3 มี.ค. 2023 เวลา 05:02 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

The Most Beautiful (1944)หนังโฆษณาชวนทึ่ง(เชื่อ) ของอาคิระ คุโรซาว่า

ผมควรจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้ แต่ทำไมผมถึงชอบหนังเรื่องนี้ได้
การพิจารณาและตัดสินหนังเก่าสักเรื่องหนึ่งด้วยสายตาหรือบรรทัดฐานในปัจจุบันมันออกจะเป็นการไม่ยุติธรรมต่อหนังเรื่องนั้นนัก โดยเฉพาะหนังเรื่องที่ 2 ของอาคิระ คุโรซาว่า คือ The Most Beautiful (1944) ซึ่งเป็นหนังที่คุโรซาว่ากำกับตามคำสั่งของรัฐบาลทหารญี่ปุ่นในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อเป็นหนังโฆษณาชวนเชื่อ กลายเป็นด่านปราการสำคัญที่ทำให้ตัวหนังถูกประเมินค่าต่ำกว่าความเป็นจริง
คุโรซาว่าไม่เหมือนกับผู้กำกับดังในยุคเดียวกันอย่างยาสุจิโร่ โอสุที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร โอสุนั้นรับใช้กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นตั้งแต่การถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 โดยไปประจำการอยู่ในนานกิง และปลดประจำการออกมาในยศสิบโท
หลังจากนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โอสุก็ถูกเกณฑ์เข้ากองทัพอีกครั้ง ด้วยกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นหวังว่าจะให้เขาทำหนังโฆษณาชวนเชื่อที่มีเนื้อหาในพม่าขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง แล้วในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาไปประจำการที่สิงคโปร์ แล้วก็ถูกจับเป็นเชลย (หากไม่ลืมไปเสียก่อนคงได้มีโอกาสมาเขียนเล่าเรื่องของโอสุในช่วงเวลานี้)
ทว่าอาคิร ะคุโรซาว่าไม่เคยถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร แต่ก็มีคำสั่งจากรัฐบาลทหารให้เขาทำหนังโฆษณาชวนเชื่อขึ้นมาสักเรื่องหนึ่งในปี 1944 หนังจากประสบความสำเร็จจาก Sugata Sanshiro(1943 ซึ่งกว่าจะฉายได้ก็โดยกรรไกรของเซ็นเซอร์ในช่วงสงครามหั่นไปเกือบ 20 นาที )
ในปี 1944 นั้น ญี่ปุ่นกำลังทำสงครามในมหาสมุทรแปซิฟิกกับสหรัฐอเมริกาและพันธมิตรอย่างหนักหน่วง และกองทัพลูกพระอาทิตย์เริ่มส่อแววเพลี่ยงพล้ำ รัฐบาลญี่ปุ่นมีความต้องการสร้างภาพหรือโฆษณาชวนเชื่อที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปมีความหวังและผลักดันให้สนับสนุนสงคราม แล้วหวยก็มาออกที่่โตโฮ สตูดิโอให้ทำหนังโฆษณาชวนเชื่อออกมาให้ได้
สงครามแปซิฟิกดำเนินต่อไปในขณะเดียวกันที่โตเกียวก็เกิดสงครามระหว่างอาคิระ คุโรซาว่ากับโตโฮสตูดิโอ แรกเริ่มเดิมทีหนังโฆษณาชวนเชื่อที่เขาจะเขียนบทและกำกับนั้นจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักบินขับไล่เครื่องบินซีโร่ของราชนาวีญี่ปุ่น แต่ทว่าเมื่อกองทัพญี่ปุ่นเริ่มเพลี่ยงพล้ำ สถานการณ์เริ่มเลวร้ายเขาได้รับคำสั่งใหม่ให้เขียนบทและกำกับ The Most Beautiful ขึ้นมาแทน เป็นหนังที่เกี่ยวกับอาสาสมัครหญิงสาวในโรงงานอุตสาหกรรมผลิตเลนส์ที่มีความแม่นยำสูง เลนส์เหล่านี้มีความสำคัญในการนำไปติดตั้งในอาวุธของกองทัพ
ตัวเรื่องมีท่าทีเป็นงานโฆษณาชวนเชื่อชัดเจน คนงานในโรงงานผลิตเลนส์ได้รับคำสั่งจากผู้อำนวยการโรงงานว่าจะต้องผลิตเลนส์ให้มากขึ้นโดยกำหนดให้แรงงานชายผลิตให้ได้เพิ่ม 100% ในขณะที่กำหนดสัดส่วนให้แรงงานหญิงเพิ่มขึ้น 50% คำสั่งนี้นำมาซึ่งความไม่พอใจแก่แรงงานหญิงเป็นอันมาก มันเป็นการดูถูกเลือดรักชาติของพวกเธออย่างยิ่ง จึงไปต่อรองกับผู้จัดการโรงงานขอเพิ่มสัดส่วนการผลิตเลนส์เป็น 2 ใน 3 ของโควต้าฝ่ายชาย
จากนั้นตัวหนังก็ตามติดเหล่าแรงงานอาสาสมัครหญิงสาวที่อาศัยรวมกันในหอพักของโรงงาน พวกเธอเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นในการเพิ่มผลผลิต แต่ในขณะเดียวกันก็มีเรื่องราวทั้งความผิดหวัง การให้กำลังใจระหว่างกัน ความพยายามร่วมกันในการเอาชนะอุปสรรคที่ทำให้เป้าหมายไขว้เขว และวิกฤตการณ์ส่วนบุคคลของตัวละครเอกที่ประเดประดังเข้ามา แต่เหนือสิ่งอื่นใดทุกอย่างมุ่งตรงไปสู่เป้าหมายการผลิตเลนส์ให้ได้ตามจำนวน บ่งบอกว่าไม่มีอะไรที่พวกเธอทำไม่ได้ เพราะมันหมายถึงชัยชนะของกองทัพและเหล่าทหารหารที่ต้องใช้อุปกรณ์จากพวกเธอ
การดูหนังที่มีเป้าประสงค์เพื่อการโฆษณาชวนเชื่อเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างแปลก เพราะโดยตัวเนื้อเรื่องแล้วมันเป็นงานที่จับต้องได้ยาก คือมันมีเนื้อเรื่องง่ายๆ แต่ไม่เป็นธรรมชาติ ทำให้เข้าถึงยาก แล้วความพยายามที่จะโน้มน้าวใจมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่มีแนวโน้มจะพาไปสู่ความตลกขบขันแบบไม่ตั้งใจ
อย่างเช่นในฉากหนึ่งเมื่อหญิงสาวคนหนึ่งลื่นตกลงจากหลังคา และทำให้เธอได้รับบาดเจ็บหนัก ขณะที่บาดเจ็บเจียนตายเธอกับยิ้มหน้าระรื่นให้สัญญาว่าจากนี้ไปเธอจะเรียนรู้เพื่อที่จะกลับมาเดินอีกครั้ง เพื่อจะได้กลับมาที่โรงงานและช่วยเพื่อนๆทำเลนส์ให้บรรลุโควต้าให้ได้สำเร็จ หรือในอีกฉากที่ตัวละครเจ็บป่วยเป็นไข้ขึ้นมาจำเป็นที่จะต้องกลับบ้านเพื่อรักษาตัว เธออิดออดไม่ยอมกลับบ้านเพราะต้องการที่จะช่วยเหลือเพื่อนๆ ให้ทำเลนส์ได้ตรงตามเป้า เพราะเธอรู้สึกว่าชีวิตของตนเองมีความสำคัญน้อยกว่าเป้าหมาย
แม้กระทั่งแม่ที่ป่วยหนักอยู่ที่บ้าน ทางบ้านเขียนจกหมายมาแจ้งโรงงานแล้วระบุว่าอย่าบอกลูกสาว เพราะกลัวเธอจะกลับบ้านทำให้เสียงาน แต่ทางโรงงานก็คิดถึงจิตใจผู้เป็นลูก นำจดหมายมามอบและขอให้เธอกลับไปดูแลแม่ แต่หญิงสาวหันหลังกลับเดินเข้าไปในโรงงาน เป้าหมายของเธอคิอการผลิตเลนส์ที่มีความสำคัญยิ่งกว่าทุกสิ่ง
เรื่องพวกนี้จริงๆแล้วดูเหมือนเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อถูกนำเสนอในหนังมันละเอียดอ่อนต่อการสร้างความรู้สึกเคอะเขิน พานให้เกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา และเราจะรู้สึกตลกทั้งที่หนังไม่ต้องการก็เป็นได้
จริงๆ แล้วผมควรจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้ ด้วยเนื้อเรื่องของมันไม่ใช่สิ่งที่เราจะสัมผัสให้จับใจได้ง่ายๆ แต่ทว่ามันกลับกลายเป็นหนังที่คุโรซาว่าสามารถพัฒนาฝีมือของตนเองไปอีกขั้นหนึ่ง ในหนังเรื่องแรกของคุโรซาว่าแม้จะมีเค้าลางของยอดปรมาจารย์การเล่าเรื่อง แต่ใน Sugata Sanshiro เต็มไปด้วยเทคนิคการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างกะท่อนกระแท่น ไม่เป็นธรรมชาติและเอาง่ายเข้าว่า
แต่ใน The Most Beautiful หนังโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นหนังเรื่องที่ 2 ของเขานั้น กลับพัฒนางานทางด้านเทคนิคการนำเสนอได้อย่างยอดเยี่ยม เขาใช้จังหวะของกล้องและการตัดต่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นระยะของภาพทั้งการ close up เพื่อแสดงสีหน้าของตัวละคร บวกกับบรรดานักแสดงสาวๆที่รับเลือกมานั้นสามารถที่จะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ
ทำให้เราอดสะเทือนใจไปกับพวกเธอไม่ได้ แล้วมันทำให้เนื้อเรื่องที่ตั้งใจบีบน้ำตาต่อผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่ตกจากหลังคาจนบาดเจ็บ คนงานหญิงที่ป่วยไข้จนไม่สามารถทำงานได้แต่ใจของเธอก็ยังโหยหาจะไปทำงาน ไม่สนใจแม้กระทั่งตัวเอง แต่ทว่าด้วยอารมณ์ของนักแสดงที่ถ่ายทอดออกมา มันกลับทำให้เรารู้สึกถึงความสะเทือนใจจริงๆ แล้วกลายเป็นฝั่งเดียวกับพวกเธอได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เมื่อคำนึงว่าหนังสร้างขึ้นมาในยุคที่ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การได้เห็นสภาพบ้านเรือน สภาพโรงงาน การแต่งกายของคนในยุคนั้นจริงๆ กลับกลายเป็นเสน่ห์ที่ชวนดึงดูดใจมากๆ ยิ่งกว่านั้นเราได้เห็นวิธีการทำงานของอาคิระ คุโรซาว่าที่ได้ชื่อว่าเป็น Perfectionist ที่สมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่งของโลก ในเรื่องนี้นั้นเขาให้นักแสดงทั้งหมดที่เป็นคนงานหญิงของโรงงานอาศัยอยู่ร่วมกันในหอพักของโรงงานจริงๆในระหว่างการถ่ายทำ และทำทุกอย่างเหมือนกับตัวละครทั้งหมดในเรื่องเพื่อให้เกิดความรู้สึกสมจริงที่สุด
ใครเป็นแฟนหนังคุโรซาว่าคงทราบดีว่าเขาใส่ใจในเรื่องความสมจริงขนาดไหน อย่างชุดของนักแสดงที่ใช้ถ่ายทำนั้น คุโรซาว่าจะให้นักแสดงของเขาเอาชุดไปสวมใส่ก่อนหนังจะถ่ายทำเป็นเวลานาน ดังนั้น ในหนังของเขามักจะเกิดความรู้สึกสมจริงว่าชุดแต่งกายของตัวละครมันคือชุดที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ได้เป็นชุดใหม่แต่อย่างใด
แต่การให้นักแสดงสาวอาศัยอยู่ร่วมกันในหอพักเหมือนในหนัง มันก็ทำให้เกิดการต่อต้านในกลุ่มนักแสดง และมีผู้นำการประท้วงต่อคุโรซาว่าซึ่งเป็นผู้ที่รับบทเด่นคือบทวาทานาเบ้หญิงสาวที่เป็นเสมือนผู้นำกลุ่มแรงงานในโรงงาน เธอเป็นตัวแทนของกลุ่มนักแสดงต่อรองกับกคุโรซาว่าเพื่อเรียกร้องคุณภาพการใช้ชีวิตในกองถ่ายที่ดีขึ้น ซึ่งเธอคนนั้นมีชื่อจริงว่าโยโกะ ยากุจิ และต่อมาเธอกับคุโรซาว่าก็แต่งงานกันในปีรุ่งขึ้น พร้อมใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันจนกระทั่งเธอเสียชีวิตในอีก 40 ปีต่อมา
สำหรับคุโรซาว่าแล้ว The Most Beautiful คงไม่ใช่แค่หนังโฆษณาชวนเชื่อที่ทำขึ้นมาตามคำสั่งของรัฐบาล แต่มันมี Story สำหรับชีวิตของเขาซ่อนอยู่ แล้วโดยส่วนตัวของคุโรซาว่าเขาชอบหนัง The Most Beautiful พอสมควรถึงกับเรียกว่า My Dearest Movie
จริงๆแล้วผมควรจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้เพราะธีมของเรื่องที่สนับสนุนสงครามแบบโฆษณาชวนเชื่อ แต่เมื่อมองลึกลงไปในสิ่งที่เป็นอยู่ ตัวละครถ่ายทอดความเจ็บปวด ความหลงใหล ความภักดี การเสียสละการอุทิศตน ความกังวลใจ ความสุข และอื่นๆอีกมากมายที่อยู่ในเรื่องนี้ ผมก็ประหลาดใจว่าผมดูหนังเรื่องนี้ได้อย่างเพลิดเพลินจนจบ แล้วก็คิดว่ามันคืองานอีกเรื่องหนึ่งของคุโรซาว่าที่ไม่อาจมองข้ามไปได้
หากจะสรุปสั้นๆต้องบอกว่า The Most Beautiful คือ หนังโฆษณาชวนทึ่ง
โฆษณา