22 มี.ค. 2023 เวลา 01:00 • ธุรกิจ

⏱การจัดการสินค้าคงคลังแบบทันเวลาพอดี Just In Time (JIT)

การประกอบธุรกิจ เรื่องของต้นทุน เวลา กระบวนการ และความผิดพลาดในงาน เป็นสิ่งที่สำคัญ ในการกำหนดทิศทางของธุรกิจให้เป็นไปในทางที่ดี และมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับระบบการจัดการสินค้าคงคลังแบบทันเวลาพอดี Just In Time (JIT) ที่จะช่วยให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปในทิศทางที่ดีมากยิ่งขึ้น ที่เราจะมาแบ่งปันสาระน่ารู้ และอธิบายให้ทุกคนเข้าใจในวันนี้กัน
Just In Time คืออะไร
ระบบการจัดการสินค้าคงคลังแบบทันเวลาพอดี หรือ Just In Time เป็นระบบที่จะเข้ามาช่วยให้การดำเนินงานต่างๆ ภายในองค์กรมีประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งนี้คือระบบที่จะช่วยให้ค่าใช้จ่าย และต้นทุนด้านเวลาน้อยที่สุด ปัญหาในกระบวนการการผลิตน้อยที่สุด โดยต้องอาศัยการคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงการทำงานทาง Supply Chain ต่างๆ ที่แม่นยำแบบเรียลไทม์ จึงอาจเป็นหลักการในอุดมคติที่เป็นที่รู้จักในหลายๆ องค์กร
คำจำกัดความของ Just In Time
การผลิตหรือการส่งมอบ สินค้าหรือบริการ รวมถึงการใช้วัตถุดิบ ปริมาณการผลิต และเวลาในการผลิต ตามความต้องการของลูกค้า โดยที่วัตถุดิบ (Raw Material) งานระหว่างทำ (Work In Process) สินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods) กลายเป็นศูนย์ หรือไม่มีสินค้าคงคลังนั้นเอง โดยมีวัตถุประสงค์ในการผลิตแบ่งเป็นแบบดึงเข้า และแบบผลักออก
คำจำกัดความตามกลยุทธแบบผลักของ Just In Time
สินค้าหรือบริการ ที่มีปริมาณการผลิตที่ได้จากการพยากรณ์หรือคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าที่จะเกิดขึ้น โดยคาดการณ์จากหลักการดังต่อไปนี้
  • ควบคุมวัสดุคงคลังให้อยู่ในระดับที่น้อยที่สุดหรือให้เท่ากับศูนย์ (Zero inventory)
  • ลดเวลานำหรือระยะเวลารอคอยในกระบวนการผลิต (Zero lead time)
  • ขจัดปัญหาของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิต (Zero failures)
  • ขจัดความสูญเปล่าในการผลิต (Eliminate 7 Types of Waste) หรือ 7 Waste
1) การผลิตมากเกินไป (Overproduction) การผลิตชิ้นส่วนและผลิตภัณฑ์ถูกผลิตมากเกินความต้องการ
2) การรอคอย (Waiting) วัสดุหรือข้อมูลสารสนเทศ หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหวหรือติดขัด เคลื่อนไหวไม่สะดวก
3) การขนส่ง (Transportation) การเคลื่อนไหวหรือมีการขนย้ายวัสดุในระยะทางที่มากเกินไป หรือเกินความจำเป็น
4) กระบวนการผลิตที่ขาดประสิทธิภาพ (Processing itself) การปฏิบัติงานที่ไม่จำเป็น หรือมากเกินไป
5) การมีวัสดุหรือสินค้าคงคลัง (Stocks) วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปมีเก็บไว้มากเกินความจำเป็น
6) การเคลื่อนไหว (Motion) มีการเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นของผู้ปฏิบัติงาน
7) การผลิตของเสีย (Making defect) วัสดุและข้อมูลสารสนเทศไม่ได้มาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณภาพ
สิ่งที่สำคัญในการจัดทำ Just In Time
  • การรวบรวมข้อมูล และวางแผนระบบในการทำงาน Just In Time การรวบรวมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับระบบการทำงาน และระบบการผลิตสินค้าเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะช่วยให้การเริ่มต้นระบบ Just In Time ทำได้ง่าย ถูกต้อง และแม่นยำมากยิ่งขึ้น อาจใช้ Lean Process กำจัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกก่อน เพื่อให้การวางแผนการทำงานหรือคาดคะเนต่างๆ และพัฒนาแผนการผลิตสินค้า เป็นไปในทิศทางที่แม่นยำมากที่สุด
  • การสื่อสารภายในองค์กร เกี่ยวกับแผนและระบบ Just In Time ระบบที่ดีขึ้นอยู่กับหลากหลายปัจจัย ซึ่งการสื่อสารที่ดี รวมถึงการกำหนดทิศทางขององค์กรจะช่วยให้การทำงานของบุคลากรภายในองค์กรราบรื่น เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้ง่ายและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
  • การรวบรวมข้อมูล และการคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าในระบบ Just In Time การคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้ถูกต้องแม่นยำ เป็นหัวใจสำคัญของระบบ Just In Time ซึ่งจำเป็นที่จะต้องอาศัยการรวบรวมข้อมูลทั้งจากภายในองค์กร เช่น ระบบสต๊อกสินค้า ข้อมูลการสั่งซื้อย้อนหลัง ข้อมูลพนักงานที่เกี่ยวข้อง และรวบรวมข้อมูลสถานการณ์ความต้องการภายนอกองค์กร เช่น ความต้องการสินค้าในอุตสาหกรรมนั้นๆ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เป็นตัวกำหนดทิศทางการคาดการณ์ให้ดีได้อีกด้วย
  • การประเมินประสิทธิภาพระบบงาน Just In Time เมื่อเข้าสู่ระบบ Just In Time การวัดและประเมินผลของงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้ทราบประสิทธิภาพงานที่แท้จริง รวมถึงการนำจุดด้อยไปปรับปรุงให้ดีขึ้นอีกด้วย
ข้อดี-ข้อเสียของ Just In Time
  • ข้อดีของ Just In Time
  • 1.
    การลดสินค้าคงคลัง และค่าใช้จ่ายในการจัดการสินค้าคงคลัง
  • 2.
    การควบคุมการผลิตดีได้มากยิ่งขึ้น สินค้ามีคุณภาพสูงขึ้น และของเสียในการผลิตน้อยลง
  • 3.
    การตอบสนองความต้องการของตลาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะมีการคาดการณ์ที่ถูกต้องและแม่นยำ ทำให้สินค้ามีพอดีกับความต้องการต่างๆ
  • 4.
    ผู้ประกอบการมีกระแสเงินสดที่ดีขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องลงเงินก้อนใหญ่กับค่าใช้จ่ายต่างๆ และนำเงินทุนมาใช้หมุนเวียนภายในธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น
  • ข้อเสียของ Just In Time
  • 1.
    สินค้ามีความเสี่ยงที่จะขาดตลาด เนื่องจากความคลาดเคลื่อนในการคาดการณ์ความต้องการสินค้าของลูกค้า ทำให้เสียโอกาสในการขายสินค้าต่างๆไป
  • 2.
    อาจก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งภายในองค์กร เช่นการไม่มีสินค้าคงคลังสำรอง ทำให้คนงานต่องหยุดการทำงาน
ปัญหาของระบบJust In Time คืออะไร
ระบบ Just In Time จะเกิดปัญหาเมื่อการผลิตสินค้าไม่เป็นไปอย่าไหลลื่นตามแผนการผลิต ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ระบบ Just In Time เกิดปัญหาก็คืออะไรก็ตามที่ทำให้การผลิตไม่ราบรื่นนั่นเอง ตัวอย่างเช่น
  • ปัญหาจากการแบ่งปันข้อมูลภายใน การสื่อสารเรื่องความต้องการสินค้าที่ผิดพลาด ทำให้ผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการ (หรือเกินความต้องการ)
  • ปัญหาจากคุณภาพของวัตถุดิบ จากการที่สั่งวัตถุดิบมาเท่ากับจำนวนสินค้าที่ผลิต ถ้าหากวัตถุดิบไม่ได้คุณภาพเป็นจำนวนมากหรือใช้ไม่ได้บ่อยในระดับที่วัตถุดิบสำรองไม่เพียงพอ บริษัทก็จะมีต้นทุนที่สูงกว่าปกติ จากการสั่งวัตถุดิบเพิ่มเพียงไม่กี่ชิ้น
  • ปัญหาจาก supplier ที่ไม่สามารถส่งวัตถุดิบได้ทันเวลา ทำให้การผลิตไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ เพราะไม่มีวัตถุดิบ ดันนั้นการคัดเลือก supplier และความสัมพันธ์กับ supplier จึงสำคัญกับการใช้ระบบ Just In Time
ในส่วนนี้อาจแก้ไขได้ด้วยการใช้การขนส่งแบบ Milk Run ที่เป็นการลดปัญหาความล่าช้าในการส่งสินค้าของ supplierจากการที่บริษัทจะเป็นผู้ไปรับวัตถุดิบเอง
ด้วยเหตุนี้ การทำให้ระบบ JIT ประสบความสำเร็จจึงไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยต้องแก้ปัญหา 4 ข้อให้ลุล่วง ได้แก่ (1) ประสานความต้องการวัตถุดิบของผู้ผลิตกับตารางการผลิตของผู้ป้อนวัตถุดิบให้ลงตัว (2) รักษาระดับคุณภาพของวัตถุดิบหรือสินค้าที่ส่งมาจากผู้ป้อนวัตถุดิบให้อยู่ในระดับที่พอใจและสม่ำเสมอ (3) ชักจูงให้ผู้ป้อนวัตถุดิบให้ความสำคัญกับระบบ JIT และ (4) ประสานระบบการไหลเวียนข้อมูลข่าวสารระหว่างผู้ผลิตกับผู้ป้อนวัตถุดิบ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ติดตามความรู้ ข่าวสาร และกิจกรรมเพิ่มเติมได้ที่ :
เพจ การขนส่งสินค้าทางอากาศ
Facebook Public Group : ชุมชนการขนส่งสินค้าทางอากาศ
โฆษณา