17 มี.ค. 2023 เวลา 06:35 • กีฬา

อาร์เซน่อลเคยเกือบไม่ได้แชมป์ไร้พ่าย แต่พวกเขาผ่านวิกฤตินั้นมาได้อย่างระทึกจริงๆ

ช่วงเวลาสำคัญที่ชี้เป็นชี้ตาย ของอาร์เซน่อลในฤดูกาลไร้พ่าย เกิดขึ้นในช่วงเวลาแค่ 7 วัน ของต้นเดือนเมษายน ปี 2004
1
ณ เวลานั้น ทีมปืนใหญ่ คือทีมอันดับหนึ่งของพรีเมียร์ลีก พวกเขามีองค์ประกอบที่ครบสมบูรณ์ที่สุด กองหน้ามีเธียร์รี่ อองรี จับคู่ กับเดนนิส เบิร์กแคมป์ กองกลางมีปาทริก วิเอร่า, โรแบร์ ปิแรส, เฟรดริก ลุงเบิร์ก ส่วนกองหลังมีทั้ง แอชลีย์ โคล และ โซล แคมป์เบลล์ หลายคนเชื่อว่า ทีมอาร์เซน่อลซีซั่น 2003-04 สามารถสร้างเกียรติประวัติ คว้าแชมป์ทุกอย่างที่ขวางหน้าได้
1
ขณะที่ สถานการณ์ของอาร์เซน่อล ณ เวลานั้น ก็ไปได้สวยมากๆ ซะด้วย
- เข้ารอบรองชนะเลิศ เอฟเอคัพ
- เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้าย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
- ลงเล่นในพรีเมียร์ลีก 30 นัด ยังไม่แพ้ใครแม้แต่เกมเดียว
1
แฟนๆ ทีมปืนใหญ่ ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2004 จึงคาดหวังว่า ทีมอาจจะได้ "เทรเบิ้ลแชมป์" เหมือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปี 1999 แต่ที่พิเศษกว่านั้น คืออาจได้แชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไร้พ่ายด้วย
1
หลังจากลุ้นมาตลอดหลายเดือน ว่าจะได้กี่แชมป์ และแล้ว สัปดาห์ที่จะตัดสินชะตาชีวิตก็มาถึง ในวันที่ 3 ถึง 9 เมษายน 2004 โดยในช่วงเวลาแค่ 7 วัน จะรู้ดำรู้แดงเลยว่า อาร์เซน่อลจะไปได้ไกลแค่ไหน ในซีซั่นนี้
---------------------
1
[ 3 เมษายน 2004 เอฟเอคัพ รอบรองชนะเลิศ อาร์เซน่อล vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ]
เกมนี้อาร์แซน เวนเกอร์ เอาจริง ส่งผู้เล่นชุดใหญ่ลงเล่นเกือบครบ ยกเว้นเธียร์รี่ อองรี ที่ไม่สมบูรณ์ จึงถูกจับเป็นตัวสำรอง ส่วนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเกมนี้ ตัวผู้เล่นถือว่าไม่พร้อม เพราะรุด ฟาน นิสเตลรอยเจ็บ, หลุยส ซาฮา ติดคัพไท ส่วนดีเอโก้ ฟอร์ลันอ่อนล้ามากเพราะเพิ่งเดินทางกลับมาจากอุรุกวัย ทำให้เฟอร์กูสันต้องใช้ โอเล่ โซลชา ยืนเป็นกองหน้าคนเดียว
อาร์เซน่อลในวันนั้นฟอร์มหลุดและดวงไม่มี ส่วนแมนฯ ยูไนเต็ด เล่นได้สมบูรณ์แบบไม่มีข้อผิดพลาดเลย ทีมปีศาจแดงนำ 1-0 จากสโคลส์ในครึ่งแรก แต่อาร์เซน่อลพยายามทวงคืน เบิร์กแคมป์ยิงเกือบจะเข้าแต่โดนเวส บราวน์ สะกัดจากเส้น ตามด้วยเอดูชิพแต่บอลไปชนคาน
1
เวนเกอร์ส่งอาวุธทั้งหมดที่มี ทั้งอองรี และ โฆเซ่ เรเยส ลงเป็นสำรอง แต่ก็เจาะไม่ได้ จบเกมอาร์เซน่อลแพ้ 1-0 ตกรอบเอฟเอคัพ ความหวังเทรเบิ้ลแชมป์จบสิ้นเรียบร้อย
---------------------
[ 6 เมษายน 2004 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย อาร์เซน่อล vs เชลซี ]
หลังจากตกรอบเอฟเอคัพ อาร์เซน่อลลงเล่นเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เลกสองกับเชลซี ที่ไฮบิวรี่ โดยเลกแรกเสมอกันมา 1-1 ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ อาร์เซน่อลได้อะเวย์โกลมาครองไว้ก่อน คือถ้าดูจากฟอร์มของสองทีมในฤดูกาลนี้ อาร์เซน่อลเหนือกว่าเยอะ เอาชนะในพรีเมียร์ลีกได้ 2 หนติดกัน ทั้งเหย้าและเยือน
อาร์เซน่อลไม่เคยได้แชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปมาก่อน แต่ปีนี้ มีโอกาสใกล้เคียงที่สุด เพราะถ้าชนะเชลซีได้คู่ต่อสู้ในรอบรองฯ คือโมนาโก ที่ไม่ได้แกร่งระดับโลก และถ้าชนะโมนาโกได้ จะไปเจอปอร์โต้ ซึ่งคุณภาพก็ยังเป็นรองอาร์เซน่อลเยอะอยู่ดี ว่าง่ายๆ ถ้าชนะเชลซีได้ มีโอกาสเป็นแชมป์ยุโรปเลย
อาร์เซน่อลนำไปก่อน 1-0 ในนาทีที่ 45 จากเรเยส โอกาสเข้ารอบสดใสมาก
แต่ทีมปืนใหญ่ได้โอกาสที่จะย้ำชัยเป็น 2-0 หลายครั้งแต่ทำไม่ได้ เชลซีเล่นด้วยความอดทน แล้วตีเสมอเป็น 1-1 จากแฟรงค์ แลมพาร์ด ถ้าสกอร์จบแบบนี้ก็จะต้องต่อเวลาพิเศษ แต่เวย์น บริดจ์ ยิงเข้าไปในนาทีที่ 87 เป็นการฝังอาร์เซน่อลอย่างสมบูรณ์แบบ จบเกมเชลซีชนะที่ไฮบิวรี่ 2-1 เขี่ยทีมปืนใหญ่ตกรอบไปแบบสุดช็อก
ก่อนหน้านี้อาร์เซน่อลไม่แพ้เชลซีมา 17 เกมติดต่อกัน ไม่มีใครคิดฝันว่าจะมาแพ้ในเกมนี้ แต่มันก็เกิดขึ้น หลายคนเชื่อว่า เพราะเสียความมั่นใจจากการตกรอบเอฟเอคัพ มันเลยมีผลกระทบมาถึงเกมแชมเปี้ยนส์ลีกด้วย
ห้องแต่งตัวของอาร์เซน่อลเต็มไปด้วยความหดหู่ เดนนิส เบิร์กแคมป์ เล่าว่า "เราไม่เข้าใจว่าทำไมเราทำไม่ได้ การไปถึงแชมป์ยุโรป มันเป็นสิ่งที่ยากเกินไปสำหรับเรางั้นหรือ ถ้าคุณดูคุณภาพของทีมเรา เราควรทำได้ดีกว่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจอเชลซีที่เราเล่นได้ดีกว่ามาตลอด มันน่าเสียดายจริงๆ"
ขณะที่เรย์ พาร์เลอร์บอกว่า "นักเตะทุกคนคุยกันว่า ปีนี้แชมป์ยุโรปต้องเป็นของเรา มันต้องเป็นของเรา แต่พอเราตกรอบ มันเป็นอะไรที่น่าเจ็บปวดมาก"
ความหวังจะได้เทรเบิ้ลแชมป์สลายเป็นอย่างแรก ตามมาด้วยความหวังจะได้แชมป์ยุโรปก็สลายไปเป็นอย่างที่สอง และมาสู่ความหวังที่สาม นั่นคือการได้แชมป์ไร้พ่ายทีมแรกในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก ก็อาจสูญสลายเช่นกัน ถ้าพวกเขาแพ้ลิเวอร์พูลในการแข่งขันอีก 3 วันต่อมา
---------------------
[ 9 เมษายน 2004 พรีเมียร์ลีก เกมที่ 31 อาร์เซน่อล vs ลิเวอร์พูล ]
บรรยากาศความเครียดปกคลุมห้องแต่งตัวของอาร์เซน่อล เธียร์รี่ อองรีเล่าว่า "ผมไม่รู้จะบรรยายยังไง แต่ก่อนมันมีแต่ความหดหู่ เรามีฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมมาก ผู้คนพูดคุยถึงการคว้าสามแชมป์ แต่ในช่วงเวลาแค่สัปดาห์เดียว เราสูญเสียทุกอย่าง"
ลิเวอร์พูลเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว พวกเขาอยู่อันดับ 4 กำลังเกาะท็อปโฟร์เพื่อไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในซีซั่นหน้า เกมนี้หงส์แดงจัดหนัก ส่งไมเคิล โอเว่น, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, เอมิล เฮสกีย์ และ แฮร์รี่ คีล ลงสนามครบเซ็ต ถ้าอาร์เซน่อลเล่นไม่เข้าฟอร์มของตัวเองล่ะก็ มีสิทธิ์โดนเล่นงานแน่
เกมเริ่มต้นขึ้น ลิเวอร์พูลนำ 1-0 อย่างรวดเร็วมากๆ จากซามี่ ฮูเปีย อาร์เซน่อลมาตีเสมอ 1-1 ได้จากอองรี แต่ไมเคิล โอเว่น ก็มายิงให้หงส์แดงขึ้นนำ 2-1 ก่อนจบครึ่งแรก
อาร์เซน่อลเล่นไม่ได้เรื่องเลย เกมรุกเจาะไม่เข้า เกมรับก็เสียสมาธิ ทั้งหมดนั้นไม่เกี่ยวกับฝีเท้า แต่เป็นเรื่องสภาพจิตใจ พวกเขาแพ้รวดตกรอบมา 2 ถ้วยซ้อนๆ มันเลยส่งผลต่อเกมนี้ด้วย ซึ่งถ้าปล่อยไว้แบบนี้ แม้แต่แชมป์ไร้พ่ายก็อาจจะทำไม่สำเร็จ
กิลแบร์โต้ ซิลวา เล่าว่า "การโดนลิเวอร์พูลนำมันช็อกทุกคน คือปกติเราจะเชื่อมั่นว่าเราจะชนะคู่แข่งทุกทีมได้เสมอ แต่สถานการณ์ตอนนั้น ความคิดในหัวของเราคือ 'เราอาจจะแพ้ก็ได้' "
ในช่วงพักครึ่ง 15 นาที อาร์แซน เวนเกอร์รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะพูดอะไรเลย ถ้าให้แก้แท็กติกเขาแก้ได้ แต่แท็กติกไม่ได้ผิด แผนโอเคแล้ว เพียงแต่เป็นปัญหาเรื่องความมั่นใจเท่านั้น ตอนนี้ทีมต้องการการกระตุ้นอย่างเหมาะสม และคนที่เหมาะสมที่สุดจะกระตุ้นผู้เล่น ไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นกัปตันทีมปาทริก วิเอร่า และผู้เล่นซีเนียร์ของทีม มาร์ติน คีโอว์น
เวนเกอร์ตัดสินใจเดินออกจากห้องแต่งตัว แล้วให้เวลานักเตะได้อยู่กันเอง คุยกันเอง โดยวิเอร่าเป็นคนเริ่มก่อน เขาตะโกนใส่หน้านักเตะอีก 10 คนที่เหลือ พูดว่า "เราจะไม่มาแพ้เกมนี้!" วิเอร่าพูดประโยคเดิมใส่นักเตะแต่ละคน รวม 10 ครั้ง วิเอร่าอยากรู้ว่า โอกาสสร้างความมหัศจรรย์ เป็นทีมแรกในพรีเมียร์ลีกที่ไร้พ่ายมันอยู่ตรงหน้าแล้ว จะยอมโยนทิ้งความสำเร็จอันนี้ไปด้วยหรือเปล่า?
1
คนที่ขึ้นมาพูดต่อจากวิเอร่าคือคีโอว์น ผู้เล่นอาวุโสที่เป็นตัวสำรองในเกมนั้น คีโอว์นกล่าวว่า "ตลอดชีวิตนักฟุตบอล ฉันไม่เคยมาพูดอะไรในช่วงพักครึ่งแบบนี้มาก่อน แต่ฉันขอผู้จัดการทีม เพื่อพูดบางอย่างจากใจ ทุกคนฟังนะ ตลอดชีวิตการเล่นฟุตบอลของฉัน พวกนายที่อยู่ตรงนี้คือกลุ่มผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ฉันเคยเล่นมา"
1
จากนั้นคีโอว์น ได้เจาะจงพูดถึงนักเตะ คนต่อคน ชื่นชมความสามารถต่อหน้าทั้งทีม ซึ่งเดนนิส เบิร์กแคมป์เล่าให้ฟังภายหลังว่า "ที่ฮอลแลนด์เราจะไม่มีการชมเพื่อนนักเตะกันต่อหน้าแบบนี้ เราจะไม่พูดกันเลย แต่มาร์ตินเขาพูดอย่างจริงใจ และในสถานการณ์แบบนี้ มันช่วยได้เหมือนกัน"
นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดของอาร์เซน่อล เพราะทุกคนได้ช่วยกันกระตุ้นให้กลับมาเชื่อมั่นว่า "พวกเราคือทีมที่ดี" การตกรอบเอฟเอคัพ และแชมเปี้ยนส์ลีกติดๆ กัน ไม่ได้แปลว่าทีมไร้ความสามารถ มันเป็นแค่ความผิดพลาด ที่ต้องมูฟออนให้เร็วที่สุดแค่นั้น
พอเริ่มครึ่งหลัง อาร์เซน่อลเปลี่ยนไปเป็นคนละทีม พวกเขากลับมามีสมาธิแน่วแน่ กิลแบร์โต้ ซิลวาอธิบายว่า "เมื่อมีความผิดหวังเกิดขึ้น เราต้องเขย่าตัวแรงๆ ลืมมันไปซะ แล้วมองไปที่เป้าหมายใหม่ นั่นคือสิ่งที่เราทำในเกมครึ่งหลังกับลิเวอร์พูล"
1
พอกลับมาลงสนามคราวนี้ อาร์เซน่อลมีฮึดเต็มที่ กลายเป็นคนละทีมอย่างสิ้นเชิง นาทีที่ 49 เฟรดริค ลุงเบิร์ก จ่ายให้โรแบร์ ปิแรสยิงตีเสมอ 2-2 เข้าประตูไปอย่างง่ายดาย
พอยิงได้ปั๊บทีมปืนใหญ่ไม่หยุด นาทีที่ 50 พอลิเวอร์พูลเขี่ยปั๊บ อาร์เซน่อลแย่งบอลมาอย่างรวดเร็ว เธียร์รี่ อองรีได้บอลกลางสนาม เขาโชว์สกิลอันมหัศจรรย์ โซโล่แบบข้ามาคนเดียว กระชากผ่านดีทมาร์ ฮามันน์ จนหน้าทิ่ม ก่อนจะทะลวงผ่านเจมี่ คาร์ราเกอร์ เสียหลักไปอีกคน แล้วยิงสวนตัวเจอร์ซี่ ดูเด็กเข้าไป นี่เป็นประตูที่สวยงาม และสมบูรณ์แบบ กระชากหลุดกันทั้งแผง จนอาร์เซน่อลแซงเป็น 3-2
3
อองรีอธิบายลูกนี้ว่า "ผมยังจำภาพการยิงประตูลูกนี้อย่างชัดเจนในหัว มันเป็นแค่ครั้งเดียวในชีวิตที่ผมรู้สึกได้เลยว่า สนามฟุตบอลกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง ผมไม่เคยรู้สึกแบบนั้นอีกเลย"
1
"ผมจำได้ว่า ตะโกนบอกกิลแบร์โต้ว่า 'ส่งบอลมาให้ฉัน' ผมรู้สึกมีความรับผิดชอบว่า เราต้องเป็นคนนำชัยชนะมาให้ทีม" แน่นอนว่า นี่คือหนึ่งในประตูที่สวยที่สุดที่อองรีเคยยิง มันเป็นการกระชากผ่านแนวรับลิเวอร์พูลที่แข็งแกร่ง และทำได้ในโมเมนต์ที่สำคัญมาก
พอขึ้นนำ 3-2 อาร์เซน่อลก็ครองเกมได้ทั้งหมด นาทีที่ 78 อองรียิงเข้าไปอีกลูก ช่วยอาร์เซน่อลปิดกล่องชนะ 4-2 เป็นเกมที่คืนศรัทธาให้ทีมตัวเองอย่างรวดเร็ว หลังจากตกรอบมา 2 ถ้วยซ้อนๆ และในวันนั้น อาร์แซน เวนเกอร์ ยิ่งมั่นใจชัดเจนว่า ฤดูกาลนี้เขาจะพาทีมจบแบบไร้พ่ายได้อย่างแน่นอน
2
การเอาชนะลิเวอร์พูลได้ในนัดนั้น สร้างความเชื่อมั่นให้อาร์เซน่อลอีกครั้ง และ 7 เกมที่เหลือต่อจากนั้น อาร์เซน่อลไม่แพ้ใครแม้แต่เกมเดียว จบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์แบบไร้พ่าย กับผลงาน ชนะ 26 เสมอ 12 แพ้ 0
จนถึงวันนี้ก็เป็นทีมเดียวในพรีเมียร์ลีกที่ทำได้ และเป็นทีมเดียวเท่านั้นที่มี Golden Trophy โทรฟี่สีทองที่พรีเมียร์ลีกทำให้พิเศษ เพราะทีมที่ไม่แพ้ใครทุกนัดตลอดฤดูกาล
1
---------------------
ในโลกของฟุตบอลนั้น เป็นธรรมดา ที่สโมสรทุกแห่ง จะมี Passion ในการคว้าแชมป์ทุกรายการที่ลงเล่น แต่ในความเป็นจริงนั้น มันไม่ได้ทำง่ายๆ มันมีปัจจัยอื่นๆ หลายอย่าง ที่อาจทำให้คุณแพ้ก็ได้
1
แล้วถ้าวันไหนแพ้ ตกรอบไปในบางรายการ จุดสำคัญก็คือ การรวมสติ รวมสมาธิกลับมา
2
ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ฤดูกาลที่เหลืออยู่ ยังมีอะไรให้หวังอยู่ไหม แล้วพุ่งไปตรงนั้น เสียใจได้แต่อย่านาน เพราะถ้าเสียใจนาน รายการอื่นจะพังไปด้วย
ลองคิดดูว่า ถ้าอาร์เซน่อลในวันนั้นพอตกรอบเอฟเอคัพ ตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีก แล้วไม่สามารถมูฟออนได้ ก็อาจแพ้ลิเวอร์พูลต่อเนื่องเป็นเกมที่ 3 ความหวังที่เหลืออยู่คือแชมป์ไร้พ่าย ก็อาจจะไม่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
ความผิดพลาดมันเกิดได้เสมอ แต่ทีมที่จะประสบความสำเร็จในตอนจบ ต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง แล้วผ่านปัญหาไปด้วยกันให้ได้
1
อาร์เซน่อลในยุคอาร์แซน เวนเกอร์ เคยผ่านวิกฤติแบบนั้น จนได้เป็น The Invincibles มาแล้ว คราวนี้มาดูกันว่า อาร์เซน่อลในยุคมิเกล อาร์เตต้า จะทำแบบนั้นได้ไหม?
2
เมื่อตกรอบเกมยุโรปไปแล้ว จะสติแตกเป๋ยาวไปเลย หรือจะรวมสมาธิได้เร็ว กลับมามองเป้าหมายหลักที่มีอยู่
ไม่ใช่แค่ผู้เล่นเท่านั้น แต่ก็รวมถึงแฟนบอลปืนใหญ่ด้วย ว่าจะบั่นทอนนักเตะทีมตัวเองในความผิดพลาดต่อไปอีกนานแค่ไหน
หรือจะปล่อยวางทุกสิ่งแล้วกลับมาให้กำลังใจอีกครั้ง เพื่อเป้าหมายใหญ่กว่ามากๆ นั่นคือแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 19 ปี ที่รอคอยมานานเหลือเกิน
 
#BACKTOCHAMPIONSWAY
1
โฆษณา