27 ก.พ. 2023 เวลา 22:31 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

"ขอเป็นราชาหนึ่งคืนดีกว่าเป็นไอ้งั่งตลอดชีวิต"

ดู The King of Comedy ของสกอร์เซซีจบละ ขอเอาจัดไว้ในเทียร์ Great ค่อนไปทาง The Best ของเขาเลยละกัน เป็นหนังที่มีอิทธิพลส่งต่อมาถึง Joker (2019) แบบชัดเจนมาก
หนังเล่าเรื่องของ 'รูเปิร์ต พัปกิน' (Robert De Niro) ที่ฝันอยากเป็นตลกจัดเดี่ยวโชว์ แต่ไม่เคยเริ่มต้นสร้างผลงานอะไร จนกระทั่งเขาได้คุยกับ 'เจอร์รี แลงฟอร์ด' (Jerry Lewis) ดาวตลกผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพ แล้วดันไปเชื่อว่านี่คือจุดเปลี่ยนชีวิตเป็นทางลัดให้เข้าสู่วงการ หวังถึงขั้นจะได้ไปออกรายการของแลงฟอร์ดทางโทรทัศน์กันเลยทีเดียว พอไม่สมหวังจึงลักพาตัวแลงฟอร์ดเพื่อแลกกับการที่สปอร์ตไลท์จะส่องแสงมาหาเขาสักครั้งหนึ่ง
หนังมันขายคาแรคเตอร์แข็งแรงดีมาก แล้วการลำดับเรื่องปูไปสู่ตอนท้ายก็ทำให้ฉากเดี่ยวตลกโชว์กลายเป็นตลกร้ายที่น่าจดจำ เพราะพัปกินเล่นเอาชีวิตจริงแสนขมขื่นของเขามาเล่าเป็นตลกเรียกเสียงหัวเราะ ทั้งที่ความจริงข้างในมันชวนเศร้าจนถ้าเล่าเป็นดราม่าคงเรียกน้ำตาได้เลย
เราคิดว่าสังคมและสภาพแวดล้อมคือส่วนหนึ่งที่หล่อหลอมให้เขารู้สึกไม่มีตัวตน/ไม่มีที่ยืน จนทำให้การได้ใกล้ชิดคนดังเพียงครั้งเดียวสามารถปลุกความหวังขึ้นมาว่าจะเป็นคนสำคัญกับเขาได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ท่าทีของแลงฟอร์ดในการปัดรำคาญให้โทรเข้ามาคุยภายหลัง คนทั่วไปอาจจะตีความไม่ยากว่าหมายถึงการปฏิเสธแบบสุภาพ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้เข้าสังคมเก่งแบบพัปกินมันกลายเป็นการตีความแบบสำคัญตัวเองผิด ถึงขั้นจินตนาการเพ้อฝันไปไกลว่าตัวเองจะได้ออกรายการโทรทัศน์ คือมองโลกแง่ดีสุดโต่งไม่เหลือที่ให้ข่าวร้ายแม้แต่นิดเดียว
ความตลกร้ายของหนังคือจุดที่เขาตัดสินใจลักพาตัวเพื่อให้สปอร์ตไลท์ส่องแสงมาหาสักที มันเป็นตลกร้ายที่คลาสสิกมากเพราะขนาดหนังผ่านไป 40 ปี เรายังรู้สึกว่าส่วนหนึ่งของสังคมยังคงให้แสงผิดที่ผิดทางอยู่เช่นเคย กลายเป็นสังคมที่คนสามารถมีชื่อเสียงมีแสงสาดส่องได้ถ้าหาอะไรทำแปลกแหวกแนวหรือสุดโต่ง
ความเก่งกาจอย่างหนึ่งของสกอร์เซซีคือช่วงต้น ๆ เขาใช้วิธีเล่าแบบไม่มีเส้นแบ่งระหว่างจินตนาการกับความเป็นจริง บางจังหวะที่จริงก็เหมือนมโน บางจังหวะมโนก็เหมือนจะเป็นจริง จนทำให้ฉากสุดท้ายของเรื่องมันเป็นเส้นแบ่งที่แยกออกว่าจริงหรือจินตนาการ ขึ้นอยู่กับคนดูจะตีความกันเอง
The King of Comedy (1982) สามารถดูได้บน Disney+ Hotstar
Director: Martin Scorsese
screenplay: Paul D. Zimmerman
Genre: comedy, crime, drama
8.5/10
โฆษณา