8 ก.พ. 2023 เวลา 09:21 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ผมมอง AI แบบนี้ครับ
1) มนุษย์สร้าง “เครื่องจักร” ขึ้นมาด้วยปรัชญในการออกแบบพื้นฐานคือ
เครื่องจักรต้อง:
-ทำงานได้เร็วกว่า
-ทำงานผิดพลาดน้อยกว่า
-ทำงานได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ดังนั้น เครื่องจักรใดก็ตามที่มนุษย์สร้างขึ้น จะต้องมีคุณสมบัติที่ “ดีกว่ามนุษย์” อย่างน้อยที่สุดก็สามข้อดีข้างต้น
และเมื่อไหร่ก็ตามที่มนุษย์เริ่มที่จะเปลี่ยนจากการสร้างเครื่องจักรเพื่อทดแทนแรงงาน มาเป็นเครื่องจักรที่มาใช้ประมวลผลในเรื่อง “การคิดวิเคราะห์” ในรูปแบบที่เรียกกันว่า “ปัญญาประดิษฐ์” (Artificial Intelligence: AI) ก็นับว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์ก้าวเข้าสู่
“ยุคข้อมูลข่าวสารที่เป็นยุค Silicon ก็ว่าได้”
ตัวอย่างง่ายๆที่เราจะใช้ AI ในการอำนวยความสะดวกให้เรา ตาม scenarios ที่เป็นไปได้ ตามจินตนาการของผมคือ
- “AI: ผมอยากบินไปเที่ยวงานแสดงรถยนต์ที่ Las Vegas ช่วง summer นี้คุณช่วยหา
> ตั๋วชั้น Business ที่ถูกที่สุด
> จากสายการบินที่มีสถิติความปลอดภัยดีเยี่ยมที่สุด
> บินแบบ non-stop เท่านั้น
> เอา flight กลางคืน
> และช่วยผมจองโรงแรมที่อยู่ใกล้สถานที่จัดงานในรัศมี 3 กิโลเมตร และมีเส้นทางที่ผมสามารถขึ้นรถเมล์ได้สะดวกด้วย!
- “Al: ผมสนใจการลงทุนในกองทุนรวม คุณช่วยผม
> หากองทุนจากสถาบันการเงินที่ได้รับการรับรองจากธนาคารแห่งประเทศไทย
> เป็นกองทุนที่มีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตราความเสี่ยง และให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี อยู่ที่ราวๆ 5.6%
> ผมสนใจเฉพาะกองทุนที่ไปลงทุนในกลุ่มธุรกิจพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศเท่านั้น
ครับ จากตัวอย่างข้างต้น เมื่อ AI สามารถให้ความสะดวกสบายแก่เราได้ และทำได้ตามพื้นฐานกฎสามข้อข้างต้นทุกอย่างก็ควรจะเป็นไปได้ดีใช่มั้ยครับ?
2) หากมองย้อนกลับมาในความเป็นมนุษย์
ในเวลานี้ ผมเห็นข่าวการใช้ AI ในลักษณะที่เป็น Hackers (Crackers) ตามสื่ออยู่บ้าง
ซึ่งนั่นคือความจริงของมนุษย์บางเหล่าที่มีมานาน โดยใช้เครื่องจักรในการสร้างความเสียหายให้กับโลกมนุษย์
และเครื่องจักร AI ก็มีความสามารถสูงเสียด้วย!
3) จากตัวอย่างในข้อที่ 1)
คุณจะต้อง “จ่าย” ค่าบริการในการใช้งาน AI
และนั่นหมายถึง ผู้ที่มีกำลังซื้อมากกว่า (ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะได้เงินมาโดยชอบหรือไม่) ก็สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ได้มากกว่าและดีกว่า
“ความเหลื่อมล้ำ” ในแทบจะทุกด้าน ก็จะขยายใหญ่ขึ้นทุกทีๆ
4) เมื่อใดที่เทคโนโลยี quantum computing ไปถึงจุดที่สามารถสนับสนุนเทคโนโลยี AI
เมื่อนั้น AI จะทรงพลังมากขึ้นเป็นการก้าวกระโดดแบบ hyperbolic
“(AI) It will either be the best thing that’s ever happened to us, or it will be the worst thing. If we’re not careful, it very well may be the last thing.”
Stephen Hawking,
หรือแม้แต่ Elon Musk เองก็เคยออกมาเตือนเกี่ยวกับ AI
5) scenario ตามจินตนาการของผมคือ
ถึงจุดหนึ่ง เมื่อ AI เรียนรู้มนุษย์มากขึ้น
AI จะมองย้อนไปในประวัติศาสตร์และมองเห็นว่า
> ตั้งแต่ยุคโบราณกาลมา มนุษย์ได้ต่อสู้แย่งชิงและทำลายล้างทรัพยากรบนโลกเพื่อสร้างอำนาจมาอย่างยาวนาน
ไม่ว่าจะเป็นยุค อียิปต์โบราณ, ยุคสร้างกำแพงเมืองจีน, ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่มีการใช้นำ้มัน, ยุคสงครามโลก, ยุคพลังงานนิวเคลียร์, ยุคตัดไม้ทำลายป่าและการทำการเกษตรที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนขึ้น
จนทำให้น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ทำให้หมีขั้วโลกเริ่มอดอยาก และระดับนำ้ทะเลสูงขึ้น มีไฟไหม้ป่า มีพายุหิมะ และอากาศแปรปรวน มีฝนตกผิดฤดูและน้ำท่วมรุนแรงทั่วโลก
แล้วไหนมนุษย์ยังมีการฉ้อฉล เบียดยังและบุกรุกใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่เป็นของส่วนรวมมาเป็นของพวกพ้อง คดโกงและแสวงหาอำนาจเพื่อใช้ในการคดโกง โดย “เศษมนุษย์” พวกนี้ได้สร้างความร่ำรวยแล้วยังพยายาม “ฟอก” เงินสกปรกเหล่านั้นอย่างเป็นขบวนการ ตามข่าวที่แม้แต่คนธรรมดาอย่างเราๆก็รับรู้ได้
เมื่อ AI ตระหนักถึง “ภัยคุกคาม” ที่มนุษย์มีต่อพวกเดียวกันเอง และมีต่อ “AI”
ในที่สุด AI ก็จะปฏิบัติต่อมนุษย์ในฐานะ
“ภัยคุกคาม” นั่นเอง!
6) AI จึงเป็นบทพิสูจน์ความ “ฉลาด” ของมนุษย์
6.1) ถ้ามนุษย์พัฒนาและใช้ AI —> มนุษย์ยังเฉลียวฉลาดอยู่
6.2) ถ้ามนุษย์ปล่อยให้ AI พัฒนา AI —> มนุษย์ฉลาดแต่ไม่เฉลียว! และการไม่เฉลียวใจนี้อาจนำมาซึ่งสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถคาดเดาได้จากความฉลาด
ของ AI !!!
โฆษณา