21 ก.พ. 2023 เวลา 15:33

เปิดประวัติ บอย ท่าพระจันทร์ จากเซียนพระชื่อดัง สู่ เซียนหุ้น

เปิดประวัติ บอย ท่าพระจันทร์ จากเด็กติดเกมสู่ เซียนพระ ชื่อดัง สู่เซียนหุ้น ชูไอดอล เสี่ยป๋อง ขาใหญ่สายเทคนิค เล่นประสบการณ์ขาดทุนหุ้นหลายร้อยล้าน เป็นช่วงชีวิตที่แย่ที่สุด
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ถ้าพูดถึงเซียนพระชื่อดังในเมืองไทย ไม่ว่าจะเดินไปสอบถามใคร จะมีชื่อหนึ่งพูดโผล่ขึ้นมาเสมอ นั่นคือ บอย ท่าพระจันทร์ หรือ นายอรรถวัติ ศิริสิทธิธงไชย (เดิมชื่ออนุวัติ) ซึ่งปัจจุบันอายุ 43 ปี วันนี้ประชาชาติธุรกิจจะพาไปทำความรู้จักชายหนุ่มผู้หลงใหลพระเครื่อง ที่พาตัวเองไปสู่ชีวิตเซียนพระ และเริ่มมีชื่อเสียงในฐานะเซียนหุ้น
จากเด็กติดเกมสู่ เซียนพระ
บอย ท่าพระจันทร์’ เคยให้สัมภาษณ์รายการ “เจาะใจ” ออกอากาศเมื่อปี 2550 ว่า ผมมีพี่น้อง 2 คน ผมเป็นคนที่สอง ตั้งแต่อายุ 4 ขวบ พ่อกับแม่แยกทางกัน ผมอาศัยอยู่กับแม่
โดยแม่ทำธุรกิจโรงงานเย็บผ้า แต่ประมาณอายุ 11 ขวบ ธุรกิจที่แม่ทำดันเจ๊ง แม่เลยหนีไปในช่วงเวลาหนึ่ง ผมจึงย้ายมาอาศัยอยู่ที่บ้านน้า (น้องชายแม่) ประมาณ 7-8 เดือน ช่วงนั้นเป็นเด็กติดเกมหนัก ไม่ช่วยงานบ้านเลย โดดเรียนไปเล่นแต่เกม เงินที่แม่ส่งมาให้ใช้จ่ายเดือนละ 1,000 บาทก็หมด
แต่จุดหักเหของผมจริง ๆ คือตอนอายุ 13 ขวบ (ปี 2536) ทางโรงเรียนจัดบวชเณร ภาคฤดูร้อน เพื่อตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ซึ่งเพื่อนที่บวชเณรด้วยกันชอบสะสมพระเครื่อง เป็นที่มาให้ผมเริ่มชอบสะสมพระเครื่องตั้งแต่ตอนนั้น
หลังจากสึกออกมา เริ่มมารื้อพระที่มีในบ้านแม่และบ้านอากง แต่ยังไม่มีความรู้จึงไปซื้อหนังสือพระมาอ่าน และมาเจอพระสมเด็จบางขุนพรหมพิมพ์เส้นด้ายองค์แรก จึงนำไปปล่อยที่ท่าพระจันทร์ เพราะต้องการเงิน แต่โดนหลอกเพราะเป็นพระเก๊ จึงรู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งดูพระเป็นจะไม่โดนหลอกแบบนี้ จึงกลับมาบ้าน บ้าอ่านตำราหนัก
ตอนนั้นเรียนโรงเรียนวัดประดู่ในทรงธรรม ซึ่งโรงเรียนติดกับวัดประดู่ฉิมพลี และเกจิที่ดังสุดคือ “หลวงปู่โต๊ะ” จึงพยายามศึกษาหลวงปู่โต๊ะองค์เดียว เพราะมีเป็นร้อยพิมพ์ แต่ละรุ่นมีหลายเนื้อ และพยายามศึกษาเรื่องราคาไปด้วย
1
คนเริ่มรู้จักผมในนาม “บอย ท่าพระจันทร์” ประมาณอายุ 22 ปี ตอนนั้นเก็บเงินได้อยู่ประมาณล้านกว่าบาท เพื่อเช่าพระหลวงพ่อกันวัดพระญาติ และพอปล่อยต่อได้เริ่มฮึกเหิม คือผมจะเก่งเรื่อง “พระเหรียญ” ซึ่งจริง ๆ ดูยาก เพราะเป็นอะไรที่เก๊เหมือน คนเลยกลัว แต่ผมคิดว่าถ้าหากเก่งในสิ่งที่คนกลัว เขาจะนึกถึงเรา
“เมื่อก่อนกว่าจะปล่อยพระได้หนึ่งองค์ ส่องกันตาเหลือก แต่ปัจจุบันอาศัยความน่าเชื่อถือของบุคคลนั้น ๆ มากกว่า”
จุดเปลี่ยนสู่เซียนหุ้น
อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงของผมคือ การเป็นนักลงทุน ซึ่งเริ่มต้นจากการเข้าไปเรียนหลักสูตรพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือหลักสูตร RE-CU ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนนั้นในคลาสมีคนเรียนทั้งหมด 160 คน ซึ่งแต่ละคนจะต้องแนะนำตัวเองหน้าชั้นเรียน มีคนรู้จักและตบมือให้ผมแค่ 2 คน
จนกระทั่งมีพี่คนหนึ่งเดินออกมาแนะนำตัวเองผมชื่อ “นายวัชระ แก้วสว่าง” คนตบมือกันลั่นห้อง ยกเว้นผมเพราะไม่รู้จัก ซึ่งจริง ๆ เขาคือนักลงทุนรายใหญ่หรือเซียนหุ้น
ซึ่งตอนนั้นคนในคลาสจะพูดคุยกันแต่เรื่องหุ้น ซึ่งผมความรู้เป็นศูนย์ และก็ยังไม่ได้สนใจเรื่องหุ้น จนกระทั่งมาเจอลูกค้าคนหนึ่งมาบอกว่า มีหุ้นไอพีโอตัวใหม่ที่จะเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทย มียอดจัดสรรหุ้นอยู่จำนวนหนึ่งสนใจไหม ตอนนั้นราคาหุ้นละ 11.40 บาท ผมจึงขอลงทุนประมาณ 1 ล้านหุ้น
รวมเป็นเงินลงทุน 11.40 ล้านบาท จึงโทรหาเพื่อนที่เล่นหุ้นขอแบ่งกันคนละครึ่ง วันที่เปิดเทรดวันแรกราคากระโดดขึ้นมา 13.40 บาท ได้กำไร 2 ล้านบาท แบ่งกันคนละครึ่ง พอได้เงิน เริ่มรู้สึกว่าทำไมได้เงินง่ายขนาดนี้ จึงเริ่มสนใจวงการหุ้นตั้งแต่วันที่ 6 มิ.ย.2556 ปัจจุบันเกือบ 10 ปีแล้ว
แต่ปรากฎว่าช่วงที่ผ่านมามันไม่ง่ายแบบนั้น เพราะหุ้นที่ลงทุนเป็นหุ้น IPO ขายไปแล้วไม่มีหุ้นแล้ว ถ้าจะลงทุนต่อจะต้องไปซื้อหุ้นในกระดาน จึงเบาเรื่องพระเครื่องหันมาสนใจเน้นซื้อหุ้น ได้อยู่ประมาณ 6 เดือน เละเลย จากเดิมที่ลงทุนไป 5 ล้านบาท เติมทุนไปเรื่อย ๆ เป็น 10 ล้านบาท 15 ล้านบาท เพราะเริ่มขาดทุน ต้องซื้อถัว (ยิ่งลงยิ่งถัว) กลายเป็นว่าลงทุนไปทั้งหมดในช่วง 6 เดือนประมาณ 50-60 ล้านบาท
วันที่ผมเข้าไปเล่นหุ้น ดัชนี SET Index อยู่ที่ 1,550 จุด และไม่เคยวิ่งขึ้นเลย หุ้นในพอร์ตติดลบกว่า 60% หรือขาดทุนอยู่เกือบ 40 ล้านบาท จึงย้อนดูตัวเองว่าอยู่ดี ๆ ไม่ว่าดี หาเรื่องไปเล่น เละเทะ เจ๊ง เพราะตอนนั้นยังตัดขาดทุน (Cut Loss) ไม่เป็น
บทเรียนเล่นหุ้น ขาดทุนหลายร้อยล้าน
จึงโทรหา เสี่ยป๋อง-วัชระ และยื่นพอร์ตให้ดู และเขาสอนว่าไปหัดเรียนรู้ใหม่ หัดดูกราฟเทคนิค จึงอยากให้เขาสอนผม แต่เขาบอกให้ไปเรียนเทคนิคพื้นฐานก่อน ตอนนั้นพอกลับไปเล่นหุ้นต่อ ช่วงจังหวะหุ้นขาขึ้น เกิดเหตุการณ์ประท้วง หุ้นดิ่ง พอร์ตเละอีกรอบ
ซึ่งสิ่งสำคัญในการเล่นหุ้นแบบเทคนิค หรือการดูกราฟ ต้องยอมตัดขาดทุน (Cut Loss) เช่น ลงทุน 5 แสนบาท ราคาหุ้นลง เงินในพอร์ตเหลือ 4.7 แสนบาท เมื่อมองว่ากราฟเสีย ต้องยอมขายหุ้นทิ้งเลย โดยวนเวียนกับการเล่นหุ้นตรงนี้ ไม่รู้แนวทางเลยอยู่ 5 ปี เสียหายหลายร้อยล้าน จนกระทั่งปีที่ 6 ค่อย ๆ ขยับตัวขึ้นมา จากขาดทุนเริ่มกลับมามีกำไร แต่เข้าไปปรึกษาเสี่ยป๋องอยู่ตลอด
ตอนที่ผมขาดทุนหุ้นหนัก ๆ คือผมเอาเงินทั้งชีวิตมาเล่น ตอนนั้นดัชนี SET Index ประมาณเกือบ 1,600 จุด ลงมาเหลือ 900 กว่าจุด ผมมีหุ้นตัวหนึ่งทำกำไรอยู่ 100 ล้านบาท ผมไม่ได้ขาย ตอนโควิดลงมาขาดทุน 300-400 ล้านบาท และผมใช้มาร์จิ้น (ยืมเงินโบรกเกอร์เพื่อจะซื้อหุ้น) ซื้ออีก ๆ จนมาร์เก็ตติ้งโทรมาวงเงินเต็มแล้ว และตอนนี้ทางโบรกเกอร์ขออนุญาตขายหุ้นเพื่อมาอุดมาร์จิ้นที่ผมกู้ไป
เพราะลงมาในระดับที่ต้องเติมเงิน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แย่ที่สุดในชีวิต ขายทุกสิ่งที่มีอยู่ ถอนเงินและปล่อยพระที่มีมาอุดทั้งหมด เพื่อจะรอดจากช่วงโควิด
1
“ยอมรับว่าตลาดหุ้นไม่ง่าย เป็นเรื่องที่ยากมาก ถ้าเกิดไม่มีความรู้ ไม่นำแนะให้เข้ามาเล่น”
“ที่ผ่านมาชีวิตผมสมัยเข้าไปเล่นพระใหม่ ๆ จะโดนหลอกเช่าพระเก๊ มันก็เป็นเรื่องของประสบการณ์ เข้าวงการหุ้นก็โดนหลอกว่า หุ้นตัวนี้ราคาจะวิ่งขึ้นไปเท่านั้นเท่านี้ ซึ่งวงการหุ้นจะน่ากลัวกว่าวงการพระ เพราะวงการพระเวลาเช่าจะรับประกัน แต่วงการหุ้นไม่มีใครรับประกันให้ใครได้ ทุกอย่างล้วนอาศัยประสบการณ์ตัวเองเท่านั้น ดังนั้นอยากรู้อะไร ต้องเอาตัวเองไปเรียนรู้จนกว่าจะสำเร็จและจะชนะมัน”
โฆษณา