8 มี.ค. 2023 เวลา 00:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ส่งออกไทยเตรียมรับมือ EU ฟาดกฎหมายคุมโลกร้อน

EU เตรียมใช้กฎหมายแบนการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า คาดเริ่มมีผลปี 2024
1
โดยกฎอันนี้จะแบนสินค้าจากบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งช่วงแรก EU นางจะเน้นที่พวกสินค้าเกษตร คือเนื้อวัว, โกโก้, กาแฟ, น้ำมันปาล์ม, ถั่วเหลือง, ไม้และยาง
การบังคับของกฎอันนี้จะทำให้ผู้ส่งออกไปตลาด EU ต้องเตรียมหลักฐานว่าสินค้าตัวเองไม่ได้ถูกผลิตหรือเกี่ยวข้องกับการตัดไม่ทำลายป่า และใครที่ปลอมข้อมูลจะถูกปรับเป็นเงินได้สูงถึง4%ของยอดขาย//ตุยเย่😱
โดยEUถือเป็นหนี่งในตลาดใหญ่อันดับ3ที่นำเข้าสินค้าที่เกี่ยวกับการทำลายป่าสูงถึง 13% จากทั่วโลก เพราะงั้นบริษัทต่างๆที่ส่งออกไปกลุ่มโลกตะวันตกสูงๆจะต้องรีบปรับตัว ไม่งั้นหนูๆตุ้ปแน่
ซึ่งแน่นอนสำหรับประเทศที่จะโดนผลกระทบหนักๆก็คือกลุ่มประเทศเอเชียที่ในช่วงที่ผ่านมาอาจจะ no สน no แคร์สิ่งแวดล้อม โดยมาเลเซียกับอินโดนีเซียล่าสุดจับมือกันวีนแตกใส่ EU เนื่องจากรับไม่ได้กับกฎหมายที่กีดกันสินค้า ขัดกับหลักการค้าเสรี WTO
ซึ่งมาเลที่โกรธจัดก็เลยขู่ที่จะแบนส่งออกน้ำมันปาล์มไป EU เลย//เออแบนเองก่อนจะโดนแบนไปเลย😆//มันได้ใช่ม่ะแบบนี้//ได้อยู่
3
เอาจริงๆแต่ละประเทศก็เริ่มมีการปรับตัวแล้วแหละ แต่มันยังไม่พอตามเป้าหมายที่ควรจะเป็นไง อย่างอินโดนางก็มีการปรับการผลิตน้ำมันปาล์มที่ตัดไม้ทำลายป่าน้อยลงแต่ได้ผลผลิตมากขึ้น ส่วนบราซิลก็ตัดไม้ต่อปีลดลง แต่ก็ยังถือว่าสูงอยู่ดี เพราะงั้นก็ต้องจริงจังมากกว่านี้ ถ้ายังต้องพึ่งพาการส่งออกไปโลกตะวันตก
ซึ่งเอาจริงๆ EU ก็ต้องมีเงินสนับสนุนพวกผู้ประกอบการยิบย่อยในการทำระบบที่จะต้องออก report เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ด้วยเด้อ เพราะถ้าไม่มีความช่วยเหลือใดๆก็เหมือนฆ่าผู้ประกอบการยิบย่อยที่จะต้องแบกต้นทุนการทำระบบ
ด้านประเทศไทยผลกระทบก็ใช่ย่อย โดนมูลค่าการส่งออกของ7สินค้าเป้าหมายอยู่ที่ 81,000 ล้านบาท ซึ่งแต่ละเจ้าก็ต้องเตรียมไว้ให้ดีว่า ถ้ากฎหมาย EU ผ่าน ต้องเปิดเผยข้อมูลให้เรียบร้อย พร้อมที่จะบอกได้ว่าสินค้าตัวเอง มันปลูกที่ไหน ตรงไหน อะไรยังไง
และนอกจากจะมีกฎที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้แล้ว EU ก็เพิ่งผ่านกฎหมายที่เก็บภาษีเพิ่มจากสินค้านำเข้าตามคาร์บอนที่บริษัทตัวเองปล่อยออกมา หรือเรียกสั้นๆว่า CBAM โดยกฎอันนี้จะเริ่มมีผลใช้ปีนี้ช่วงตุลา แต่จะแค่บังคับให้เปิดเผยข้อมูลตัวเลขก่อน และจะเริ่มเก็บภาษีจริงช่วงปี 2026
ซึ่งสินค้าช่วงแรกที่ครอบคลุมจะกระทบผู้ประกอบการไทยหลักพัน มูลค่าเกือบ2หมื่นล้านบาท และเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้ EU จะขยายประเภทสินค้าเพิ่ม กระทบไทยเพิ่มไปอีกหลายเท่าตัว
สถานีต่อไปของ EU คือกฎหมายที่คุมสินค้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นพวกแรงงานเถื่อนงี้ ดูๆแล้ว เรื่องนี้ไทยก็โดนแบบจุกๆเหมือนกัน เพราะไทยเราก็ขึ้นชื่อเรื่องแรงงานเถื่อนจากอุตสาหกรรมประมง ยังไงเราคงต้องติดตามว่า EU จะมีเกณฑ์มาคุมอีกตรงไหน
สำหรับบริษัทไทยที่คิดว่ามันจะจบแค่ EU แอดขอยิ้มปริ่มและกรอกตาบนใส่เพราะว่าตอนนี้เมกา ก็กำลังม่วนที่จะออกกฎแนวๆนี้มาเพื่อคุมมาตรการสิ่งแวดล้อมของเค้าเหมือนกัน เพราะงั้นหนูๆอย่าเพิ่งมั่น โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งออกไปตลาดใหญ่อย่างเมกาและยุโรป ถ้าไม่ปรับตัวน่าจะกระทบหนักแน่
เอาจริงๆทางไทยเองด้านมาตรการสิ่งแวดล้อมต้องเรียกได้ว่า ถึงทำน้อย แต่ทำนะ อย่างล่าสุดที่แบงค์ชาติร่วมกับ กลต.ออก Thai Taxonomy ที่ตั้งเกณฑ์เลยว่า รายได้ รายรับ หรือค่าใช้จ่ายแบบไหนที่เขียวหรือไม่เขียว หรือจะเหลือง หรือจะแดง ซึ่งการนำไปบังคับใช้ถึงแม้จะยังไม่มี แต่เชื่อว่าในอนาคตคงต้องมีมาตรการรัฐมาเกี่ยวโยงกับ Taxonomy อันนี้แน่นอน
ด้านนักลงทุนไทย โดยเฉพาะกลุ่มสถาบันเริ่มให้ความสำคัญเรื่องนี้กันอย่างโจ่งครึ้ม เพราะผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมมันกำลังมากระทบรายได้ของบริษัทจากการตั้งกฎของนานาประเทศ แล้วประเทศที่ส่งออกมีมูลค่า 70% ของ GDP อย่างไทยมันจะรอดได้ไงละคะ ฝากไว้ให้คิส😘
โฆษณา