11 มี.ค. 2023 เวลา 13:41 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand)

💸“Stay calm, Stay invest.”💸

ผมลงทุนในหุ้นมาประมาณ 14 ปี หากจะให้พูดตามความเป็นจริงแล้วก็คือ “การลองผิดลองถูก” มาโดยตลอด เหตุเพราะโลกการลงทุนเป็นพื้นที่แห่งการเปิดใจให้กว้าง และค้นหาจริตซึ่งเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง บางครั้งเมื่อเริ่มต้นศึกษาหลักการลงทุนรูปแบบหนึ่งมา เราไม่รู้หรอกว่ามันดีจริงหรือไม่ การลงมือทำเป็นกระบวนการซึ่งสามารถพิสูจน์หลักการได้ดีที่สุด
เมื่อมองในภาพรวมแล้วผมคิดว่า “การลงทุนมีความยากเย็นพอๆกับการทำธุรกิจ” หากย้อนเวลากลับไปในอดีตนั้นธุรกิจหรืออุตสาหกรรมค่อนข้างมีความเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้า เช่นนั้นแล้วการลงทุนในหุ้น เราสามารถเลือกใช้กลยุทธ์การเข้าซื้อหุ้นแล้วถือครองต่อไปในระยะยาวได้อย่างไม่ต้องใส่ใจมากนัก เพียงเท่านี้คุณก็ชนะคนส่วนใหญ่แล้ว แต่ ณ ปัจจุบัน ตรรกะมันเปลี่ยนไปคนละทิศทาง
เราจำเป็นต้องติดตามกระแสแนวโน้มสำคัญของโลกใบนี้อย่างใกล้ชิดมากขึ้น เป็นคนช่างสังเกตให้มากขึ้น ทำงานให้หนักขึ้น ปรับเปลี่ยนไปตามธรรมชาติของระบบทุนนิยม หลักการ “ซื้อหุ้นแล้วถือจนลืม” อาจใช้ได้ผลน้อยลง คุณต้องหมั่นคอยติดตามหุ้นที่ถือครองอยู่เสมอ ประกอบกับความสามารถในการวิเคราะห์และการบริหารจัดการพอร์ตพอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) ในภาพรวม
🏃‍♂นักลงทุนที่พอร์ตยังเล็กควรถือครองหุ้นไม่เกิน 5 -6 บริษัท หากคนที่มีพอร์ตการลงทุนใหญ่มากพอสมควรก็อาจถือครองหุ้นสัก 10 บริษัท เอาเท่าที่เราดูแลเอาใจใส่ไหว ไม่เหน็ดเหนื่อยจนเกินไป เพราะเมื่อผลตอบแทนการลงทุนในหุ้นแต่ละบริษัทที่เราเข้าซื้อนั้นงดงามตามที่ใจคาดหวัง ก็จะได้น้ำได้เนื้อ มีนัยสำคัญต่อการเติบโตของพอร์ตการลงทุนในภาพรวม
💬ปัจจุบันนี้ วิธีการลงทุนของผมส่วนใหญ่จะเป็นการเจาะลึกลงไปในรายละเอียดของแต่ละบริษัท (Bottom up) ไม่ได้มุ่งเน้นไปยังอุตสาหกรรมใดเป็นพิเศษ ให้ความสำคัญกับกระบวนการวิเคราะห์งบการเงิน “ผลประกอบการของบริษัทคือเจ้ามือตัวจริงในตลาดหุ้น”
นอกจากการติดตามข่าวสารทั่วไปซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันโดยปกติอยู่แล้วนั้น โดยส่วนตัวผมจะตรวจสอบพอร์ตการลงทุนเพียงเดือนละ 1 ครั้ง มานั่งอ่านบทวิเคราะห์หุ้นทุกบริษัทที่เราถือครองอยู่อย่างละเอียดมากที่สุด ตรวจสอบดูว่ามีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญจากเดือนที่ผ่านมาหรือไม่
การตรวจสอบดังกล่าวนี้ หมายรวมไปถึงการนำข้อมูลต่างๆมาเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นๆที่กำลังติดตามอยู่ด้วย (Watchlist) หากพบเจอบริษัทซึ่งคุ้มค่าแก่การลงทุนมากกว่าหุ้นที่ถือครองอยู่ก็อาจมีการซื้อขายสับเปลี่ยนบ้าง โดยไม่ได้สนใจว่าหุ้นที่ถือครองนั้นจะกำลังขาดทุนอยู่หรือไม่ อาจารย์ผมสอนมาว่า หากอยากลงทุนในหุ้นให้ประสบความสำเร็จ “เราต้องลืมต้นทุนไปก่อน” ควรมุ่งเน้นไปยังมูลค่าพื้นฐานกิจการ หรือราคาที่ตลาดคิดว่าเหมาะสม ว่าควรจะเป็นเท่าไหร่
❓ระหว่างการลงทุนในหุ้น กับการทำธุรกิจ จะเลือกอะไรดี❓
🕑หากเป็นสมัยก่อน ผมคงแนะนำให้ไปทำธุรกิจ เพราะผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (ROE) สามารถเพิ่มทวีคูณเป็นร้อยเท่าได้ คุณใส่เงินเข้าไปในธุรกิจสักหนึ่งแสนบาท อาจสามารถสร้างผลกำไรหลักล้านได้ภายใน 1 – 2 ปีแรกเลยด้วยซ้ำ จากนั้นคุณค่อยขยับขยายนำเงินที่มีเพิ่มมากขึ้นไปลงทุนในตลาดหุ้นก็ไม่สาย
📉เพียงแต่ ณ วันนี้ อัตราความสำเร็จในการทำธุรกิจมันลดต่ำลงมาก บริษัทเกิดใหม่ 100 บริษัท อาจล้มละลายตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มต้นสัก 80 บริษัท “เข้าทำนองเกิดง่าย ตายง่าย” ซึ่งหากตัวคุณมั่นใจว่ามีภูมิปัญญาหรือความเชี่ยวชาญที่เหนือกว่าคนส่วนใหญ่จริงๆแล้วล่ะก็ จะเลือกเส้นทางการทำธุรกิจเป็นของตนเองก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่ได้มีความมั่นใจเสียขนาดนั้น เส้นทางการทำงานประจำที่มั่นคง แล้วค่อยๆโยกย้ายเงินซึ่งได้รับในแต่ละเดือนมาลงทุน ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เสียหายอะไร
อาจเป็นทางเลือกที่ตรงจริตสำหรับใครหลายๆคน ผมเคยทำธุรกิจมาก่อน มันหนักมาก ไม่ได้หลับไม่ได้นอน เพราะธุรกิจเราต้องแข่งขันกันตลอดเวลา แต่การลงทุนนั้นสำหรับผมมันสบาย เหตุเพราะเราเป็นเพียง “นักตรวจสอบ” ขอเพียงคุณขยันหาความรู้ มีวินัย และบริหารสภาพจิตใจให้สามารถอยู่รอดได้ระยะยาวในตลาดหุ้น
💰ธรรมชาติของระบบทุนนิยมก็เป็นเช่นนี้ หากคุณหวาดกลัวตลาดขาลง บอกเลยว่าคุณต้องเจอแน่นอน เสมือนฤดูหนาว ต่อให้รอบนี้ผ่านไป ประเดี๋ยวครั้งหน้าก็หมุนเวียนกลับมา มันไม่มีทางเป็นฤดูหนาวครั้งสุดท้าย หน้าที่ของนักลงทุนคือการ “รับมือและปรับตัว” ขอเพียงแค่พยายามทำความเข้าใจ จากนั้นก็ใช้ชีวิตของคุณต่อไป ทำงานให้หนักอย่างสม่ำเสมอ อย่างมืออาชีพ เปรียบเสมือนนักกีฬาที่เป็นมืออาชีพกับมือสมัครเล่น มันแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
นักกีฬามืออาชีพนั้นพวกเขารู้ดีว่าต่อให้ซ้อมมาดีแค่ไหน หากต้องลงแข่งขัน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอาจจะแพ้หรือชนะก็เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร วันพรุ่งนี้พวกเขาจะซ้อมต่อไป “นี่คือมืออาชีพ” ส่วนมือสมัครเล่นนั้นหากวันไหนอารมณ์ดีก็เข้าแข่งขัน วันไหนพ่ายแพ้ก็เลิกเล่น นักลงทุนก็เฉกเช่นเดียวกัน
🛡หากมุ่งมั่นเดินทางไปสู่การเป็นนักลงทุนมืออาชีพ ผลลัพธ์ในระยะสั้น หรือผลลัพธ์ในแต่ละวัน ไม่ได้เป็นตัวกำหนดภาพรวมในระยะยาวเลย นักลงทุนมีหน้าที่มุ่งเน้นอยู่กับสิ่งที่จำเป็นต้องทำ เราต้องอ่าน ต้องศึกษา ต้องค้นคว้า ทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆให้มากขึ้น “นี่คืองานของเรา” อาจจะผิดบ้าง ถูกบ้าง แพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่สุดท้ายแล้วในระยะยาว เรายังคงอยู่ในเส้นทางแห่งการก่อร่างสร้างความมั่งคั่ง ธรรมชาติมันเป็นเช่นนี้
ผมรู้จักเซียนหุ้นมากมายหลายคน ทุกคนไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาตั้งแต่เริ่มต้น พวกเขาเดินผ่านเส้นทางโหดร้ายกันมาทั้งนั้น ต้องพบเจอกับวันเวลาซึ่งผมคิดว่าคนธรรมดาทั่วไปคงไม่ฝืนทนผ่านกันมาได้ง่ายๆ ไม่มีหรอกนักลงทุนในตลาดหุ้นที่ไม่เคยแพ้ ไม่เคยขาดทุน ผมเชื่อว่าหากเราตั้งใจจริง มุ่งมั่น อดทน พยายาม ค่อยๆเดินทางไปเรื่อยๆ เส้นทางนี้ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าการประกอบอาชีพอื่นเลย มันสามารถเปลี่ยนฐานะได้ เปลี่ยนชีวิตได้ แต่แน่นอนว่าไม่ง่ายนักหรอก
ชีวิตมนุษย์เงินเดือน บางครั้ง (บางคน) พวกเขาก็มีความสุขนะ ตกเย็นในแต่ละวันอาจไม่ต้องแบกเอาความเครียด ความกดดันกลับบ้านมาด้วย พักสมองได้ชั่วคราว แต่นักธุรกิจนั้นความเครียดมันไม่มีวันเลิกรา คุณต้องคิดตลอดเวลา ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย อยู่ที่ตัวคุณเองจะเลือกตัดสินใจ
สำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นชีวิตการเป็นนักลงทุนในหุ้น (จะทำนอกเวลาจากงานประจำหรือธุรกิจก็ได้ทั้งนั้น) หากพอจะมีความรู้ด้านธุรกิจบ้างนิดหน่อย (ศึกษาเพิ่มเติมก็ได้) ผมแนะนำให้เข้าลงทุนในหุ้นของบริษัทที่คิดว่าจะเติบโตได้อย่างดีต่อไปในอนาคต
ขอย้ำว่าเราต้องเป็นคนคิดเองว่ามันจะเติบโต ไม่ใช่การที่ไปฟังใครเขาเล่ามา คุณต้องลองศึกษาด้วยตนเอง วิเคราะห์งบการเงิน อ่านรายงานประจำปี ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ แล้วทดลองเข้าลงทุนดูด้วยจำนวนเงินไม่มาก ไม่ได้ยากอย่างที่คิดหรอก หากมีวินัยลงมือทำอย่างต่อเนื่อง ความรู้และความเข้าใจจะเพิ่มมากขึ้น เงินเรายังน้อย ถึงเจ็บตัวก็เจ็บไม่เยอะ หากแต่ประสบการณ์ที่ได้รับจากการลงมือทำจริงนั้นมีคุณค่ามหาศาล
📌เราต้องมีทัศนคติว่า “การลงทุนในหุ้น เสมือนการลงทุนในธุรกิจ” ควรไตร่ตรองอย่างตั้งใจ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาเหยาะแหยะทำกันเล่นๆ เพราะมันคือชีวิต คำพูดที่พร่ำบอกว่า “การลงทุนเปลี่ยนชีวิต” มันไม่ง่ายถึงขนาดที่จะทำเพียงแค่ซื้อหุ้นแล้วไปนอนเฉยๆหรอก คุณต้องทำอะไรสักอย่าง หากมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนมันจริงๆ ซึ่งหากคุณประสบความสำเร็จ ชีวิตไม่ได้เปลี่ยนแค่ตัวเรา แต่มันหมายรวมถึงการเปลี่ยนชีวิตพ่อแม่ สามี ภรรยา ลูก ครอบครัวของเรา คิดว่ามันคุ้มค่ามากพอที่จะจริงจังหรือไม่ ?👨‍👩‍👧
หากจะให้ผมคำนวณสถิติจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา คนที่เดินทางมาอย่างถูกวิธี มีหลักการ ถูกทิศถูกทางนั้น อัตราของคนที่ประสบความสำเร็จ (มั่งคั่ง) มากที่สุดมาจากตลาดหุ้น สถานที่แห่งนี้สามารถเปลี่ยนชีวิตได้ ผมเคยเห็นนักลงทุนที่มีเงินเป็นพันล้าน หลายสิบคน และผมเคยเห็นนักลงทุนที่มีเงินหลักร้อยล้าน อีกหลายร้อยคน
ผู้คนเหล่านี้คือเพื่อนที่ร่วมเดินทางด้วยกันมาตั้งแต่เริ่มต้น มันสามารถเกิดขึ้นจริงได้ ส่วนในโลกธุรกิจเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังล้มลุกคลุกคลาน อีกทั้งเมื่อคุณผ่านกาลเวลาค่อยๆแก่ตัวมากขึ้น ผู้คนที่ต้องการตัวคุณก็น้อยลงทุกที หันมองมาที่นักลงทุน พวกเขาค่อยๆเก็บเกี่ยวประสบการณ์และทำงานได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม สุดท้าย คุณจะเลือกเดินเส้นทางใด หรือเลือกเดินควบคู่กันไปทั้งสองเส้นทาง ก็สุดแล้วแต่ คุณจำเป็นจะต้องกำหนดชะตาชีวิตด้วยตัวคุณเอง
📩สิ่งที่อยากฝากไว้ก็คือ ในฐานะนักลงทุน ไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้น หรือขาลง ขอให้คุณ “Stay calm, Stay invest.” ลงทุนอย่างมุ่งมั่นไปเรื่อยๆ อย่าคิดแค่เพียงว่าถ้าตลาดแย่ก็หนีออกไป ตลาดเปลี่ยนเป็นขาขึ้นเมื่อไหร่ค่อยเข้ามาลงทุน เพราะนั่นคือ “วิถีของแมลงเม่า” อย่างแท้จริง
🖋มี่ : ทิวา ชินธาดาพงศ์
ขอขอบคุณภาพประกอบและข้อมูลบางส่วนจาก
🔗“ลอกการบ้านเซียน หาหุ้นโดด หนีหุ้นซึม” : ทิวา ชินธาดาพงศ์ (เซียนมี่), Money Chat Thailand : YouTube.
โฆษณา