23 มี.ค. 2023 เวลา 01:32 • หุ้น & เศรษฐกิจ

⚠️ เจาะประเด็นเฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด แต่ทำไมตลาดหุ้นกลับไม่ดีใจ

✅ คณะกรรมการเฟด (FOMC) ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ไปอยู่ที่ 4.75-5.00% ซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2007 นอกจากนี้เฟดคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะในปี 2023 จะขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 5.1% เท่ากับ Dot Plot ที่ปล่อยออกมาในเดือนธันวาคม ขณะที่เพิ่มคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยในปี 2024 ขึ้นเป็น 4.3% จากเดิมที่ 4.1%
‼️ หลังการประชุม ประธานเฟดคุณเจอโรม พาวเวลล์ แถลงว่า “เรามุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูเสถียรภาพด้านราคา และหลักฐานทั้งหมดบ่งชี้ว่าสาธารณชนมีความเชื่อมั่นว่าเราจะทำเช่นนั้นได้” และ “สิ่งสำคัญคือเราต้องรักษาความมั่นใจนั่นด้วยการกระทำและคำพูดของเรา”
🎯 จากทั้ง Dot Plot และถ้อยแถลงของคุณพาวเวลล์ ส่งสัญญาณชัดเจนนะคะว่า เฟดยังให้ความสนใจการควบคุมอัตราเงินเฟ้อมากกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในภาคธนาคารนั่นเองคะ ขณะที่ถ้าเราดูเผินๆแล้วจะเหมือนว่า Dot Plot ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดือนธันวาคมเท่าไหร่ เพราะค่า Median ยังอยู่ที่เดิม แต่ถ้าเราไปดูให้ลึกขึ้นจะพบว่าตำแหน่งของจุดสีเหลืองปรับตัวขึ้น สะท้อนว่าคณะกรรมการหลายท่านมีการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้นกว่าการประชุมรอบที่แล้ว
1
🏦 ในประเด็นของความวุ่นวายที่เกิดให้ในภาคธนาคาร คุณพาวเวลล์ได้เน้นย้ำว่าระบบธนาคารของสหรัฐฯนั้นแข็งแกร่งและยืดหยุ่น และกล่าวเพิ่มเติมอีกว่าเฟดพร้อมที่จะใช้เครื่องมือทั้งหมดเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน นอกจากนี้พาวเวลล์ยังรับอีกว่าความวุ่นวายในภาคธนาคารเมื่อเร็วๆนี้ “น่าจะส่งผลให้ภาวะสินเชื่อตึงตัวขึ้นสำหรับครัวเรือนและธุรกิจ ซึ่งจะส่งผลต่อทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อ ” อย่างไรก็ตามพาวเวลล์ปิดท้ายว่า “ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่านโยบายการเงินควรตอบสนองอย่างไร”
3
🎯 เฟดออกมายืนยันชัดเจนนะคะว่าภาคธนาคารของสหรัฐฯนั้นแข็งแกร่ง และสามารถรับมือกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ แต่ก็ออกมายอมรับว่าเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นจะมีผลให้ภาวะการเงินตึงตัวขึ้น ถ้าพูดให้เห็นภาพมากขึ้นคือ 1. ต้นทุนการระดมทุนของธนาคารเพิ่มขึ้นเพราะคนกลัวแบงก์ล้ม 2. ผู้บริโภคลดการจ่ายลงเพราะกลัวเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ 3. ธุรกิจต่างๆชะลอการจ้างงาน
2
ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลงไปเองโดยที่เฟดอาจไม่ต้องทำอะไรก็ได้คะ หรือพูดง่ายๆคือผลจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในภาคธนาคารเปรียบเสมือนเฟดได้ขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วนั้นเอง ทำให้เฟดไม่จำเป็นที่จะต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยอีกต่อไป และเปลี่ยนมาค่อยๆขึ้นทีละนิดๆ เพื่อรอดูผลกระทบก่อนดีว่าคะ
📌 เรื่องๆอื่นที่ควรรู้จากเฟด
1. เฟดยังทำ QT อยู่เหมือนเดิมที่วงเงิน 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และบอกอีกว่างบดุลที่เพิ่งพุ่งขึ้นมาจาก Bank Term Funding Program ซึ่งเป็นคนละส่วนกัน และแยกออกมาการดำเนินนโยบายการเงิน
2. เฟดปรับเพิ่มประมาณการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป PCE ในปี 2023 เพิ่มเป็น 3.3% จากเดิมที่ 3.1% ส่วนในปี 2024 และ 2025 ยังคงไว้ที่ระดับเดิมที่ 2.5% และ 2.1% ตามลำดับ
1
3. เฟดปรับเพิ่มประมาณการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE ในปี 2023 เพิ่มเป็น 3.6% จากเดิมที่ 3.5% และในปี 2024 เพิ่มเป็น 2.6% จากเดิมที่ 2.5% ส่วนใน 2025 ยังคงไว้ที่ระดับเดิมที่ 2.1%
4. เฟดปรับลดคาดการณ์ GDP ในปี 2023 ลงมาอยู่ที่ 0.4% จากเดิมที่ 0.5% และปรับลดในปี 2024 ลงมาอยู่ที่ 1.2% จากเดิมที่ 1.6% ขณะที่ในปี 2025 ปรับประมาณการณ์ขึ้นเป็น 1.9% จากเดิมที่ 1.8%
🎯 สรุปง่ายๆคือ เฟดไม่ได้ทำ QE นะคะ และยังคงทำ QT ต่อไป ขณะที่เงินเฟ้อมีแนวโน้มสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่วนเศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้น้อยกว่าคาดคะ
⚠️ แล้วทำไมตลาดหุ้นพลิกกลับมาร่วง
คำตอบเกิดขึ้นในช่วงตอบคำถามของคุณพาวเวลล์นั่นเองคะ โดยแกพูดว่าคณะกรรมการเฟดยังไม่ได้คิดเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้เลยด้วยซ้ำคะ ซึ่งส่วนทางกับที่ตลาดคาดไว้แบบคนละเรื่อง เพราะก่อนประชุมตลาดคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยได้ถึง 2 ครั้งในปลายปีนี้
นอกจากนี้เองในระหว่างที่คุณพาวเวลล์แถลงอยู่นั้น ก็มีการแถลงซ้อนในเวลาเดียวจากนางเจเน็ต เยลเลน รมต.คลังของสหรัฐฯ โดยคำพูดส่งสัญญาณที่ขัดกันจนทำให้ตลาดงงอีก 1 รอบ เพราะทางพาวเวลล์พูดว่าเฟดจะใช้เครื่องมือทั้งหมดเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน แต่เยลเลนออกมาบอกว่ารัฐบาลไม่ได้คิดที่จะเพิ่มวงเงินการคุ้มครองเงินฝากเลยด้วยซ้ำ ซึ่งสวนทางกับข่าวลือก่อนหน้านี้ว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาเพิ่มวงเงินดังกล่าวอยู่นั่นเองคะ
5
✅ ความเห็นส่วนตัว
1
นิคกี้มองว่าเฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยได้อีกแค่ 1 ครั้งในปีนี้ แต่ถ้าความวุ่นวายในภาคธนาคารลากยาวออกไปอีก เฟดจะน่าไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยต่อแล้วคะ พูดสั้นๆก็คือเฟดจะหมดรอบการขึ้นดอกเบี้ยในครึ่งปีแรก ส่วนเรื่องการลดดอกเบี้ยนิคกี้มองว่ามีโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในปีนี้อยู่ เพราะโอกาสการเกิด recession เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
1
ส่วนเหตุการณ์ในภาคธนาคารนั้นคิดว่าผลกระทบจะจำกัดและไม่ลุกลามเป็นวิกฤติคะ แต่ถามว่าเรื่องจะจบเลยไหม คิดว่ายังคะ เพราะธนาคารขนาดเล็กๆจะยังมีปัญหาความไม่เชื่อมั่นอยู่ ซึ่งตรงนี้เป็นหน้าที่ของทั้งพาวเวลล์และเยลเลนที่ต้องดึงความเชื่อมั่นกลับมา
ลงทุนยังไงดี โดยปกติช่วงท้ายของการขึ้นดอกเบี้ย (ไม่นับว่ามีโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้ด้วยนะคะ) หุ้น Growth และหุ้น Tech จะกลับมา outperform ได้ดีมากๆ ซึ่งถ้าเพื่อนๆสังเกตดูในปีนี้จะพบว่า Nasdaq เวลาขึ้นก็ขึ้นเยอะกว่า S&P500 และ Dow Jones ส่วนเวลาย่อก็ย่อน้อยกว่าเช่นกัน (สวนทางกับปีที่แล้วชัดเจน) ดังนั้นรีบเก็บหุ้น Growth หุ้น Tech กันนะคะ
1
ส่วนหุ้นกลุ่ม Value ดูแล้วปีนี้น่าจะยาก เพราะกลุ่มธนาคารโดนไปแล้ว ส่วนพลังงานก็โดนเรื่องของราคาน้ำมันที่ร่วงเอาๆ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมก็โดนเรื่องเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ปีนี้น่าจะ underperform คะ
ในฝั่งของตราสารหนี้ ด้วยการที่เราอยู่ในช่วงท้ายมากๆของการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ดังนั้นควรลงทุนในตราสารหนี้ตอนที่ยังได้ดอกเบี้ยสูงๆอยู่คะ แต่ๆๆๆ‼️ ควรหลีกเลี่ยงตราสารให้กลุ่ม High Yield ไปก่อนคะ เพราะมีความเสี่ยงเรื่องของ recession ซึ่งจะตามมาด้วยการผิดนัดชำระหนี้ (default) ที่เพิ่มขึ้นนั่นเองคะ
Source: Bloomberg
#เศรษฐกิจ #การเงิน #ลงทุน #กองทุน #มือใหม่ #ข่าวเศรษฐกิจทั่วโลก #ข่าวทั่วโลก #หุ้น #กองทุนรวม #ดอกเบี้ย #นักลงทุน #GDP #สหรัฐฯ #สหรัฐอเมริกา #FED #QE #เฟด #Taper #QT #Recession #เศรษฐกิจถดถอย #วิกฤติเศรษฐกิจ #วิกฤติ #inflation #เงินเฟ้อ #SVB #SignatureBank
โฆษณา