5 มี.ค. 2023 เวลา 06:10 • กีฬา

เหตุการณ์แดงเดือดสุดคลาสสิค เจอร์ราร์ดโดนไล่ออกใน 38 วินาที

เกมแดงเดือดครั้งสุดท้ายของสตีเว่น เจอร์ราร์ด เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2015 และมันจบลงด้วยหายนะ เมื่อเขาโดนไล่ออก หลังจากลงเล่นไปได้แค่ 38 วินาทีเท่านั้น
1
เกมนั้นลิเวอร์พูลแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดคาบ้าน และมันสะท้อนให้เห็นเรื่องสำคัญสองอย่าง
อย่างแรกคือ ยุคสมัยของกลุ่มผู้เล่นซีเนียร์อย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด, เกล็น จอห์นสัน หรือ มาร์ติน สเคอร์เทล มันจบลงแล้ว ทีมหงส์แดงต้องการถ่ายเลือดอย่างด่วน
และอย่างที่สอง คือเบรนแดน ร็อดเจอร์ส เป็นผู้จัดการทีมที่โอเค แต่ไม่ดีพอในการพาลิเวอร์พูลก้าวไปข้างหน้า เขามักจะมีปัญหาเสมอกับเกมใหญ่ เกมสำคัญ และเมื่อคุณชนะเกมที่เจอคู่แข่งเลเวลเดียวกันไม่ได้ มันก็ไปถึงแชมป์ไม่ได้
ย้อนกลับไปในซีซั่นก่อน (2013-14) ลิเวอร์พูลเกือบได้แชมป์พรีเมียร์ลีก แต่พลาดไปแค่นิดเดียวเท่านั้น เพราะโดนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ตัดหน้า ถ้าเจอร์ราร์ดไม่ลื่นในเกมเจอเชลซี หรือ ถ้าหงส์แดงไม่เสมอคริสตัล พาเลซ 3-3 ทั้งๆ ที่นำไปก่อน 3-0 ป่านนี้เจอร์ราร์ดคงได้ชูโทรฟี่แชมป์ลีกไปแล้ว
แต่ทรงบอลดีๆ มีลุ้นแชมป์ดังกล่าว ก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ในเวลาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น ซีซั่น 2014-15 ลิเวอร์พูลขายหลุยส์ ซัวเรซ ให้บาร์เซโลน่า และไปฝากความหวังกับกองหน้าตัวที่มีอยู่ เช่น ริคกี้ แลมเบิร์ต และ มาริโอ บาโลเตลลี่
สุดท้ายทีมก็เลยพังพินาศ ตกรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ตามด้วยตกรอบบอลถ้วยในประเทศทั้งหมด ความหวังเดียวที่ลุ้นได้ คือติดท็อปโฟร์ เพื่อไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกในซีซั่นต่อไปให้ได้ก็ยังดี
22 มีนาคม 2015 เกมนัดที่ 30 ของฤดูกาล ลิเวอร์พูลอยู่อันดับ 5 ของตาราง เจอ แมนฯ ยูไนเต็ดอันดับ 4 ว่ากันว่า เกมนี้จะตัดสินกันเลย ว่าใครจะไปจบท็อปโฟร์ ได้โควต้าไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
ตารางคะแนน ณ เวลานั้น แข่งไปแล้ว 29 นัด มีอันดับตามนี้
อันดับ 2 - 58 แต้ม แมนเชสเตอร์ ซิตี้
อันดับ 3 - 57 แต้ม อาร์เซน่อล
อันดับ 4 - 56 แต้ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
อันดับ 5 - 54 แต้ม ลิเวอร์พูล
ความสำคัญของแดงเดือดที่แอนฟิลด์ก็คือ ถ้าลิเวอร์พูลชนะแมนฯ ยูไนเต็ดได้ล่ะก็ พวกเขาจะแซงขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ทันที และเผลอๆ จะลุ้นถึงอันดับ 2 ได้เลย นี่จึงเป็นเกมที่สำคัญมากๆ
1
เกมแบบนี้ ตามหลักแล้ว เจอร์ราร์ดก็ควรได้ลงเป็นตัวจริง แต่ร็อดเจอร์ส ตัดสินดร็อปเขาไปก่อน เหตุผลแรกคือเจอร์ราร์ดเพิ่งหายจากอาการที่แฮมสตริงได้แค่สัปดาห์เดียว และเกมนัดก่อนหน้านี้ ที่ใช้คู่กลางเป็นจอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ โจ อัลเลน ทีมก็ทำได้โอเค บุกไปชนะสวอนซีมาได้ 1-0 ดังนั้นร็อดเจอร์ส จึงยึดผู้เล่นชุดเดิมไปก่อน ไม่อยากเปลี่ยนอะไรกลางคัน
1
ลิเวอร์พูลใช้แผน 3-4-2-1 เล่นเซ็นเตอร์แบ็กสามคน และให้ อัลแบร์โต้ โมเรโน่ เล่นวิงแบ็กซ้าย กับ ราฮีม สเตอร์ลิ่งเล่นวิงแบ็กขวา ช่วยเกมรุกเต็มรูปแบบ
แต่เกมนี้ หลุยส์ ฟาน กัล ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วางแผนได้แยบยลกว่า เขาเห็นแล้วว่าหงส์แดงจะใช้ โมเรโน่ กับ สเตอร์ลิ่ง ที่มีสกิลเกมรับแย่มาก จึงเลือกเล่นแผน 4-3-3 จับเอาแอชลีย์ ยัง ยืนซ้ายสุด และ ฆวน มาต้า ยืนขวาสุด คือสองคนนี้จะมีพื้นที่เล่นมหาศาล เพราะวิงแบ็กของลิเวอร์พูลจะดันสูงตลอดเวลาโดยไม่ดร็อปลงมา
เมื่อเกมเริ่ม แค่ 11 นาที แผนที่ฟาน กัล วางไว้ก็ได้ผลทันที เมื่อฆวน มาต้า หลุดโล่งๆ ทางขวา เนื่องจากโมเรโน่ ดันสูง เขามีเวลาเป็นวินาที แต่งบอลด้วยซ้ายแล้วยิงด้วยขวา ผ่านมือซิมง มิโญเล่ต์เข้าไป ให้ปีศาจแดงบุกมานำที่แอนฟิลด์ 1-0
เรื่องการปล่อยพื้นที่โล่งของโมเรโน่ก็ประเด็นหนึ่ง แต่อีกจุดที่สำคัญคือ จังหวะที่อันเดร เอร์เรร่าแทงให้มาต้า เร์เรร่ายืนโล่งจนไม่รู้จะโล่งยังไงแล้ว เพราะจอร์แดน เฮนเดอร์สัน กับ โจ อัลเลน ไม่ยอมเสียบสกัด หยุดยั้งไว้ก่อน คือสองคนนี้ไม่ใช่สไตล์ถึงลูกถึงคน ทีนี้พอมันไม่มีฮาร์ดแมน กองกลางแมนฯ ยูไนเต็ด จึงเล่นง่ายมาก และคุมเกมเอาไว้หมด
1
จบครึ่งแรก แมนฯ ยูไนเต็ดนำ 1-0 และนั่นทำให้เจอร์ราร์ดไม่พอใจ ที่กองกลางเล่นแบบไม่ Fighting กันเลย ร็อดเจอร์สอธิบายว่า "สตีเว่นดูเกมอยู่ในครึ่งแรก และเห็นว่าเราไม่ยอมเสียบใส่คู่แข่งซะที"
1
เพื่อเพิ่มพลังตรงกลางสนาม ทำให้ร็อดเจอร์ส ส่งเจอร์ราร์ดลงมาเล่นมิดฟิลด์ตัวรุกในครึ่งหลัง ลงแทนอดัม ลัลลาน่า ด้วยความหวังว่า ประสบการณ์และ Passion ในเกมใหญ่ของเจอร์ราร์ด จะกระตุ้นให้ทีมคัมแบ็กกลับมาได้
เจอร์ราร์ดลงมา ด้วยความมุ่งมั่นจริงๆ ใน 25 วินาทีแรกของครึ่งหลัง เขาเสียบบอลดุดันใส่ฆวน มาต้า อันนี้ถือว่าแฟร์ เพราะโดนบอลเต็มๆ เรียกเสียงเฮจากแฟนๆ ได้ทั้งแอนฟิลด์
1
แต่เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในอีก 5 วินาทีต่อมา เมื่ออันเดร เอร์เรร่า เห็นเจอร์ราร์ดเสียบบอลหนักแบบนั้นใส่มาต้า จึงวิ่งมาเสียบกะเอาคืนเจอร์ราร์ดบ้าง แต่เจอร์ราร์ดกระโดดหลบได้สำเร็จ รอดพ้นจากการเสียบของเอร์เรร่าไปได้
ประเด็นคือเจอร์ราร์ดแค่หลบไม่พอ เขาน็อตหลุด ในลักษณะว่ากล้าดียังไงมาเสียบกู จึงเอาเท้าซ้ายย่ำไปที่แข้งของเอร์เรร่าเต็มๆ เพื่อสั่งสอน
1
ชัดเจนว่า นี่เป็นการเล่นนอกเกม 100%
เจอร์ราร์ดคิดว่าอาจรอดตัวไปได้ เพราะยุคนั้น VAR ก็ยังไม่มี แต่บังเอิญผู้ตัดสินมาร์ติน แอตกินสัน อยู่ตรงนั้นพอดี เห็นเหตุการณ์ชัดเจน จึงเดินมาควักใบแดงให้เจอร์ราร์ดออกจากสนามไปเลย ในวินาทีที่ 38
1
นี่เป็นใบแดงที่ "เร็วที่สุด" ของสโมสรลิเวอร์พูลตั้งแต่ก่อตั้ง ไม่เคยมีใครโดนใบแดงจากการลงเล่นแค่ 38 วินาทีแบบนี้ เป็นสถิติอำลาแดงเดือดที่เลวร้ายมากของเจอร์ราร์ด
การเหลือ 10 คน ทำให้จากที่คาดหวังจะคัมแบ็กกลับมาได้ หงส์แดงโดนนำห่าง 2-0 จากลูกวอลเลย์ของฆวน มาต้า ในนาทีที่ 59
ลิเวอร์พูลมาไล่จี้เป็น 2-1 ในนาทีที่ 69 จากแดเนียล สเตอร์ริดจ์ก็จริง แต่ด้วยความที่เหลือตัวผู้เล่นน้อยกว่า 45 นาทีเต็มๆ ทำให้ไม่สามารถคัมแบ็กกลับมาได้ จบเกมแมนฯ ยูไนเต็ดชนะ 2-1 นี่คือจุดสำคัญของฤดูกาลเลยก็ว่าได้
3 แต้มไปกลับแบบนี้ ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด ยึดท็อปโฟร์ได้อย่างมั่นคง และได้สิทธิ์ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในท้ายที่สุด ส่วนลิเวอร์พูลแทนที่จะแซงขึ้นไปอยู่ท็อปโฟร์ได้ ก็โดนฉีกหนีไปอีก สุดท้ายก็ไล่ไม่ไหว จบอันดับ 6 ในตาราง กลายเป็นปีที่น่าผิดหวังมากของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส
1
หลังจบเกมนักข่าวไปถามเจอร์ราร์ดว่า คิดอะไรอยู่ในหัว ทำไมเล่นเพลย์นั้นลงไป เจอร์ราร์ดตอบว่า "ผมต้องยอมรับความจริง กรรมการตัดสินได้ถูกแล้ว ผมทำให้เพื่อนร่วมทีมและผู้จัดการทีมผิดหวัง และสำคัญที่สุด ผมทำให้แฟนบอลผิดหวัง"
2
"ผมพยายามจะกระโดดหลบการแท็กเกิ้ลของเอร์เรร่า ผมเห็นสตั๊ดของเขาคิดจะมาเสียบผม ผมตอบสนองกลับไปอย่างผิดพลาดแบบนั้น"
ในวันนั้น สิ่งที่ทำให้ทุกคนได้เข้าใจคือ แม้แต่สุดยอดกัปตันอย่างเจอร์ราร์ด สุดท้ายแล้วก็มีวันโรยรา ไม่ใช่แค่ร่างกายเท่านั้น แต่การตัดสินใจก็เช่นกัน ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงคิดอ่านอย่างรอบคอบกว่านี้ ก่อนที่จะทำอะไร
แต่ช็อตนี้เขาขาดสติไปชั่วครู่ ไม่เข้าใจสถานการณ์ แถมคิดว่าจะรอดตัวได้ จึงไปเอาคืนเอร์เรร่า จนโดนใบแดง และทีมเหลือตัวน้อยกว่า ถึงตรงนั้นก็หมดสิทธิ์คัมแบ็กแล้ว ทีมหงส์แดงก็เสียหายในภาพใหญ่มากๆ
1
นี่เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เจอร์ราร์ดเสียใจในชีวิตการค้าแข้ง เขาบอกว่า "ผมเป็นผู้เล่นที่ใช้อารมณ์ ใช้ Passion ในการกระตุ้นฟอร์มการเล่นให้ดีขึ้น ผมใส่หัวใจลงไปในสนาม ซึ่งผลงานที่ผ่านมาของผมก็พิสูจน์แล้วว่าเล่นด้วยใจมันได้ผลจริงๆ แต่บางครั้งผมก็รักษาสมดุลไม่ได้ ผมใช้อารมณ์ร่วมกับมันมากเกินไป สุดท้ายผมก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง"
เจมี่ คาร์ราเกอร์ ที่แขวนสตั๊ดไปแล้ว ก็ออกมากล่าวในลักษณะเดียวกันว่า การเล่นด้วยหัวใจของเจอร์ราร์ดมันมีทั้งผลดีและผลเสียไปพร้อมๆ กัน
"บางครั้ง สตีวี่ไม่ได้เล่นฟุตบอลด้วยสมอง นั่นเพราะเขาเล่นมันด้วยหัวใจเพียวๆ ตัวอย่างเช่น เกมเจอเวสต์แฮม ในเอฟเอคัพ นัดชิง หรือ เกมที่อิสตันบูล เขาใช้หัวใจล้วนๆ คือสตีวี่ ไม่ใช่พวกชอบคิดคำนวณอะไรในหัว รู้สึกอย่างไร ก็ทำออกมาแบบนั้น"
ก่อนหน้านั้น จะมีภาพยนตร์ของนิโคลัส เคจ ชื่อ Gone in 60 seconds ซึ่งตอนนั้นเจอร์ราร์ดก็โดนแซว มีการตัดต่อภาพแล้วเขียนคำขึ้นมาใหม่ว่า Gone in 38 Seconds นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เขาโดนแซวบ่อยๆ ไม่แพ้เหตุการณ์ลื่นเลยทีเดียว
การพ่ายแพ้ในศึกแดงเดือดวันนั้น ทำให้ลิเวอร์พูลไม่ติดท็อปโฟร์ไปแชมเปี้ยนส์ลีก และมีส่วนสำคัญที่ร็อดเจอร์สโดนไล่ออกในซีซั่นต่อมา ก่อนจะเป็นเจอร์เก้น คล็อปป์เข้ามาคุมทีมแทน
ส่วนเจอร์ราร์ดจบซีซั่น ก็ย้ายไปเล่นที่เมเจอร์ลีก สหรัฐฯ และอำลาอาชีพนักเตะในที่สุด
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว นี่คือ 38 วินาทีแห่งประวัติศาสตร์ ที่อธิบายความเป็นสตีเว่น เจอร์ราร์ดได้อย่างดี สิ่งแรกที่คุณจะนึกถึงเขาเลยก็คือ "พลัง Passion" มันเต็มเปี่ยมเสมอ
ถามว่าเล่นด้วยอารมณ์เป็นสิ่งดีไหม? แน่นอน มันย่อมดีอยู่แล้ว การมี Passion กับการแข่ง จะช่วยกระตุ้นคนรอบข้างให้มีฮึดมากขึ้น แต่อย่าลืมว่า คุณต้องมีสติไปพร้อมกันด้วย ซึ่งครั้งนี้เจอร์ราร์ดพลาดไปจริงๆ
Passion อันแรงกล้า ที่ไม่มีสติคอยควบคุม ก็มักจะนำทางไปสู่หายนะเป็นเรื่องธรรมดา
สำหรับเกมแดงเดือดคืนนี้ ส่วนตัวผมคิดว่า จะมีสตอรี่สุดยอดให้ได้พูดถึงแน่นอน แต่จะออกมาหน้าไหนยังคาดเดาไม่ได้
ลิเวอร์พูลเหนือกว่าแมนฯ ยูไนเต็ด เวลาเจอกันในพรีเมียร์ลีก อย่างน้อย 4 ปี ติดต่อกัน แต่ทีมปีศาจแดงชั่วโมงนี้ ก็เก่งกาจสุดยอด สปิริตแรงกล้ามากๆ
นี่คือบอลสามหน้าอย่างแท้จริง และจุดเปลี่ยนสำคัญอาจอยู่ที่สมาธิ และสติ
ถ้าหากมีนักเตะคนไหน น็อตหลุดเพียงชั่วครู่ แบบที่เจอร์ราร์ดพลาดใน 38 วินาทีที่ลงสนาม นั่นอาจเป็นจุดชี้ขาด ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในเกมสุดระทึกนัดนี้
#REDWAR
----------------------------
ป.ล. เจอร์ราร์ด โดนใบแดงใน 38 วินาที ที่ลงสนาม คำถามคือ นี่เป็นใบแดงที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่ ยังห่างไกลเยอะเลย
ใบแดงที่เร็วที่สุดในโลก เท่าที่มีการบันทึกไว้ เกิดขึ้นในเกมซันเดย์ลีก ของประเทศอังกฤษ ระหว่างสโมสรครอสส์ ฟาร์ม พาร์ก เจอกับทีม ทาวน์ตัน อีสต์ รีช โดยเกิดใบแดง ตอนเริ่มการแข่งขันไปได้แค่ 2 วินาทีเท่านั้น!
สงสัยไหมครับ ว่า 2 วินาที มันทำอีท่าไหน ถึงโดนใบแดงได้ นักเตะเพิ่งจะเขี่ยไปแค่ทีเดียวเองมั้งนั่น
คำตอบคือ ตอนกรรมการเป่านกหวีดเริ่มเกม ลี ท็อดด์ กองหน้าของทีมครอสส์ ฟาร์ม พาร์ก อุทานขึ้นมาว่า "ไอ้ห่าเอ๊ย เสียงนกหวีดแม่งดังฉิบหาย" แล้วกรรมการได้ยินพอดี จึงเดินมาควักใบแดงไล่ออกไปเลย โทษฐานพูดจาไม่เคารพผู้ตัดสิน
13
ลี ท็อดด์ คนโดนไล่ออกโวยแหลก ว่าไม่ได้เจาะจงด่ากรรมการอะไร แค่อุทานเฉยๆ แต่กรรมการไม่สน จัดการไล่ออกอยู่ดี และนี่คือสถิติใบแดงเร็วที่สุด เท่าที่เคยมีการบันทึกมาในโลกฟุตบอล
8
โฆษณา