20 มี.ค. 2023 เวลา 11:13 • นิยาย เรื่องสั้น

เรื่อง...ผีหัวเราะบนเชิงตะกอน

ตอนที่๖....ผีร้องไห้บนเชิงตะกอน (ตอนจบ)
หลังจากกำนันฉางถูกฆ่าตายทำให้ลูกเมียและญาติพี่น้องต้องเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก
ผู้ใหญ่โชคสืบรู้มาว่าเสี่ยหมงเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง จึงได้ระดมกำลังทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและลูกน้องไปล้อมบ้านเสี่ยหมง
ในเย็นค่ำของวันนั้น สองสหายได้เข้าไปทวงเงินค่าว่าจ้างจากเสี่ยหมง ยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงกัน ก็มีรถกระบะวิ่งเข้ามาสามคันจอดหน้าบ้าน มีชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือวิ่งไปล้อมบ้านเสี่ยหมง ชายคนหนึ่งหยิบโทรโข่งขึ้นประกาศ
เสี่ยหมง ! เจ้าหน้าที่ได้ล้อมบ้านหมดแล้ว ออกมามอบต้วซะดี ๆ ไม่งั้นไม่รับรองความปลอดภ้ยในชีวิตและทรัพย์สิน
เสียงดังจากโทรโข่งเป็นระยะๆ
เวลาผ่านไปหลายนาที ไม่มีท่าทีว่าเสี่ยหมงจะมอบตัว พวกเขาจึงกรูกันเข้าไป ทันใดนั้นเสียงปืนทั้งสองฝ่ายก็ดังขึ้นอย่างหูดับตับไหม้
ประตูหน้าต่างและข้าวของพังลงกระจัดกระจายด้วยพิษร้ายของอาวุธปืน ข้าวของร่วงกองเต็มพื้นไปหมด
พวกเขายิงต่อสู้กันนานนับชั่วโมงพอเสียงปืนสงบลง จึงเคลียร์พื้นที่ปรากฏว่าเสี่ยหมงถูกกระสุนปืนเจาะที่ศีรษะจนสมองกระจายตายคาที่ ส่วนทางฝ่ายผู้ใหญ่โชคก็สังเวยกระสุนของไอ้สองเสือนอนแผ่หราไปสี่ห้าศพ
ไอ้เวทกับไอ้หาญ เขาถือว่าเขามีของดีไม่กลัวตายลูกปืนทำอะไรเขาไม่ได้หรอกจึงยิงสู้จนกระสุนหมดถูกล้อมจับได้ เจ้าหน้าที่เอาเชือกมัดรวบข้อเท้าและข้อมือไพล่หลังเขาพากันทั้งเตะทั้งกระทีบและหวดด้วยไม้กระบองและเหล็กแป๊บจนสมองยุบกระโหลกร้าวเลือดออกทั้งทางปากและจมูกจนขาดใจตาย พ่อแม่และญาติรู้ข่าวจึงไปรับศพเพื่อนำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
ศพนายเวทพ่อแม่ได้นำไปฝังยังป่าช้า ว่าปีหน้าจะขุดเอากระดูกมาประกอบพิธีทำบุญ
ส่วนศพนายหาญได้ตั้งที่บ้านสวดมาติกาบำเพ็ญกุศลเป็นเวลาสามคืน
หลังจากนั้นก็นำไปสู่เชิงตะกอนที่ป่าช้า เพราะทางวัดยังไมมีเมรุ
เหตุการณ์วันฌาปนกิจ
สับปะเหร่อทั้งสี่ได้ทำพิธียกโลงศพขึ้นวางบนเชิงตะกอนแล้วเปิดฝาโลงล้างหน้าศพด้วยน้ำมะพร้าว พระชักมาติกาบังสุกุลศพ สับปะเหร่อได้นำน้ำมันก๊าสราดลงบนกองฟอนโดยรอบแล้วจุดเทียนไขถวายพระเพื่อให้ท่านเป็นผู้นำวางเพลิง แล้วต่อด้วยพ่อแม่ญาติพี่น้อง
และชาวบ้าน
ขณะที่ไฟกำลังลุกไหม้โหมท่วมโลงศพ ปรากฏว่าท้องฟ้าได้เกิดมีการแปปรวน เมฆลอยดำทะมึนปกคลุมจนมืดไปทั้งป่าช้า ลมพัดกระโชกมาเป็นระยะ ๆ ฟ้าแลบแปล็บปลาบและร้องคำรามดังครืน ๆ สักพักฝนก็เริ่มเทลงมาหนักขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สับปะเหร่อ และคนที่มาต่างพากันวิ่งหนีจ้าระหวั่นเพราะที่ป่าช้านั้นไม่มีที่หลบฝน
พอฝนหยุดตกจึงพากันรีบไปดูศพ พอเห็นเข้าแทบผงะหงายไฟมอดดับเกือบหมด โลงศพไฟไหม้หมดแต่สภาพศพถูกไฟไหม้ดำเป็นตอตะโก แล้วนั่งอยู่บนเชิงตะกอนที่ไร้เปลวเพลิง
ผมเผ้าถูกไฟไหม้จนหมดหัว เหลือแต่หนังเกรียมไหม้หุ้มกระโหลก ลูกตาถลนออกนอกเบ้า สันจมูกก็ถูกไฟไหม้จนหมด ปากก็อ้ากว้างเห็นฟันเผยอเหมือนกำลังร้องไห้อย่างทรมาน
สับปะเหร่อช่วยกันรีบหาฟืนใส่และเขี่ยไฟให้ลุกเพื่อให้เผาซากศพให้หมด แต่ปรากฏว่าไฟไม่สามารถเผาซากศพให้ไหม้ได้
สับปะเหร่อช่วยกันเอาไม้ ปลายแหลมคนหนึ่งกระทุ้งหน้าอีกคนกระทุ้งหลังหวังให้ซากศพฉีกออกจากกันแต่ก็ไม่ได้ผล ยิ่งกระทุ้งแรงเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้กิดเสียงดัง แกก ๆ ก้าก ๆ ตาหมาน หนึ่งในสับปะเหร่อแกพูดหลุดปากมาว่า
ไอ้หาญ !....เอ็งอย่าหัวเราะสิว่ะ
เอ้า....ตาหมาน ทำไมแกถึงพูดยังงั้น
พวกแกไม่ได้ยินเสียงไง
เฮอ ๆ ฮา ๆ ในขณะที่ข้ากระทุ้งมัน ส่วนสับปะเหร่อทั้งสามได้แต่มองหน้ากัน
พ่อแม่และญาติ ๆ ของนายหาญต่างก็ยืนดูศพลูกด้วยความสงสาร จึงจุดธูปบอกกล่าว
หาญเอ้ย.....ลูกจงไปสู่ภพภูมิที่ดีนะลูก ไม่ต้องห่วงใยอาลัยอาวอนใด ๆ ทั้งสิ้น
ภูมิไหนสงบภพไหนดีจงไปสู่ภพนั้นนะลูก ว่าจบแกก็ปักธูปใกล้เชิงตะกอน
ทันใดนั้นคล้ายวิญญาณไอ้หาญจะรับรู้ ไฟได้ลุกไหม้จนท่วมร่างแล้วก็ค่อย ๆ หมดไปจนเหลือแต่กระดูกกองอยู่กับขี้เถ้า รุ่งเช้าจึงได้ไปเก็บอัฐิมาประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลต่อไป
เวลาล่วงเลยผ่านไปตั้งนานชาวบ้านก็ยังพูดถึงว่า ผีร้องไห้บนเชิงตะกอน แล้วก็พูดต่อไปว่า " พวกไอ้หาญ มันอยากอยู่ยงคงกระพัน ส่วนเสี่ยหมงและกำนันฉางนั้น อยากได้อำนาจลาภยศและชื่อเสียง ในที่สุดไม่มีใครได้อะไรติดมือไปเลย
" ยศและลาภหาบไปไม่ได้แน่ เหลือก็แต่ต้นทุนบุญกุศล
ทรัพย์สมบัติทั้งหลายทิ้งไว้ให้ปวงชน ร่างของตนเขาก็เอาไปเผาไฟ ". จบ
เรื่องเล่า
จาก.... ผู้เฒ่านิรนาม
20 มี. ค. 66
โฆษณา