7 มี.ค. 2023 เวลา 16:07 • ไลฟ์สไตล์

เรื่องเล่าคนเดียว

ที่แปลว่าคนเดียว
ตะวัน
บันทึกความทรงจำ วันที่ 1/03/66 จุดประสงค์การไปเที่ยวของฉันคือการเจอคนรีวิวการนั่งรถไฟไปเที่ยวหัวหินแบบราคาประหยัดงบในกระเป๋าในราคาสบายกระเป๋า 44฿
เริ่มต้นเช้าวันพุธ ที่ไม่ค่อยสดชื่นนัก ฉันพักอาศัยอยู่ในกรุงเทพ แถวๆ เอกมัย ฉันตื่นนอนเวลาหกโมงเช้านิดๆ และทำภารกิจส่วนตัวเสร็จ เวลาเจ็ดโมงเช้าฉันเริ่มออกเดินทางไปที่บีทีเอสเอกมัย ขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสเอกมัยไปลงที่อโศก แล้วเปลี่ยนไปต่อเป็นรถไฟฟ้าใต้ดินสุขุมวิทที่อโศกไปลงที่สถานีหัวลำโพงแล้วก็ขึ้นไปที่สถานีรถไฟแห่งประเทศไทยหัวลำโพงประมาณแปดโมงนิด ผู้คนไม่เยอะมาก และมีชาวต่างชาติครึ่งต่อครึ่งกับคนไทย
(ขอเพิ่มเติมนิดนึงว่าดิฉันไม่เคยเดินโดยรถไฟแห่งประเทศไทยเลย ครั้งแรกที่เคยนั่งตอนมาทัศนศึกษา ตอนที่เรียนอยู่ปวช. ปีแรก เคยนั่งแบบสั้นๆ และไม่ไกลมาก ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของดิฉันเลยก็ว่าได้ และเป็นการเดินทางคนเดียวของดิฉันเลย ) พอไปถึงฉันก็อาศัยการถามเอาจากเจ้าหน้าที่ และฉันก็เดินไปถามหน้าเค้าเตอร์ สอบถามเจ้าที่ถึงเที่ยวรถไฟชั้น 3 กรุงเทพ-หัวหิน ราคา 44 ฿ รถไฟจะออกเวลาเก้าโมงยี่สิบนาที
ฉันก็จัดการซื้อตั๋วแล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้ในสถานี เอากระเป๋าวางไว้แล้วฉันก็ออกไปเดินข้างหน้าทางที่เชื่อมกับทางรถไฟฟ้าใต้ดิน ตอนขาเดินเข้ามาฉันเห็นมีร้านค้าขายของกันข้างหน้า หลังจัดการกระเป๋าแล้วฉันก็ออกมาดู
ได้ข้าวผัดไข่ที่แปลว่าข้าวผัดไข่จริงๆ และแถมด้วยแตงกวาสองแผ่นบางๆ ในหนึ่งกล่อง แล้วเดินกลับมาที่เก้าอี้ที่นั่งข้างใน จัดการแกะกล่องกินแบบฝืดๆ คอ เพราะอย่างที่บอกฉันผู้ยังไม่เคยเดินทางโดยรถไฟ เลยกลัวว่าถ้าปล่อยให้ท้องหิวแล้วจะเมารถไฟเอาได้ เลยจำเป็นต้องกล้ำกลืนฝืนทนกินข้าวผัดไข่จนเกือบหมดกล่อง
และเพราะความที่ชั้นยังไม่เคยขึ้นที่สถานีนี้ ไม่รู้ว่าที่ขึ้นของรถไฟอยู่ทางไหน ยังไม่รู้เลย หลังกินข้าวกล่องเสร็จก็ลุกลี้ลุกลนเลยเดินไปถามทางเจ้าหน้าที่ และสำรวจเส้นทาง ประมาณเก้าโมงนิดๆ ฉันก็เดินไปที่ทางรอขึ้นรถรอไม่น่ารถไฟสายที่ฉันต้องการนั่งก็มาจอดเทียบชานชลา ฉันก็เดินขึ้นรถไฟโดยรถไฟชั้นประประหยัดจะไม่ล็อคที่นั่งให้เรา เราสามารถเลือกที่นั่งได้ตามสบาย ฉันก็เลยเลือกติดหน้าต่าง
2
(โดยก่อนที่จะมาฉันได้บอกกับตัวเองเอาไว้ว่าเป็นการเดินทางครั้งแรกและอีกอย่างฉันคิดว่าชอบเดินทางแบบนี้ ฉันบอกกับตัวก่อนมาว่าจะไม่หลับ จะนั่งดูวิวกรุงเทพฯไปจนถึงหัวหินเลย แต่ความจริงพอได้ที่นั่งเรียบร้อย พอเก้าโมงยี่สิบรถไฟออกจากสถานีหัวลำโพงไปถึงแค่สถานีชุมทางบางซื่อเสร็จ ฉันก็หลับแบบสลบสลาย ไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีตอนที่ถึงสถานีสำโรง นครปฐม และหลังจากนั้นก็หลับๆ ตื่นๆรู้ตัวอีกทีตอนที่ไกล้จะถึงแล้ว ทำให้ทริปนี้ไม่ได้รับรู้วิวอะไรมากนัก
แต่สิ่งที่ไม่ประทับใจเลยคือ ในเที่ยวก็จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติปะปนพอสมควร ตั้งแต่สถานีนครปฐมมาผู้คนที่ขึ้นสถานีนี้ที่ขึ้นมานั่งมีบางคนบางกลุ่มที่ขึ้นมานั่งแล้วเอาเท้าขึ้นบนที่นั่ง บางคนก็เอาเท้าไขว้บนที่นั่งทำ ทำเหมือนอยู่บ้านตัวเอง ตามสบายเกิน แถมป้าที่นั่งข้างดิฉันก็เอาเท้าขึ้นวางบนตัวเก้าตัวตรงข้าม และเปิดโทรศัพท์เสียงดังมาก ขนาดเสียงรถไฟดังมากแล้วนี่ป้าคนนี้เปิดเสียงกลบเสียงรถไฟ บางคนสวมถุงเท้า บางคนไม่ได้สวมถูงเท้า (ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงสวมไม่สวมถุงเท้า แต่ตรงที่เอาขึ้นมาวางบนเก้าอี้)
ทั้งที่นั่งรวมกับผู้อื่น ทำให้มีกลิ่นเท้า ทำให้คนที่ขึ้นทีหลัง หรือบางคนไม่มีที่นั่งต้องยืน ทั้งที่มีที่นั่งอยู่ ส่วนตัวแล้วอดคิดว่าไม่ได้ว่าคนเห็นแก่ตัว ก็เห็นแก่ตัวขนาดมองไม่เห็นมนุษย์ด้วยกัน ยอมเอาแค่ตัวเองสบาย แต่ลืมสังคม แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นของสาธารณะ ดิฉันรู้สึกว่าน่าเกลียดที่คนลืมเกรงใจคนอื่น เว้นพื้นที่ของคนอื่น
ในที่สุดก็ถึงที่สถานีหัวหิน และฉันที่ลงจากรถไฟก็อาศัยพี่วินนี่แหละที่แถวๆ ชายหาด ระหว่างนั่งวินก็สอบถามที่พักและพี่วินก็แนะนำ แถวๆไกล้ชายหาดประมาณ สามสี่ร้อยเมตร ฉันผู้ไม่ได้เตรียมความพร้อมอะไรเลย ก็ต้องไปหาโรงแรมเล็กๆ ราคาไม่แรงมาก หกร้อยห้าสิบบาท
ฉันพักที่หัวหินหนึ่งคืนไปเดินเที่ยวตลาดไนท์มาร์เก็ท หาของกินที่นั่น ยอมรับว่าอาหารหลายอย่างราคา และแพงบ้าง แต่ผู้คนเยอะมาก หลังจากนั้นก็กลับที่พัก ตื่นมาตอนเช้าก็ไปเล่นน้ำเล็กน้อยแล้วกลับมาที่สถานีรถไฟเวลาฉิวเฉียด บ่ายสองโมง ซื้อตั๋วรถไฟขากลับ ราคา 44฿ รถไฟออกจากหัวหินไปกรุงเทพเวลาบ่ายสองโมงยี่สิบตรง
บันทึกเล่มนี้เขียนขึ้นเป็นความทรงจำของตัวเอง มิได้ติติงถึงใครหรือผู้ใด
โฆษณา