นที่และอาจก่อให้เกิดน้ำท่วมที่บ่อยขึ้นในบางพื้นที่เช่นเดียวกัน และมีการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่ไม่ปกติ ฝนไม่มาตามฤดูกาล หรือแม้แต่ฤดูหนาวก็อาจจะลดลงน้อยลง และเมืองหรือจังหวัดที่อยู่ติดกับทะเลจะเกิดเหตุการณ์น้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครอาจจะประสบปัญหากับน้ำท่วมบ่อยมากขึ้น
การพังทะลายของภูเขาน้ำแข็งอาจส่งผลให้กับระบบนิเวศทางทะเลเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากภูเขาน้ำแข็งได้กักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้จำนวนมากผลที่ตามคือเมื่อมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศมากขึ้นก่อให้เกิดการทำลายชั้นโอโซนในบรรยากาศทำให้โลกไม่สามารถสะท้อนแสงที่ดวงอาทิตย์ส่องมายังออกสู่อวกาศได้หรือบางครั้งรวมตัวกับไอน้ำในบรรยากาศเกิดเป็นฝนกรด และบางส่วนไหลลงสู่ทะเลทำให้ทะเลมีสภาวะเป็นกรด หรือเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า ปรากฏการณ์ทะเลกรด (Ocean Acidification)
พืชน้ำบางชนิดไม่สามารถทนต่อสภาวะนี้ได้ก็จะตายลงเกิดเป็นห่วงโซ่ที่อาจลุกลามส่งต่อไปยังสิ่งมีชีวิตทางทะเลที่ต้องอาหารพืชน้ำเพื่อการเจริญเติบโตและผลที่ร้านแรงสุดคือการสูญพันธุ์
ไทยถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในแนวเขตที่มีภูเขาน้ำแข็งแต่ไม่สามารถหนีจะผลกระทบเหล่านี้ ตราบใดที่เรายังพึ่งพาโลกใบนี้อยู่อีกเหตุผลหนึ่งประเทศไทยมีพื้นที่ติดกับทะเลทั้งสองฝั่ง คือฝั่งอ่าวไทย และฝั่งทะเลอันดามัน ปัญหาจึงไม่สามารถหลีกหนีและปัดความรับผิดชอบได้ ถ้ายังไม่หาวิธีรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดหรือหาแนวทางฟื้นฟู สิ่งเหล่านี้จะมาหาทุกคนแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้อีกเลย
เราจะทำอย่างไร
แม้ในปัจจุบันเทคโนโลยีจะเพิ่มขึ้นเพื่อลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกเช่นวิธีการดัดจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ หรือกฎหมายความร่วมระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการลดการเผ่าไหม้เชื้อเพลิง หรือการกระตุ้นให้ประชาชนใช้พลังานสะอาดหรือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น วิธีการเหล่ายังไม่เพียงพอต่อการรักษาโลกที่เราอยู่ เพราะถ้าเราไม่ปรับพฤติกรรมของตัวเราเองก่อน มาตรการขั้นต้นก็แค่เป็นการชะลอเท่านั้น ไม่ได้เป็นรักษาอย่างยั่งยืนสมดุล
แค่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำรงชีวิตเช่น งดรับถุงพลาสติก พกถุงผ้า แก้วที่สามารถล้างและนำกลับมาใช้ใหม่ เดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ ใช้กระดาษสองหน้า ใช้พลังงานสะอาด (โซลาเซลล์ น้ำ ลม ความร้อนใต้พิภพ ) เปลี่ยนมาใช้หลอด LED ใช้ผลิตภัณฑ์ฉลากเขียว หรือถ้ามีกำลังทรัพย์ก็ปรับเปลี่ยนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นรถไฟฟ้า แต่ถ้าให้ยั่งยืนเพื่อลูกหลานเราเพียงแค่เราปลูกต้นไม้ปีละ 1 ต้น/คน/ปี คนไทยเรามีประชากร 67 ล้านคน ก็สามารถได้ต้นไม้ถึง 67 ล้านต้นต่อปี
ถึงแม้ว่าอาจจะเป็นปริมาณที่ไม่มากแต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลยและปล่อยให้โลกโดนทำลายไปเรื่อยๆ
https://pixabay.com/th/photos
บางคนบอกว่าบ้านฉัน บ้านผม ไม่มีพื้นที่ อยู่ตามคอนโดหรือตึกสูงในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพมหานคร จะเอาเวลาและพื้นที่ไหนไปปลูก เราไม่จำเป็นต้องใช้ต้นไม้ใหญ่ เพียงหาต้นไม้เล็กๆเช่น ไม้ฟอกอากาศ(ไทรใบสัก ยางอินเดีย แก้วกาญจนา เดหลี เป็นต้น) กระบองเพชร พืชผักส่วนครัว บอนไซ หรือไม้เช่นอื่นๆที่เราชอบหรือรู้จักมาปลูกไว้ก็ได้ ถือได้ว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งการรักษาโลกใบนี้แล้ว เราไม่รู้ว่าโลกหรือเราใครจะอยู่ได้นานกว่ากัน แต่อยากให้ทุกคนรู้ไว้ โลกจะดีได้ถ้าทุกคนช่วยกัน
แหล่งอ้างอิง
รูปภาพฟรี จาก https://pixabay.com/th/photos
กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม
โฆษณา