19 ก.พ. 2023 เวลา 00:56 • ปรัชญา

คนคนหนึ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลว

ไม่ใช่เพราะจำได้หมดว่า
เคยทำอะไรเลวๆไว้บ้าง
แต่เพราะปกติจิตมีความมืดหม่นเป็นอกุศลโดยมาก
จึงพร้อมที่จะคิดร้าย พูดร้าย และทำอะไรร้ายๆเสมอ
และเพื่อจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลว
ก็ไม่ต้องทำอะไรมาก
เพียงไม่มีศรัทธาในอะไรเลย
ไม่ตั้งใจงดเว้นกรรมชั่วใดๆเลย
ก็อาจรู้สึกมืดหม่นได้แล้ว
ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
จิตมีธรรมชาติไหลลงต่ำ
คือพร้อมจะเอาสัญชาตญาณดิบ
มารับใช้กิเลสเฉพาะหน้ากันหมด
ในเวลาต่อมา
คนคนเดียวกันอาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีขึ้น
ไม่ใช่เพราะบอกถูกว่า
ล่าสุดทำอะไรดีๆไปบ้าง
แต่เพราะจิตเริ่มสว่างเป็นกุศลกว่าแต่ก่อน
เหมือนพร้อมจะมองในทางดีขึ้น คิดพูดทำดีขึ้น
และเพื่อจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีขึ้น
ก็อาจเพียงเริ่มตาสว่าง เริ่มเข้าใจ
ตลอดจนเริ่มศรัทธาในธรรม
เริ่มเชื่อว่าการให้ทานเป็นของดี
การรักษาศีลเป็นของชอบ
จิตก็มีความเป็นกุศล
รู้สึกส่องสว่างออกมาจากภายใน
ราวกับโลกทั้งใบสว่างขึ้นแล้ว
ในเวลาต่อมา
คนคนเดียวกันอาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีจริง
ไม่ใช่เพราะตั้งใจไว้ก่อนว่า
วันนี้จะทำอะไรดีๆบ้าง
แต่เพราะปกติจิตมีความสว่างเป็นกุศลโดยมาก
จึงพร้อมที่จะคิดดี พูดดี และทำอะไรดีๆเสมอ
และเพื่อจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดีจริง
ก็เพราะผ่านเหตุการณ์พิสูจน์ใจยาวนานพอ
รู้ตัวว่าแม้พลาดบ้าง
ก็สำนึกผิดเร็วและตั้งใจแก้ไขใหม่
รู้ตัวว่ายังดีไม่พอในเรื่องใด
น้ำใจในการให้ทาน ความใสสะอาดในการรักษาศีล
ตลอดจนความตื่นรู้ในการเจริญสติ
เมื่อจิตเป็นกุศล มีความสว่างเต็มรอบแล้ว
ก็เป็นอันหมดคำถามว่า ‘จะเป็นคนดีไปทำไม’
เพราะจิตตัวเองตอบตัวเองว่า
ไม่ได้เป็นคนดีเอาโล่
แต่เป็นคนดี
เพื่อจะมีความสุขอยู่กับจิตของตนเอง
เพราะจิตนั่นแหละ แก่นสารของชีวิต
รสของจิตคือรสทั้งหมดของชีวิต
ความเป็นสมบัติติดตัว ๒๔ ชั่วโมงของจิตนั่นแหละ
คือความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้ตัวเอง!
โฆษณา