17 ก.พ. 2023 เวลา 03:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

วิเคราะห์ หลักการลงทุนของ คุณนิติ โอสถานุเคราะห์ เซียนหุ้น 60,000 ล้าน

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนี SET50 หรือหุ้นใหญ่สุด 50 ตัวแรกในตลาดหุ้นไทย ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 3% ต่อปี
แต่รู้ไหมว่า มีนักลงทุนไทยคนหนึ่ง ที่ไม่ค่อยปรากฏบนหน้าสื่อสักเท่าไร หลายต่อหลายคนเรียกเขาว่า นักลงทุนในตำนาน เขาได้สร้างการเติบโตให้กับพอร์ตการลงทุน
จาก 12,000 ล้านบาท เป็น 60,000 ล้านบาท ในช่วงเวลาเดียวกัน คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ย 19% ต่อปี ชนะตลาดหุ้นไทย มากเป็น 6 เท่า
1
เรากำลังพูดถึง “คุณนิติ โอสถานุเคราะห์”
วันนี้เรามาดูกันว่า คุณนิติ มีแนวทางในการเลือกหุ้นอย่างไร ? BillionMoney จะวิเคราะห์ให้ฟัง
จากการศึกษาพอร์ตการลงทุนของคุณนิติในช่วงระหว่างปี 2545 จนถึงปี 2565 BillionMoney สามารถสรุปหลักการลงทุนได้ 9 ข้อ
1. ลงทุนในธุรกิจที่เข้าใจง่าย และมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
หุ้นที่คุณนิติถือไว้มานานกว่า 15 ปี อย่างเช่น CPN, HMPRO, CENTEL และ MINT นั้น เป็นธุรกิจที่เราสามารถเข้าใจง่าย และต่างก็มีแบรนด์ที่จดจำได้ง่าย
2
ยกตัวอย่างเช่น
- ห้างเซ็นทรัลของ CPN
- ร้านอาหารอย่าง The Pizza Company หรือ Sizzler ของ MINT เป็นต้น
การมีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง เปรียบเสมือนมีคูเมืองทางเศรษฐกิจ ที่จะป้องกัน ไม่ให้บริษัทอื่น ๆ เข้ามาทำธุรกิจแข่งขันด้วยได้
2. ลงทุนในธุรกิจ ที่งบการเงินเข้าใจง่าย
บริษัทแต่ละแห่งที่คุณนิติถือหุ้นอยู่นั้น จะมีการบันทึกงบการเงิน ทั้งงบดุล งบกำไรขาดทุน และงบกระแสเงินสดที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย
โดยจะมีการแบ่งหมวดหมู่ชนิดของรายได้และรายจ่าย รวมถึงบันทึกทิศทางของการไหลเข้าออกของเงิน ได้อย่างชัดเจน
การที่บริษัทจัดทำงบการเงิน ได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้น นอกจากจะทำให้นักลงทุนทำความเข้าใจในธุรกิจได้ง่ายแล้ว ก็ยังแสดงถึงความโปร่งใสของกิจการด้วย
3. เป็นธุรกิจที่มี ROE และ ROA สูงอย่างต่อเนื่อง
หุ้นแต่ละตัวที่คุณนิติถือไว้นั้น ที่ผ่านมามีผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) ในระดับที่สูงมาโดยตลอด
โดยหุ้นบางตัวมี ROE สูงถึง 15-23% อย่างต่อเนื่อง เป็นเวลาหลายสิบปี และส่วนมากมี ROA สูงกว่า 7% ในทุกปี
1
การมี ROE และ ROA ที่สูง หมายถึง บริษัทสามารถนำทรัพยากรที่มีอยู่ ไปใช้สร้างผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะส่งผลให้ ในระยะยาว ส่วนของผู้ถือหุ้นและทรัพย์สิน
จะเพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย
4. เป็นธุรกิจที่มี อัตรากำไรขั้นต้นสูง
หุ้นแต่ละตัวของคุณนิติ มีอัตรากำไรขั้นต้น หรือ Gross Profit Margin ที่สูง ต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายปี
โดยหุ้นทุกตัว มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 25% แถมบางตัว ก็ยังมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 70% อย่างต่อเนื่องยาวนานอีกด้วย
1
การมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจมีความสามารถในการกำหนดราคาขายของสินค้าได้ ลูกค้าหรือผู้ที่เข้ามาใช้บริการยอมจ่าย
โดยสินค้าที่มีความสามารถในการปรับขึ้นราคาของสินค้าได้ง่ายนั้น มักจะเป็นสินค้าที่มีแบรนด์ที่แข็งแกร่ง
5. เป็นธุรกิจที่มี ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารต่ำ
หุ้นแต่ละตัวนั้น จะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขายและการบริหาร หรือที่เรียกว่า SG&A ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับรายได้
เนื่องจาก ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร ส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายในการโฆษณา
ยิ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้ น้อยเท่าไร ก็หมายความว่าสินค้า หรือบริการของธุรกิจ มีความแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องโปรโมตเยอะ ก็มีลูกค้าเข้ามาซื้อ หรือใช้บริการสม่ำเสมอ
6. มีรายได้และกำไร เติบโตได้ในระยะยาว
คุณนิติ มักถือหุ้นในบริษัท ที่มีความสามารถในการขยับขยายธุรกิจให้เติบโตต่อไปได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ไม่ว่าจะเป็นการขยายตลาดของสินค้าเดิมออกไป หรือเปิดตลาดใหม่ ๆ จากสินค้าตัวใหม่
ซึ่งบ่งบอกว่า บริษัทมีธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนได้
โดยความสามารถในการขยายธุรกิจของบริษัทนั้น จะสะท้อนไปที่รายได้และกำไร ที่จะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
7. มีการบริหารกระแสเงินสด ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง
บริษัทเหล่านี้ มักจะสามารถบริหารกระแสเงินสดได้อย่างดีเยี่ยม สะท้อนให้เห็นจากกระแสเงินสดที่ได้จากการดำเนินงาน หรือ Operating Cash Flow เป็นบวกสม่ำเสมอ
การที่บริษัทสามารถบริหารกระแสเงินสดได้ดี จะทำให้สามารถนำกระแสเงินสดที่ได้ ไปลงทุนต่อยอด เพื่อทำให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตต่อไป
โดยบริษัทที่มีกระแสเงินสดที่ดี อาจจะไม่ต้องไปกู้เงินเพื่อนำมาลงทุน ในการขยายธุรกิจเลยก็ได้ ซึ่งจะทำให้บริษัท ไม่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ย
หรือแม้ว่า บางบริษัทจะมีหนี้สินที่ค่อนข้างสูง เพราะไปกู้เงินมา เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ
แต่ถ้าบริษัทมีความสามารถในการจัดการกระแสเงินสด ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หนี้สินของบริษัท ก็จะถูกชำระได้จนหมดสิ้น ในเวลาไม่นาน
บริษัทที่คุณนิติลงทุนนั้น ก็มักจะมีกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow) เป็นบวกในเกือบทุกปีด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า บริษัทมีสุขภาพทางการเงินที่ดี
8. ซื้อหุ้นคุณภาพดี ในตอนที่ราคาสมเหตุสมผล
หากไปดูช่วงเวลาที่คุณนิติเข้าลงทุน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นช่วงที่มูลค่าบริษัท เมื่อเทียบกับกำไร หรือ P/E ไม่สูงมาก
หรือแม้บางบริษัท อาจจะมี P/E ที่สูงกว่า 20 เท่า หรือ 30 เท่า
แต่ถ้าบริษัทนั้น มีแนวโน้มในการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ในระยะยาวสูง ก็ยังนับเป็นบริษัทที่คุ้มค่าต่อการเข้าลงทุน
ซึ่งสิ่งนี้ ก็ตรงกับหลักการลงทุน ของคุณ Warren Buffett และคุณ Charlie Munger ที่เคยแนะนำว่า
“ให้ซื้อหุ้นของบริษัท ที่มีธุรกิจคุณภาพสูง ในราคาที่สมเหตุสมผล ดีกว่าไปซื้อหุ้นของธุรกิจคุณภาพต่ำ ในราคาถูก”
9. ไม่ซื้อขายบ่อย ถือหุ้นคุณภาพดีในระยะยาว
คุณนิติ ถือหุ้นของบริษัทอย่าง MINT และ BKI มา 20 ปี
ทั้งยังถือหุ้น CENTEL มา 18 ปี และหุ้น HMPRO, CPN มา 16 ปี
จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังคงถือหุ้นที่กล่าวมาทั้งหมดอยู่ และหุ้นเหล่านี้ก็ยังสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
เมื่อลองคำนวณดูง่าย ๆ จะพบว่า ถ้าเราซื้อและถือหุ้น CENTEL ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม ปี 2547 มาจนถึงปัจจุบัน
เราจะได้รับผลตอบแทนแบบทบต้น เฉลี่ยปีละ 25% หรือก็คือ เงิน 1 ล้านบาท ในวันแรก จะกลายมาเป็นเงิน 92 ล้านบาท ในปัจจุบัน
2
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็เชื่อว่า เราน่าจะพอเข้าใจแนวทางการลงทุนหุ้นของ คุณนิติ โอสถานุเคราะห์ กันบ้างแล้ว
ซึ่งแนวทางที่ BillionMoney สรุปเอาไว้ทั้ง 9 ข้อนี้ ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนได้ ไม่มากก็น้อย
หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุน
-เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
-Quality Investing: Owning the best companies for the long term (2016) โดย Torkell T. Eide, Patrick Hargreaves, และ Lawrence A. Cunningham
-One Up on Wall Street (1989) โดย Peter Lynch และ John Rothchild
-Warren Buffett and the Interpretation of Financial Statements: The Search for the Company with a Durable Competitive Advantage (2008) โดย Mary Buffett และ David Clark
โฆษณา