24 มี.ค. 2023 เวลา 04:24

บทความ: ประวัติศาสตร์- ความขัดแย้งและชนวนการสงครามโลกครั้งที่1

แผนที่ทวีปยุโรปก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่1
สงครามโลกครั้งที่1 คือจุดเริ่มต้นของมหาสงครามที่สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินให้แก่มวลมนุษยชาติมากมายจนเหลือคณานับ ซึ่งก่อนจะเกิดสงครามโลกครั้งที่1นั้น ประเทศในแถบยุโรปเคยทำศึกสงครามกันมาแล้วนับครั้ง
ไม่ถ้วน ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ได้บันทึกเหตุการณ์และชนวนการเกิดสง
ครามตามวันเวลาไว้ดังนี้
19 กรกฎาคม 1870 ราชอาณาจักรปรัส
เซีย(Kingdom of Prussia)ซึ่งรวมประ
เทศระหว่างเยอรมัน โปแลนด์ ลิธัวเนีย
รัสเซีย เบลเยี่ยม เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์
และสวิตเซอร์แลนด์ ได้ยกกองทัพเปิดศึกสงครามขึ้นกับกอง
1
จักรพรรดิวิลเฮล็มที่ 1 แห่งเยอรมนี
ทัพฝรั่งเศส
2 กันยายน 1870 กองทัพฝรั่งเศสยอม
แพ้แก่กองทัพปรัสเซียที่เมืองเซอดอง
(Sedan)บนฝั่งแม่น้ำเมิซ(Meuse River)
ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส
27 ตุลาคม 1870 กองทัพฝรั่งเศสยอมแพ้
อีกครั้งที่เมืองเมตซ์(Metz)เมืองหลวงของแคว้นลอเรน(Lorraine)
18 มกราคม 1871 พระจักรพรรดิวิล
เฮล็มที่1(Wilhelm I Emperor)ถูกสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งเยอรมนี
10 พฤษภาคม 1871 มีการทำสนธิสัญญา
แฟรงค์เฟิร์ต(Treaty of Frankfurt)ซึ่งฝรั่งเศสต้องเสียดินแดนในแคว้นอัลซาซ
(Alsace)และแคว้นลอเรนให้แก่ราชอา
ณาจักรปรัสเซีย
ภาพเขียนทหารปรัสเซียในสงครามปรัสเซีย- ฝรั่งเศส
และฝรั่งเศสประกาศว่าจะทำการแก้แค้น
13 กรกฎาคม 1878 มีการทำสนธิสัญญา
เบอร์ลิน(Treaty of Berlin)หลังจากกอง
ทัพจักรวรรดิอ็อตโตมัน(ตุรกี)พ่ายแพ้แก่
กองทัพจักรวรรดิรัสเซียในการทำสง
ครามระหว่างปี1877-1878 โดยปลดปล่อยโรมาเนีย เซอร์เบีย มอนเตเนโกร
และดินแดนอีกส่วนหนึ่งของบัลเกเรียให้ได้รับอิสรภาพจากตุรกี ส่วนจักรวรรดิรัสเซียได้ครอบครองแคว้นเบสซาราเบีย
(Bessarabia)บาตูมี(Batumi)คาร์ส
(Kars)อาร์ดาฮัน(Ardahan)และแคว้นโด
บรูจา(Dobruja)ของโรมาเนีย ส่วนบอสเนีย(Bosnia)และเฮอร์เซโกวีนา
(Herzegovina)ให้ปรับ
เปลี่ยนมาอยู่ในกึ่งการปกครองของออส
เตรีย
7 ตุลาคม 1879 ออสเตรียและฮังการีผสมผสานเป็นประเทศเดียวกัน(Dual
Dynasty)ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของพระจักร
พรรดิฟรังซ์ โยเซฟ(Franz Joseph Emperor)
18 มิถุนายน 1881 สันนิบาตสามจักร
พรรดิ( Three Emperor League)ถูกกระ
ทำขึ้นตามข้อตกลงระหว่างจักรวรรดิ
เยอรมัน จักรวรรดิออสเตรีย- ฮังการีและ
จักรวรรดิรัสเซีย เนื่องจากนายกรัฐมนตรี
ของเยอรมันคืออ็อตโต ฟ็อน บิสมาร์ค
(Otto von Bismarck)เกรงกลัวอันตราย
จากฝ่ายฝรั่งเศสและรัสเซียในการจะเข้า
ยึดครองยุโรปตะวันออกทั้งหมด และสิ้น
สุดข้อตกลงตามสัญญาในปี1887
กองทหารปรัสเซียในสงครามปรัสเซีย- ฝรั่งเศส
20 พฤษภาคม 1882 เยอรมนี ออสเตรีย-
ฮังการีและอิตาลีเข้าร่วมเป็นไตรพันธมิตร(Triple Alliance) สนธิสัญญานี้
เป็นความประสงค์ของอิตาลีที่ต้องการสัมพันธมิตรให้การสนับสนุนหลังจากสูญ
เสียดินแดนด้านทิศเหนือของแอฟริกาให้
แก่ฝรั่งเศส ข้อตกลงในสนธิสัญญานี้ยัง
ระบุอีกว่า ประเทศมหาอำนาจทั้งสามจะ
เข้าช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่นถ้าฝรั่งเศสเข้าโจมตีเยอรมัน หรือออสเตรีย-
ฮังการีถูกโจมตีจากรัสเซีย หรืออิตาลีถูก
โจมตีจากประเทศมหาอำนาจอื่นๆ
18 มิถุนายน1887 เยอรมนี ออสเตรีย-
ฮังการีและรัสเซียหวนกลับมาทำสนธิสัญญา
สันนิบาตสามจักรพรรดิอีกครั้ง และสิ้นสุดลงในปี1890
1 กรกฎาคม 1890 เครือจักรภพอังกฤษ
มอบเกาะเฮ็ลโกลันด์(Helgoland)ในเขต
ทะเลเหนือให้แก่เยอรมนีตามข้อตกลงใน
สนธิสัญญาเฮ็ลโกลันด์-แซนซิบาร์
(Helgoland - Zanzibar Treaty)เพื่อแลก
เปลี่ยนกับเครือจักรภพอังกฤษในการจะ
ยึดครองแอฟริกาตะวันออกในเขตตังกัน
ยิกา(Tanganyika)ผืนแผ่นดินใหญ่ของประเทศแทนซาเนีย
25 กรกฎาคม 1894 สงครามจีน- ญี่ปุ่น
(Sino-Japanese War)ระเบิดขึ้น กรณี
พิพาทเรื่องคาบสมุทรเกาหลี เขตแมนจู
เรีย เกาะไต้หวันและน่านน้ำในเขตทะเล
เหลือง ระหว่าง
จอมพลออกัสต์ แม็คเค็นเซนกับแถวทหารเยอรมัน
ราชวงศ์ชิงกับจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งราชวงศ์
ชิงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และต้องยินยอมลงนามในสนธิสัญญาซิโมโนเซกิ(Treaty of Shimonoseki) ตามเงื่อนไขของจักรวรรดิญี่ปุ่น
17 เมษายน1895 สนธิสัญญาซิโมโมเซกิ
ถูกทำขึ้นหลังจากจีนพ่ายแพ้แก่ญี่ปุ่น ผู้
แทนการลงนามฝ่ายราชวงศ์ชิงคือหลี่
หงซาง(Li Hongzhang)และหลี่ จินฟาง
(Li Jingfang)อุปทูตในราชสำนักจีน ฝ่าย
ญี่ปุ่นคือขุนนางฮิโต ฮิโระบูมิ(Ito Hirobumi) และมัตสึ มุเนมิตสึ(Mutsu
Munemitsu)ข้อตกลงในการทำสนธิสัญญาคือเกาหลีได้รับอิสรภาพจากจีนและญี่ปุ่น จีนต้องมอบเกาะเผิงหูหรือ
เกาะเล็กเกาะน้อยจำนวน90 เกาะในเขต
ช่องแคบไต้หวันรวมทั้งเกาะไต้หวัน และ
พื้นที่ในเขตคาบสมุทรเหลี่ยวตง(Liao-
dong Peninsula)รวมถึงเกาะต้าเหลียน
ให้แก่ญี่ปุ่น จีนต้องชดใช้ค่าเสียหายในการทำสงครามกับญี่ปุ่นเป็นสกุลเงินที่ใช้ในสมัยราชวงศ์ชิงจำนวน200,000,000
กูปิง(Kuping teals)หรือเทียบเท่าน้ำหนัก
เงิน7,500,000 กิโลกรัม หรือเทียบเท่ากับ
ค่าเงินปอนด์16,534,500 ปอนด์ในเวลา5
ปี นอกจากนั้นจีนต้องเปิดเมืองท่าที่สำคัญเพื่อทำการค้ากับญี่ปุ่นคือเมืองซูโจว เมืองหางโจว เมืองซุงกิงและเมืองซาซี ภายในวันเดียวกัน
การทำสนธิสัญญาซิโมโมเซกิ ระหว่างจีนและญี่ปุ่น
ก็มีการเซ็นสัญญาการเป็นสัมพันธมิตรทางการค้าระหว่างจีนและญี่ปุ่นอีกด้วย
สนธิสัญญานี้กระทำขึ้นที่เมืองซิโมโนเซ
กิ จังหวัดยามางูจิของญี่ปุ่น
8 พฤษภาคม 1895 จีนต้องทำพิธีมอบ
คาบสมุทรเหลี่ยวตงให้แก่ญี่ปุ่น กระตุ้น
ให้มหาอำนาจเยอรมนีมีปฏิกิริยาเป็น
ปฏิปักษ์กับญี่ปุ่นทันที
18 พฤษภาคม 1899 เปิดประชุมศาลขึ้น
ครั้งแรกที่กรุงเฮก(First Hague Con-
ference)ประเทศเนเธอร์แลนด์ เรื่องกฎหมายวัตถุสงคราม การปกป้องพลเรือน การละเมิดหรือการบุกรุกหรือการปล้นสะดม การลงโทษทหารหนีทัพ
การจับตัวประกัน การแลกเปลี่ยนเชลย
ศึก
และการสงบศึก สิ้นสุดการประชุมในวันที่
29 กรกฎาคม
12 มิถุนายน1900 สภาริซแต็ก (Reichstag Parliament)ของเยอรมนีลง
มติให้เพิ่มกองเรือรบในส่วนกองทัพเรือ
เยอรมันขึ้นเป็นสองเท่า
30 มกราคม 1902 อังกฤษและญี่ปุ่นทำ
สัญญาร่วมเป็นสัมพันธมิตรระหว่างกัน เพื่อต้านทานอำนาจจากฝ่ายรัสเซีย ผู้แทนการลงนามฝ่ายอังกฤษคือรัฐมนตรี
ต่างประเทศลอร์ด แลนสดาวน์(Lord
Lansdowne)และทูตญี่ปุ่นประจำกรุง
ลอนดอนคือฮายาชิ ทาดาสึ(Hayashi
Tadasu)
1 พฤศจิกายน 1902 อิตาลีและฝรั่งเศส
ทำสัญญาลับร่วมกัน โดยจะวางตัวเป็น
กลางหากเกิดสงคราม
ขึ้น และจะเพิกเฉยถ้ากองทัพเยอรมันบุก
โจมตีกองทัพรัสเซีย
8 กุมภาพันธ์ 1904 สงครามรัสเซีย- ญี่ปุ่น
(Russo-Japanese War)ระเบิดขึ้น กรณี
พิพาทเรื่องคาบสมุทรเกาหลี เขตแมนจู
เรีย เขตทะเลเหลือง และน่านน้ำในเขต
ทะเลญี่ปุ่น และฝ่ายรัสเซียเป็นฝ่ายพ่าย
แพ้สงครามซึ่งนำมาสู่การทำสนธิสัญญา
พอร์ตสมัธ(Treaty of Portsmouth)ใน
เวลาต่อมา
8 เมษายน 1904 การตกลงร่วมกันอย่าง
ฉันท์มิตร(Entente Cordiale)ระหว่างอัง
กฤษและฝรั่งเศสได้กระทำขึ้นเนื่องจาก
อังกฤษต้องการเข้าไปควบคุมอย่างเต็ม
อำนาจในดินแดนอียิปต์ ส่วนฝรั่งเศส
สงครามรัสเซีย- ญี่ปุ่น
ต้องการโมร็อคโคเป็นอาณานิคม
ในระหว่างปี1905 จอมพลอัลเฟรด ฟ็อน
ชลีเฟิน(Field Marshal Alfred von Sch-
lieffen)เสนาธิการใหญ่ในกองทัพเยอร
มันได้วางแผนชลีเฟินขึ้นมาเพื่อพิชิตกอง
ทัพฝรั่งเศสโดยผ่านทางประเทศเบลเยียม เพราะเขาต้องการจะพิชิตกองทัพฝรั่งเศสให้ราบคาบลงให้ได้
6 มิถุนายน 1905 เยอรมนีผลักดันรัฐมน
ตรีต่างประเทศของฝรั่งเศสเตโอฟิล เด
กาสเซ(Theophile Delcasse)ออกจาก
เยอรมนี
5 กันยายน 1905 สนธิสัญญาพอร์ตสมัธ
ถูกทำขึ้นเพื่อยุติสงครามรัสเซีย- ญี่ปุ่น
หลังจากมีการเจรจาโดยมีประธานาธิบดี
ธีโอดอร์
รูสเวลต์(Theodore Roosevelt)เป็นผู้ไกล่เกลี่ยที่ฐานทัพเรือพอร์ตสมัธของสหรัฐ และความพยายามครั้งนี้ของประ
ธานาธิบดีรูสเวลต์ทำให้เขาได้รับรางวัล
โนเบลสาขาสันติภาพ
15 มิถุนายน 1907 เปิดประชุมศาลขึ้นที่
กรุงเฮกประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นครั้งที่สอง เรื่องสนธิสัญญาสากลและการวางรากฐานของกฎสงคราม และความผิดเกี่ยวกับอาชญากรสงคราม สิ้นสุดการประชุมในวันที่18 ตุลาคม
31 สิงหาคม 1907 สนธิสัญญาสัมพันธ
มิตรไตรภาคี(Triple Entente)ถูกร่างขึ้น
ระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย เพื่อ
ต้านทานกำลังรบจากฝ่ายมหาอำนาจ
กลาง
ประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลต์
(Central Powers) คือเยอรมัน ออสเตรีย
- ฮังการีและอิตาลีที่ทำสนธิสัญญาไตร
พันธมิตรไว้ในปี1882 ความสำคัญในการ
ทำสนธิสัญญาสัมพันธมิตรไตรภาคีคือ
ความลับด้านกำลังทางทหาร ซึ่งกำหนดว่าถ้าฝรั่งเศสถูกโจมตีจากกองทัพเยอรมันหรือถ้าฝรั่งเศสถูกโจมตีจากกอง
ทัพอิตาลีโดยการสนับสนุนจากกองทัพ
เยอรมัน กองทัพรัสเซียจะส่งกำลังพลประมาณ700,000-800,000 นายเข้าช่วย
เหลือกองทัพฝรั่งเศส เช่นเดียวกับกองทัพรัสเซียซึ่งถ้าถูกโจมตีจากกอง
ทัพเยอรมัน หรือถูกโจมตีจากกองทัพ
ออสเตรีย- ฮังการีโดยการสนับสนุนจากกองทัพเยอรมัน กองทัพ
ฝรั่งเศสจะส่งกำลังพลประมาณ1,300,
000, นายเข้าช่วยเหลือกองทัพรัสเซีย
5 ตุลาคม 1908 เจ้าชายเฟอร์ดินานด์แห่ง
บัลเกเรีย(Prince Ferdinand of Bulga-
ria)ทรงประกาศให้บัลเกเรียเป็นอิสรภาพ
จากจักรวรรดิอ็อตโตมัน เพื่อให้เป็นไปตามสนธิสัญญากรุงเบอร์ลินที่ทำไว้ในปี
1887 ซึ่งเป้าหมายที่แท้จริงนั้นบัลเกเรีย
ต้องการดินแดนทั้งหมดของมาซีโดเนีย
และดินแดนทางตอนใต้ของเขตแธร็ซ
เช่นเดียวกับประเทศมหาอำนาจอื่นๆที่
ต้องการอาณานิคมในขณะนั้นคือ ออส
เตรีย- ฮังการีต้องการผนวกเอาดินแดน
ของบอสเนีย สหราชอาณาจักร(อังกฤษ)
ต้องการ
ดินแดนด้านตะวันออกของอาหรับ ส่วน
จักรวรรดิรัสเซียต้องการช่องแคบตุรกี
6 ตุลาคม 1908 ออสเตรีย- ฮังการีผนวก
เอาดินแดนทั้งหมดของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา จึงเกิดวิกฤตการณ์ที่วุ่นวายให้
แก่ชาวยุโรป(European Crisis)โดย
เฉพาะด้านการเงินและหนี้สินต่างๆ และ
สถานการณ์ที่วุ่นวายนั้นมายุติลงในเดือน
มีนาคม 1909
ในระหว่างเดือนสิงหาคม 1909 นายกรัฐมนตรีของเยอรมันธีโอบัลด์ ฟ็อน เบ็ธ
-มัน ฮ็อลเว็ก(Theobald von Bethmann
Hollweg)ได้ร่างเงื่อนไขในข้อกำหนดและส่งไปถึงอังกฤษ และเตือนอังกฤษให้
อยู่ห่างๆหากเกิดสงครามขึ้นใน
ยุโรป
24 ตุลาคม 1909 อิตาลีและรัสเซียเปิด
ประชุมลับร่วมกัน โดยจะวางตัวเป็นกลาง
หากเกิดสงครามขึ้นในเขตบอลข่าน
(Balkan)และพื้นที่ใกล้เคียง
1 กรกฎาคม 1911 กองเรือรบเยอรมันที่
เมืองท่าอะกาดีร์(Agadir)เป็นชนวนทำให้
เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในโมร็อคโค
15 กรกฎาคม 1911 เยอรมันเรียกร้องดิน
แดนอาณานิคมจากฝรั่งเศสในเขตฝรั่งเศสแอฟริกากลาง และในเขตเบล
เยี่ยม คองโก
21 กรกฎาคม 1911 นายกรัฐมนตรีของ
อังกฤษเดวิด ลอยด์ จอร์จ(David Lloyd
George)กล่าวสุนทรพจน์ที่กรุงลอนดอน
และเตือนอันตรายจากฝ่ายเยอรมัน
4 พฤศจิกายน 1911 ฝรั่งเศสตัดเฉือนดิน
แดนบางส่วนในเขตฝรั่งเศสแอฟริกา
กลางให้แก่เยอรมัน ก่อนที่ฝรั่งเศสจะหวนกลับไประงับเหตุการณ์อันวุ่นวายที่เกิดขึ้นในโมร็อคโค
ในระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน ปี1912 อิตาลีบุกเข้ายึดเกาะต่างๆในเขตโดเดคะนีส(Dodecanese)
หมู่เกาะของประเทศกรีซในเขตทะเลอี
เจียน ประกอบด้วยเกาะใหญ่12 เกาะ และเกาะเล็กเกาะน้อยอีกประมาณ150
เกาะที่อยู่ในการยึดครองของจักรวรรดิ
อ็อตโตมัน
8 ตุลาคม 1912 สงครามบอลข่านครั้งที่1
(First Balkan War)ระเบิดขึ้น ระหว่างกลุ่มประเทศสันนิบาตชาติ
ทหารอิตาลีในสงครามโลกครั้งที่ 1
บอลข่าน(Balkan League) ได้แก่กรีซ บัลเกเรีย เซอร์เบีย และมอนเตเนโกร
สนับสนุนโดยอิตาลีและรัสเซียฝ่ายหนึ่ง
อีกฝ่ายหนึ่งคือจักรวรรดิอ็อตโตมันสนับ
สนุนโดยจักรวรรดิออสเตรีย- ฮังการี การ
ทำสงครามยุติลงในวันที่ 30 พฤษภาคม
1913 และจักรวรรดิอ็อตโตมันเป็นฝ่าย
พ่ายแพ้สงคราม ซึ่งต้องยินยอมมอบคืน
ดินแดนที่ครอบครองให้แก่กลุ่มประเทศ
สันนิบาตชาติบอลข่านตามสนธิสัญญา
กรุงลอนดอน(Treaty of London)
30 พฤษภาคม 1913 สนธิสัญญากรุง
ลอนดอนถูกร่างขึ้นเพื่อยุติสงครามบอล
ข่านครั้งที่1 การลงนามในสนธิสัญญา
ประกอบด้วยกลุ่ม
ประเทศสันนิบาตชาติบอลข่านร่วมกับ
ประเทศมหาอำนาจอื่นๆเช่น เยอรมนี
อิตาลี สหราชอาณาจักร รัสเซีย ออสเตรีย- ฮังการี ส่วนตัวแทนฝ่ายจักร
วรรดิอ็อตโตมันคือเอนเวอร์ พาสฮา
(Enver Pasha)ได้ถอนตัวออกจากการ
ลงนามในครั้งนี้
1 มิถุนายน 1913 กรีซเห็นดีเห็นชอบตาม
ข้อตกลงในสนธิสัญญากรุงลอนดอน จึง
ส่งกองทหารเข้าไปในเซอร์เบีย สุดท้าย
จึงถูกโจมตีตอบโต้จากกองทัพบัลเกเรีย
29 มิถุนายน 1913 สงครามบอลข่านครั้ง
ที่2(Second Balkan War)ปะทุขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้บัลเกเรียเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง อีก
ฝ่ายหนึ่งคือกรีซ โรมาเนีย
เซอร์เบีย มอนเตเนโกร และตุรกี ครั้งนี้
บัลเกเรียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ
ต้องยินยอมทำสนธิสัญญาบูคาเรสต์
(Treaty of Bucharest)และสนธิสัญญา
คอนสแตนตินโนเปิล(Treaty of Cons-
tantinople)ซึ่งต้องมอบเขตแธร็ซตะวันออกให้แก่ตุรกี คืนภาคใต้ของแคว้นโด
บรูจาให้แก่โรมาเนีย คืนแคว้นมาซีโดเนียให้แก่เซอร์เบีย และคืนเขตแธร็ซตะวัน
ตกให้แก่กรีซ
14 ธันวาคม 1913 เยอรมนีส่งพลเอกอ็อตโต ลิมาน ฟ็อน แซนเดอร์ส(Gen.Otto Liman von Sanders)เข้าไปในตุรกีเพื่อเป็นผู้บัญชาการกองทัพเยอรมันในตุรกี
กองทหารอิตาลีในสงครามโลกครั้งที่ 1
5 กรกฎาคม 1914 พระจักรพรรดิวิล
เฮล็มที่2(Wilhelm ll Emperor)หรือพระ
เจ้าไกเซอร์ของเยอรมันทรงประกาศจะ
สนับสนุนด้านการเงินและด้านการทหาร
แก่ออสเตรีย- ฮังการี เพื่อต้านทานกำลังรบจากฝ่ายรัสเซีย
และฝรั่งเศส
7 กรกฎาคม 1914 รัฐสภาออสเตรีย- ฮังการีโดยคณะรัฐมนตรีลงมติให้ยื่นคำ
ขาดแก่ทางการเซอร์เบีย กรณีหลักฐานและเอกสารของกลุ่มอาชญากรที่ลอบ
ปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรังซ์ เฟอร์
ดินานด์และพระชายาโซฟี ซึ่งต้องให้ได้
คำตอบภายใน 48 ชั่วโมง
20 กรกฎาคม 1914 ประธานาธิบดีเรมง ปงกาเร(Raymond Poincaré)และนายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศสเรน วิเวียนี(Rene
Viviani)เดินทางไปปรึกษาหารือกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัสเซียที่เซ็นต์ปีเตอร์เบิร์ก และสิ้นสุดการเยือนในวันที่23 กรกฎาคม
22 กรกฎาคม 1914 เยอรมันเตือนอังกฤษให้อยู่ห่างๆ กรณี
ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างออสเตรีย-
ฮังการีและเซอร์เบีย
23 กรกฎาคม 1914 รัฐบาลออสเตรีย-
ฮังการีส่งเอกสารการยื่นคำขาดให้แก่ทางการเซอร์เบียเพื่อบีบบังคับให้ทาง
การเซอร์เบียทำตามเงื่อนไขทั้งหมด10
ข้อหรือ10 ประเด็นด้วยกันคือ
(1)ให้ทางการเซอร์เบียควบคุมหรือระงับผู้จัดทำสิ่งพิมพ์ ที่มีเนื้อหาอันเป็นการต่อ
ต้านวัตถุประสงค์ของออสเตรีย- ฮังการี
(2)ให้ทางการเซอร์เบียควบคุมหรือระงับ
กลุ่มสมาพันธ์ชาตินิยมชาวเซิร์บ ที่มีการ
กระทำอันอุกอาจรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ของ
ออสเตรีย- ฮังการี
(3)ให้ทางการเซอร์เบีย
ควบคุมหรือระงับกลุ่มบุคคลที่ต่อต้านหลักสูตรการเรียนการศึกษาตามแนวทาง
ของออสเตรีย- ฮังการีในโรงเรียนต่างๆ
ของเซอร์เบีย
(4)ให้ทางการเซอร์เบียควบคุมหรือระงับ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือฝ่ายพลเรือนที่แสดงเจตนาอย่างโจ่งแจ้งเพื่อต่อต้านการโฆษณาตามวัตถุประสงค์ของออสเตรีย-
ฮังการี
(5) ให้ทางการเซอร์เบียควบคุมหรือระงับ
ชาวเซิร์บที่เข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆกับชาวบอสเนีย
(6) ให้ทางการเซอร์เบียมีการอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ของทางการออสเตรียเข้าไปมี
ส่วนร่วมในการสืบสวนสอบสวนคดีการ
ลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกและพระ
ชายาและจะต้องมีการนำจับบุคคลเป็น
รายๆไป
(7)ให้ทางการเซอร์เบียทำการจับกุมพันตรีโวจิสลาฟ ตันโกสิค(ผู้วิ่งเต้นวางแผน)
และมิลาน ซิกานอวิค(เจ้าหน้าที่ฝ่ายพล
เรือนที่ฝึกการยิงปืนและการคว้างลูกระเบิดมือให้แก่กลุ่มอาชญากร)โดยทันที
(8)ให้ทางการเซอร์เบียควบคุมและรับประกันไม่ให้มีการลักลอบนำอาวุธเข้ามายังบอสเนีย และให้ทางการเซอร์เบีย
ลงโทษเจ้าหน้าที่หรือลูกจ้างรัฐที่มีส่วนช่วยเหลือกลุ่มผู้กระทำผิดข้ามพรมแดน
เข้ามายังบอสเนีย
(9)ให้ทางการเซอร์เบียชี้แจงเจตนาของ
เจ้าหน้าที่ที่มีอคติหรือแสดงความเป็นศัตรูต่อทาง
การออสเตรีย
(10) ให้รัฐบาลเซอร์เบียยืนยันจะจัดการกับบุคคลตามรายละเอียดดังกล่าว ซึ่งรายละเอียดต่างๆจะต้องแนบมากับหลักฐานเอกสารตามคำรับสารภาพของผู้ร่วม
กระทำการ และจะต้องให้ได้คำตอบภายในเวลา 6 โมงเย็นของวันเสาร์ที่ 25
กรกฎาคม
25 กรกฎาคม 1914 เซอร์เบียตอบโต้การ
ยื่นคำขาดของออสเตรีย- ฮังการีและยอม
รับการยื่นคำขาดเพียง8 ข้อ ส่วนอีก2 ข้อ
ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง และปฏิเสธการจะส่ง
หลักฐานเอกสารต่างๆให้แก่ทางการออส
เตรีย- ฮังการี ซึ่งทางการออสเตรีย- ฮังการีเห็นว่า เซอร์เบียให้คำตอบไม่เป็นที่น่าพอใจจึงตัดสัม
ทหารตุรกีในสงครามโลกครั้งที่ 1
พันธ์ทางการทูตทันที และเทื่ยงคืนของวันนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเมืองและการทูต
ของออสเตรีย- ฮังการีก็ออกจากกรุง
เบลเกรดและนั่งรถไฟกลับสู่กรุงเวียนนา
26 กรกฎาคม 1914 อังกฤษเรียกร้องทุกฝ่ายเข้ามาหาหรือและเปิดประชุมร่วมกัน
แต่ในวันที่27 ถูกบอกปัดจากฝ่ายเยอรมัน
28 กรกฎาคม 1914 ออสเตรีย-ฮังการีและเซอร์เบียประกาศสงคราม และเรียกระดมพลทั้งสองฝ่าย
29 กรกฎาคม 1914 ออสเตรีย- ฮังการีนำ
กองทัพจะบุกเข้ายิงถล่มกรุงเบลเกรดของเซอร์เบีย ชาวเซิร์บอพยพหลั่งไหล
ออกจากเมือง รัสเซียพันธมิตรของเซอร์
เบียเรียกระดมพล เตรียม
พร้อมเข้าสู่สงครามร่วมกับเซอร์เบีย ซึ่ง
รัสเซียนอกจากจะเป็นพันธมิตรที่ดีของ
เซอร์เบียแล้ว ขณะนั้นรัสเชียยังใจจดใจจ่ออยู่กับปัญหาในเขตบอลข่านและใน
เขตตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ปัญหาเกี่ยวกับช่องแคบบอสฟอรัส
(Bosporus Straits)และช่องแคบดาร์
ดะเนลส์(Dardanelle Straits)ในตุรกี
ซึ่งรัสเซียเคยทำสงครามแย่งชิงมาแล้ว
แต่ไม่สำเร็จ เพราะช่องแคบสองแห่งนี้
คือหัวใจสำคัญของรัสเซียในการใช้เส้น
ทางเดินเรือออกจากทะเลดำสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และปัญหาที่ค้างคาใจ
ของรัสเซียก็มาผลุดโผล่ขึ้นอีกครั้งในปี
1914
ทหารตุรกีในสงครามโลกครั้งที่ 1
รัสเซียเริ่มเคลื่อนไหวทางกองทัพเพื่อทำ
ศึกสงครามเนื่องจากมีความต้องการช่อง
แคบสองแห่งนี้อยู่เป็นเดิมทุน ในเวลาเดียวกันก็จะถือโอกาสทำการปกป้องประ
ชาชนชาวสลาวิคพี่น้องร่วมสายเลือดของรัสเซียในเขตบอลข่านที่ถูกปกครองแบบกดขี่ข่มเหงจากตุรกี เยอรมันและออสเตรีย- ฮังการี แต่ขณะนั้นกองทัพรัสเซียก็ยังคงบอบช้ำเนื่องจากการทำสงครามในปี1904 กรณีพิพาทเรื่องดินแดนในเขตแมนจูเรียและต้องพ่ายแพ้แก่ญี่ปุ่นรวมถึงการปฏิวัติที่ไร้ผลในปี1905 แต่รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียคือ
อเล็กซานเดอร์ อิซวอลสกี้(Alexander
Izvolski)ผู้มีบทบาทสำคัญที่นำรัสเซีย
เข้าไปเป็นพันธมิตรกับอังกฤษและผู้สืบ
ทอดเจตนารมณ์ของเขาคือเซอร์ไก ซา
โซนอฟ(Sergei Sazonov)ได้ให้ความสำคัญกับชาวเซิร์บเป็นอย่างมากเพราะเป็นรากฐานการสร้างอนาคตของรัสเซีย
ดังนั้นรัสเซียจึงจำเป็นต้องเข้าช่วยเหลือ
เซอร์เบีย เพื่อให้รอดพ้นจากการถูกบดขยี้จากกองทัพออสเตรีย- ฮังการี แม้ว่าทางรัฐบาลของรัสเซียจะเตือนว่า
กองทัพรัสเซียยังไม่พร้อมรบในปี1914
31 กรกฎาคม 1914 รัสเซียเรียกระดม
พลครั้งใหญ่อีกครั้งและประกาศประเทศ
อยู่ในภาวะอันตรายของสงคราม เช่นเดียวกับเยอรมัน
ประกาศประเทศในการจะเข้าสู่สงคราม
ร่วมกับออสเตรีย- ฮังการี
1 สิงหาคม 1914 เยอรมันประกาศสง
ครามกับรัสเซียและเคลื่อนกำลังพลเข้า
สู่สนามรบทันที
2 สิงหาคม 1914 เยอรมันยื่นคำขาดไป
ถึงเบลเยี่ยม เรื่องขอผ่านเส้นทางจาก
เบลเยี่ยมเข้าโจมตีกองทัพฝรั่งเศส ก่อนจะนำกองทัพบุกลักเซมเบิร์กในวันเดียวกัน และกองทัพเรือเยอรมันในทะเล
บอลติกเริ่มบุกเข้ายิงถล่มเมืองไลปาจา
(Liepaja)ของลัตเวีย
3 สิงหาคม 1914 อิตาลีประกาศวางตัวเป็นกลาง
4 สิงหาคม 1914 เยอรมันบุกเบลเยี่ยม
อังกฤษยื่นคำขาดไปถึงเยอรมัน ให้เยอรมันหยุดการเคลื่อน
พลก่อนถึงเที่ยงคืนของวันนี้ และประกาศ
สงครามกับเยอรมนีทันทีหลังเลยเวลาที่
กำหนด
5 สิงหาคม 1914 มอนเตเนโกรประกาศ
สงครามกับออสเตรีย-ฮังการี
6 สิงหาคม 1914 ออสเตรีย-ฮังการีประ
กาศสงครามกับรัสเซีย เซอร์เบียประกาศ
สงครามกับเยอรมนี
7 สิงหาคม 1914 เยอรมันเคลื่อนกองทัพ
เข้าสู่เมืองลีเอจ(Liege)ของเบลเยียม ฝรั่งเศสนำกองทัพบุกแคว้นลอเรน อังกฤษเริ่มส่งกองทหารเข้าไปในฝรั่งเศส
ชาวเซิร์บอพยพหนีภัยสงครามเข้าไปยัง
บอสเนีย วันเดียวกันกองทัพอังกฤษและ
กองทัพฝรั่งเศสบุกโตโกแลนด์(Togo-
land)อาณานิคมของเยอรมันด้าน
แอฟริกา
8 สิงหาคม 1914 กองทัพเบลเยี่ยมเริ่ม
ถอยร่นออกจากแนวรบหลังจากกองทัพ
เยอรมันบุกเข้าโจมตี ส่วนกองทัพฝรั่ง
เศสที่บุกเข้าไปในแคว้นอัลซาซถูกตอบ
โต้จากกองทัพเยอรมันและถูกบีบให้อยู่ในวงจำกัดของพื้นที่
9 สิงหาคม 1914 มอนเตเนโกรประกาศ
สงครามกับเยอรมนี ออสเตรเลีย- ฮังการี
ประกาศสงครามกับมอนเตเนโกร และกองทัพฝรั่งเศสส่งกองทหารม้าเข้าไป
ช่วยเหลือกองทัพเบลเยี่ยมที่กำลังล่าถอยออกจากแนวรบ
10 สิงหาคม 1914 กองทัพฝรั่งเศสยังคง
รุกเข้าไปในแคว้นลอเรน และกองทัพ
ออสเตรีย- ฮังการีบุกเข้าสู่พื้นที่ทางภาคใต้ของ
รัสเซีย เป้าหมายคือเมืองลับลิน(Lublin)
ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของโปแลนด์
12 สิงหาคม 1914 กองทัพออสเตรีย-
ฮังการีทำการข้ามแม่น้ำดรินา(Drina
River)ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รวมกำลังพลเพื่อ
บุกเซอร์เบีย วันเดียวกันอังกฤษประกาศ
สงครามกับออสเตรีย- ฮังการี
13 สิงหาคม 1914 ฝรั่งเศสประกาศสงครามกับออสเตรีย- ฮังการี
16 สิงหาคม 1914 ยุทธการเจดาร์
(Battle of Jadar)เริ่มขึ้นและยุติลงในวัน
ที่19 สิงหาคม เป็นยุทธภูมิระหว่างแม่น้ำ
เจดาร์ด้านทิศตะวันตกของเซอร์เบีย พลเอกออสการ์ โปติโอเร็ค(Gen.Oskar Po-
tiorek)ผู้บัญชาการ
นำกองทัพที่2 และที่5 ออสเตรีย- ฮังการี
เข้าสู้รบอย่างรุนแรงกับกองทัพที่2 และที่
3 ของเซอร์เบียบัญชาการโดยพลเอกรา
โดเมอร์ พุทนิค(Gen.Radomir Putnik)
ผลลัพธ์คือกองทัพออสเตรีย- ฮังการีเป็น
ฝ่ายล่าถอยออกจากพื้นที่
17-30 สิงหาคม 1914 เป็นการเปิดประตูสงครามในแนวรบด้านตะวันออกระหว่าง
กองทัพรัสเซียกับกองทัพเยอรมันในยุทธ
การสตอลลูโปเน็น(Battle of Stalluponen) และยุทธการตันเน็นเบิร์ก
(Battle of Tannenberg) กลางเดือนสิงหาคม ผู้บัญชาการกองทัพรัสเซียพล
เอกแกรนด์ ดยุก นิโคลาส(Gen. Grand Duke Nicholas) และ
พลเอกเร็นเน็นแคมป์ผู้บัญชาการกองทัพรัสเซีย
เสนาธิการกองทัพพลเอกนิโคลาส เยนุซ
เควิซ(Gen. Nicholas Yanushkevich) มี
กำลังพลเข้าประจำกองทัพเกือบ2 ล้าน
นาย แต่ขณะนั้นกองทัพรัสเซียยังขาด
แคลนพาหนะสำหรับการขนส่งเสบียงบำ
รุงกองทัพและขาดแคลนยุทธปัจจัยเป็น
จำนวนมาก ซึ่งรัสเซียต้องพึ่งพาและขอ
ความช่วยเหลือจากฝรั่งเศสซึ่งเป็นพันธ
มิตร
ในวันที่13 สิงหาคม ผู้บัญชาการกองทัพ
พลเอกแกรนด์ ดยุก นิโคลาสมีคำสั่งให้
เข้าโจมตีกองทัพเยอรมันในเขตปรัสเซีย
ตะวันออกโดยเบนหน้าเข้าหากันจากทาง
ทิศตะวันออกและจากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และมอบหมายให้พลเอกพอล
เร็นเน็นแคมป์
(Gen. Paul Rennenkampf)เป็นผู้บัญชา
การกองทัพที่1และพลเอกอเล็กซานเดอร์
แซมโซนอฟ(Gen. Alexander Samso-
nov)เป็นผู้บัญชาการกองทัพที่2 และให้
ทั้งสองกองทัพอยู่ภายใต้การบัญชาการของพลเอกอิวาน ไซลินสกี(Gen. Ivan
Zhilinski)ซึ่งตั้งกองบัญชาการใหญ่อยู่ที่
กรุงวอร์ซอของโปแลนด์ โดยมีคำสั่งให้
ทั้ง2 กองทัพรัสเซียเคลื่อนกำลังเข้าโจมตี
กองทัพข้าศึกในเขตปรัสเซียตะวันออกในตำแหน่งที่สมควรจะเข้าโจมตีโดยทันที พลเอกเร็นเน็นแคมป์นำกองทัพที่1
ข้ามพรมแดนรัสเซียออกมาในวันที่17 สิง
หาคมและรุดหน้าออกไปเป็นเวลา5 วัน
ก่อนที่พลเอกแซมโซนอฟจะนำกองทัพที่
2 ติดตามไป
กองบัญชาการกองทัพเยอรมันด้านตะวัน
ออกตั้งอยู่ที่อัลเล็นสไตน์(Allenstein) หรือออลส์ซทีน(Olsztyn) บัญชาการโดย
พลเอกแม็กซ์ ฟ็อน พริตวิตซ์(Gen. Max
von Prittwitz) เขามีคำสั่งให้3 กองทัพ
เยอรมันเคลื่อนกำลังเข้าไปในเขตแม่น้ำ
แองเกอแรพ(Angerapp River)หรือแม่น้ำ
เวโกราปา(Wegorapa)เพื่อเฝ้าระวังการ
บุกของกองทัพรัสเซียจากทางตะวันออก
และมีคำสั่งให้อีก4 กองทัพบุกเข้ายึดพื้น
ที่ในตันเน็นเบิร์กเพื่อเฝ้าระวังพรมแดน
ทางด้านทิศใต้ และกำซับผู้บังคับบัญชา
ทุกนายให้
เตรียมความพร้อมในการจะถอนกำลังกลับเข้ามาในเขตวิสตูลา(Vistula) ถ้าจำ
เป็น ซึ่งเขาวางแผนไว้ว่าจะใช้ภูมิประเทศและเส้นทางรถไฟในการรวมพลเพื่อทำ
ลายกองทัพรัสเซีย
ขณะนั้นพลเอกเฮอร์มาน ฟ็อน ฟรังซัวส์
(Gen. Hermann von François)ผู้บัญชา
การกองทัพที่1 เยอรมันได้นำกองทหาร
ของเขาเคลื่อนกำลังเรื่อยเอื่อยเข้ามายัง
เขตสตอลลูโปเน็นหรือเนสเตอรอฟ(Nes-
terov)และหยุดกองทัพอยู่ตรงพรมแดน
เพื่อเตรียมป้องกันกองทัพรัสเซียที่จะละ
เมิดเข้ามาในเขตปรัสเซีย และทันทีที่เห็น
กองทัพที่1 รัสเซียของพลเอกเร็นเน็น
แคมป์บุกจู่โจม
พลเอกแซมโซนอฟผู้บัญชาการกองทัพรัสเซีย
เข้ามาพลเอกฟรังซัวส์จึงออกคำสั่งให้กองทัพของเขาเข้าโจมตีโต้กลับทันที เขาปฏิบัติการอย่างมั่นคงและกล้าหาญและทำความสูญเสียอย่างหนักให้แก่กอง
ทัพรัสเซียซึ่งเป็นฝ่ายบุกแต่ปฏิบัติการ
ครั้งนี้เป็นปฏิบัติการโดยบังเอิญเพราะไม่มีการสื่อสารระหว่างผู้บังคับบัญชาทำ
ให้พลเอกพริตวิตซ์เสียแผนทางยุทธวิธี
เพราะตามแผนของพลเอกพริตวิตซ์นั้น
เขาต้องการเวลา5 วันในการทำลายกอง
ทัพของพลเอกเร็นเน็นแคมป์ หลังจากที่
เขาได้นำกองทัพเยอรมันอีกส่วนหนึ่งเข้า
ทำลายกองทัพของพลเอกแซมโซนอฟแล้ว ตามแผน
คือหลอกให้กองทัพของพลเอกเร็นเน็น
แคมป์เคลื่อนกำลังเข้าสู่สมรภูมิรบของเขาบริเวณฝั่งแม่น้ำแองเกอแรพ แต่พลเอกฟรังซัวส์ชิงปฏิบัติการเสียก่อน
แต่โอกาสยังเป็นของฝ่ายเยอรมันเมื่อพล
เอกเร็นเน็นแคมป์เกิดไม่เฉลียวใจถึงความหายนะที่จะเกิดขึ้นกับกองทัพรัส
เซีย เขาออกคำสั่งให้กองทหารรัสเซียบุกจนกองทัพของพลเอกฟรังซัวส์ถอยออกไปถึง2 วันจนเกือบจะถึงเขตแม่น้ำแอง
เกอแรพ ก่อนที่พลเอกฟรังซัวส์จะมีคำสั่ง
ให้กองทหารของเขาเข้ายึดที่มั่นเกือบจะทุกจุดในเขตกัมบินเน็น(Gumbinnen) หรือกุสเซฟ(Gusev)และเรียกร้องให้พล
เอกพริตวิตซ์ออกคำสั่งให้ทำการโจมตี
ทันที
จอมพลฮินเด็นเบิร์ก (ซ้าย) และพลเอกลูเด็นดอร์ฟ
แต่ยังมีนายทหารอีกผู้หนึ่งคือพันโท
แม็กซ์ ฮ็อฟมาน(Lt.Col.Max Hoffmann)ผู้ซึ่งต้องการจะนำกองทหารอีก2 กองทัพบุกเข้ามาจากทางด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำเข้าร่วมปฏิบัติในครั้งนี้
ด้วย ซึ่งพลเอกพริตวิตซ์ก็อนุมัติให้เป็นไปตามนั้น
และทุกอย่างก็เป็นไปตามความคลาง
แคลงใจของพันโทฮ็อฟมาน กองทัพเยอรมันทำการโจมตีแบบไม่เป็นชิ้นเป็นอัน และตามแนวรบต่างๆกองทัพเยอรมันเองกลับแตกพล่านไปเสียส่วนมาก และ
ผลลัพธ์จากการเผชิญหน้าของกองทัพทำให้พลเอกพริตวิตซ์ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า
เขาจะทำการโจมตีต่อไปหรือจะถอนกำลังกองทัพกลับมาที่
วิสตูลา ในเวลาเดียวกันทางกองบัญชา
การกองทัพเยอรมันที่อัลเล็นสไตน์ก็ได้รับแจ้งว่า กองทัพที่2 รัสเซียของพลเอก
แซมโซนอฟได้รุกกองทัพผ่านพรมแดนเข้าไปในเขตปรัสเซียตะวันออกเรียบร้อย
แล้ว ทำให้พลเอกเฮ็ลมุธ ฟ็อน มองต์เคอ
(Gen.Helmuth von Moltke)หัวหน้า คณะเสนาธิการใหญ่กองทัพเยอรมันวินิจฉัยความสามารถในการบัญชาการ
กองทัพของพลเอกพริตวิตซ์ทันที
ในวันที่23 สิงหาคม ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง
แทนพลเอกพริตวิตซ์คือ พลเอกเพาล์ ฟ็อน ฮินเด็นเบิร์ก(Gen. Paul von Hin-
denberg)และพลตรีอีริค เอฟ.ดับลิว.ลู
เด็นดอร์ฟ
พลเอกแม็ค ฮ็อฟมานและเหล่าผู้บังคับบัญชาในกองทัพเยอรมัน
(Mej.Gen. Erich F.W.Ludendorff)
เสนาธิการประจำตัวของเขา ผู้มีบทบาทสำคัญในแนวรบด้านตะวันตกมาหมาดๆ
ต่อมาทั้งสองกองทัพคู่สงครามได้วาง
แผนการศึกขึ้นใหม่ก่อนจะเข้าสู้รบกันอย่างกล้าหาญทั้งสองฝ่าย แต่ฝ่ายเยอรมันจะประสบความสำเร็จมากกว่า ที่
สำคัญคือฝ่ายรัสเซียขาดแคลนเส้นทางรถยนต์และรถไฟ ทำให้ระบบการขนส่งเพื่อแจกจ่ายเสบียงบำรุงแก่กองทหารต้องหยุดชะงักหรือไม่มีในสิ่งที่ควรจะมี
ในเวลาเดียวกันก็เกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างพลเอกไซลินสกีและพลเอกแซม
โซนอฟ การรุกของกองทัพรัสเซียจึงหยุดชะงักลง ความยุ่งยากเหล่านี้
เกิดผลกระทบต่อยุทธศาสตร์การทำสง
ครามของฝ่ายรัสเซียวันแล้ววันเล่า ซึ่ง
ฝ่ายเยอรมันก็ทราบดีเพราะการข่าวของ
รัสเซียที่เล็ดลอดออกมาทางวิทยุเกี่ยวกับ
กองบัญชาการของพลเอกไซลินสกีรวมถึงความเคลื่อนไหวต่างๆของพลเอกแซม
โซนอฟและพลเอกเร็นเน็นแคมป์ ทั้งหมด
จึงเป็นความบกพร่องของฝ่ายรัสเซียที่ขาดทักษะในการส่งรหัสลับทางทหาร จึง
กลายเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงต่อกองทัพรัสเซีย
วันที่24 สิงหาคม แนวรบส่วนกลางของพลเอกแซมโซนอฟถูกบุกจากกองทัพ
เยอรมันที่ยึดที่มั่นในแฟรงกีเนา(Frake-
nau) การสู้รบอย่างหนักดำเนินไปเกือบตลอด
เชลยศึกทหารรัสเซียในยุทธการตันเน็นเบิร์ก
ทั้งวัน จนกระทั่งกองทัพเยอรมันเป็นฝ่ายล่าถอยไปทางตะวันตก และภายในวันต่อมาคือวันที่25 สิงหาคม พลเอกแซมโซนอฟประกาศทางวิทยุว่าจะเป็นวันหยุดพักรบ แต่ฝ่ายเยอรมันไม่หยุดเพราะยืนยันว่าจะเอาวันดังกล่าวเสริมกำลังกองทัพให้เข้มข้นขึ้นเพราะต้องการทำสง
ครามขั้นแตกหักกับพลเอกแซมโซนอฟ
ก่อนที่กองทัพของพลเอกเร็นเน็นแคมป์
จะเข้าแทรก
พลเอกฮินเด็นเบิร์ก พลตรีลูเด็นดอร์ฟและพันโทฮ็อฟมานวางแผนไว้ดังนี้ ให้
กองทัพที่20 เยอรมันที่แฟรงกีเนาถอนทัพโดยเคลื่อนกำลังไปทางตะวันตกเฉียงเหนือและเข้ายึดที่มั่นในตันเน็นเบิร์ก ด้าน
ทิศใต้ให้ขนส่งกองทหารจากโกนิกสเบิร์ก(Konigsberg)และจากวิสตูลาเข้า
ประจำแนวรบเตรียมเข้าโจมตีกองทัพรัสเซียที่อุสเดา(Usdau)หรืออุสโดวา
(Uzdowa) พร้อมกันก็เข้าโจมตีกองทัพ
รัสเซียที่บิช็อฟสไตน์(Bischofstein)หรือ
บีสซ์ทีนเน็ค(Bisztynek) และด้านตะวันออกเฉียงเหนือให้กองทัพเยอรมันที่อัล
เล็นสไตน์บุกเข้าโจมตีทางด้านหลังกองทัพของพลเอกเร็นเน็นแคมป์
วันที่26 สิงหาคม พลเอกฟรังซัวส์นำกองทัพที่1เยอรมันเคลื่อนกำลังมาจากทางทิศใต้เข้ายึดซีเบ็น(Seben) วันเดียวกันกองทัพรัสเซียถูกไล่ต้อนโดยกองทหารกองหนุนจากกองทัพ
เชลยศึกทหารรัสเซียในยุทธการตันเน็นเบิร์ก
ที่1 เยอรมันและจากกองทัพที่17 บริเวณ
ด้านทิศเหนือของบิสชอฟสเบิร์ก(Bis-
chofsburg)หรือบิสคูปิค(Biskupiec) จากนั้นก็เปิดการโจมตีปิดผนึกปีกกองทัพ
ของพลเอกแซมโซนอฟในด้านทิศเหนือ
กองทัพที่6 ของรัสเซียหลบหนีข้ามพรมแดนทางทิศใต้ของออร์เต็ลสเบิร์ก
(Ortelsberg)หรือซีต์โน(Szczytno)
กองทัพที่1 รัสเซียหลบหนีออกไปทาง
มลาวา(Mlawa) ส่วนกองทัพส่วนที่อยู่ตรงกลางของรัสเซียคือกองทัพที่13 กองทัพที่15 และกองทัพที่23 ถูกโอบล้อมจาก4 กองทัพเยอรมัน
พลเอกแซมโซนอฟยังไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดหายนะอย่างใหญ่หลวงขึ้นกับกองทัพ
รัสเซีย จนกระทั่งรุ่งเช้าของวันที่29 สิงหาคมเมื่อกองทัพรัสเซียเกิดการล่าถอยครั้งใหญ่ และตลอดวันนั้นกองทัพ
เยอรมันไล่ต้อนกองทัพรัสเซียลงสู่เวิ้งที่
ราบแห่งหนึ่ง วันที่30 และวันที่31 สิงหาคมกองทัพรัสเซียพยายามตีแหวกวงล้อมกองทัพของพลเอกฟรังซัวส์ และ
สำเร็จเฉพาะกองทหารรัสเซียที่หวนกลับเข้าไปยึดไนเด็นเบิร์ก(Neidenburg)หรือ
นิดซิกา(Nidzica) และพื้นที่แห่งนี้กองทหารรัสเซียหลบหนีไปได้ทั้งหมดภายในเวลาต่อมา ส่วนพื้นที่ในตันเน็นเบิร์กกองทัพเยอรมันควบคุมเชลยศึกทหาร
รัสเซียไว้ 120,000 นาย ในขณะที่กองทัพ
เยอรมันสูญเสียทหารไปทั้งสิ้นตัวเลขอยู่ที่ 10,000-15,000นาย
ความพ่ายแพ้และความสิ้นหวังครั้งนี้
ทำให้พลเอกแซมโซนอฟทำอัตวินิบาต
กรรมตัวเองด้วยปืนพกของเขา!
กองทัพเยอรมันที่กรุงบรัสเซลส์ประเทศเบลเยี่ยมในปี1914
กองทัพเยอรมันบุกเบลเยี่ยม
ระหว่างวันที่3 สิงหาคม-31 ตุลาคม1914
ในระหว่างนั้นพลเอกเฮ็ลมุธ ฟ็อน มองต์-
เคอตกลงใจว่าจะหลีกเลี่ยงการปฏิบัติการทางทหารกับความเป็นชาติเป็นกลาง
ของประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่จำเป็นจะ
ต้องเคลื่อนกำลังพลขนาดใหญ่ของกองทัพที่1 และกองทัพที่2 เยอรมันผ่านช่องทางเข้าไปยังเขตเมืองลีเอจ(Liege)ของ
เบลเยี่ยมซึ่งจะต้องผ่านพรมแดนต้องห้ามด้านทิศใต้ของชาวดัตช์ และเป็นเส้นทางที่ยากลำบากเพราะเต็มไปด้วยป่าไม้ในเขตป่าดงดิบของเทือกเขาอาร์เด็นส์
(Ardennes)ซึ่งเส้นทางที่จะผ่านนี้มีความ
กว้างไม่ถึงไมล์ และหุบเขาในเขตแม่น้ำ
เมิซและป้อมทหารที่แข็งแกร่งของเบลเยี่ยมจึงเป็นปราการที่น่าสะพรึงกลัวในการจะเปิดศึกทางพื้นดินของกองทัพ
เยอรมัน
กษัตริย์อัลเบิร์ตที่1(King Albert I)ของเบลเยี่ยมทรงวางแผนไว้ โดยการรวมกองทัพทั้งหมดของพระองค์ให้เข้าประจำแนวรบบริเวณแม่น้ำเมิซระหว่าง
เมืองลีเอจและเมืองนามัวร์(Namur)เพื่อ
ตรึงกองทัพเยอรมันให้ยาวที่สุดเท่าที่จะ
ยาวได้ พระองค์ตรัสว่า การจะไล่ล่ากอง
ทัพของพระองค์ให้ยอมจำนนนั้นทำได้ไม่ยาก หากรวมพลทั้งหมดของกองทัพข้า
ศึกเข้าโจมตีกองทัพของพระองค์ให้ราบ
คาบ
กองทัพเยอรมันบุกเบลเยี่ยม
เพียงครั้งเดียว ในเวลาเดียวกันทางด้านหลังของแม่น้ำสายเล็กๆสายหนึ่งชื่อว่า
แม่น้ำเกตต์(Gette River)ห่างจากเมืองลี
เอจไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ30 ไมล์
ขณะนั้นกองทัพอังกฤษและกองทัพฝรั่ง
เศสกำลังเตรียมความพร้อมโดยวางแผน
ให้กองทัพเบลเยียมตามป้อมปราการใน
เมืองลีเอจและเมืองนามัวร์ทำหน้าที่ถ่วงเวลาเพื่อรอคอยการบุกเข้าโจมตีทางด้าน
หลังกองทัพเยอรมันจากกองทัพอังกฤษ-
ฝรั่งเศส
ป้อมปราการในเขตเมืองลีเอจของเบล
เยี่ยมถือว่าเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่งที่สุดในยุโรป มีป้อมปราการเพื่อป้องกัน
ภายในเมืองถึง12 แห่งโอบ
ล้อมเมืองในรัศมีเส้นผ่าศูนย์กลาง10 ไมล์และติดตั้งป้อมปืนไว้ทุกแห่ง แต่จำ
นวนกองทหารเยอรมันที่บุกเข้ามาในเวลาเดียวกันคราวละ40,000 นายย่อมไม่เพียงพอในการจะป้องกันระหว่างแต่ละป้อม นี่คือความเชื่องช้าในการป้องกันเขตเมือง จึงทำให้กองทหารเยอรมันมีเวลาพอในการรวมพลและมีความพร้อมในการรุกรบ อีกอย่างคือเป็นเวลาหลายปีที่กองทัพที่1 และกองทัพที่2 เยอรมันมีการซ่องสุมกำลังพลและอาวุธอย่างเต็มพิกัดอยู่ใกล้ๆกับเขตพรมแดนของเบลเยี่ยม และปืนใหญ่อำนาจการทำลายล้างสูงของกองทัพเยอรมันถูกนำมาใช้ปฏิบัติการในระหว่างนั้น
ชาวเบลเยี่ยมในระหว่างเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
ทำให้กองทหารเบลเยียมตามป้อมปืนต่างๆบางครั้งต้องหยุดชะงักงัน และแผน
การของกองทัพเยอรมันคือการยิงปูพรมด้วยปืนใหญ่ทำให้กองทหารเยอรมัน
สามารถบุกทะลวงเข้าไประหว่างช่องพร้อมกันในหลายๆจุด ก่อนที่สะพานข้ามแม่น้ำและเขตการต่อสู้จะถูกยึดโดยกอง
ทัพเยอรมัน ในเวลาเดียวกันก็ตัดขาดกองทหารเบลเยี่ยมให้โดดเดี่ยวครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่กองทหารม้าเยอรมันจะบุก
ข้ามแม่น้ำในด้านทิศเหนือของเมืองลีเอจ
และบุกเข้าโจมตีป้อมปราการในด้านทิศตะวันตก
เช้าของวันที่4 สิงหาคม 1914 กองบัญชา
การใหญ่กองทัพเยอรมันมีคำสั่งให้ชะลอ
กอง
ทหารที่ข้ามพรมแดนเข้ามายังเบลเยี่ยม
และรุ่งเช้าวันต่อมาผู้บัญชาการกองทัพ
เบลเยี่ยมในเขตเมืองลีเอจคือพลเอก
เจอร์ราร์ด แม็ทธิว ลีมาน(Gen. Gerard
Mathieu Leman)ถูกเรียกตัวกลับเพื่อเข้าประชุมเรื่องการยอมจำนนในขณะที่
เขาเพิ่งจะมีคำสั่งให้ทำการโจมตีตอบโต้
ครั้งใหม่
ในขณะที่กองทหารเยอรมันบุกทะลวงเข้ามาระหว่างช่องว่างของแต่ละป้อมนั้น
พวกเขาพบกองทหารเบลเยี่ยมเพิ่งขุดร่องสนามเพลาะขึ้นมาใหม่ๆ กองทหาร
กลุ่มนี้ทำการต่อสู้อย่างห้าวหาญแม้จะเกิดความสูญเสียอย่างหนักแต่ก็ไม่มีผล
กระทบต่อความมุ่งมั่นของพวกเขา
พลเอกฟิลลิป เปแต็งผู้บัญชาการกองทัพฝรั่งเศส
ขณะนั้นกองทหารเยอรมันทำการบุกข้าม
แม่น้ำด้านทิศเหนือของเมืองลีเอจเป็นผล
สำเร็จ การเข้าโจมตีโอบล้อมเมืองด้วยกำ
ลังพลของกองทัพที่มากกว่าของฝ่ายเยอรมันเป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจ
พลเอกเจอร์ราร์ด แม็ทธิว ลีมานตัดสินใจ
แยกกองทหารออกจากกองพลของเขา
และส่งไปสมทบกับกองทัพใหญ่ด้านแม่
น้ำเกตต์ตามพระบัญชาของกษัตริย์อัล
เบิร์ต ก่อนที่เขาจะมีคำสั่งให้กองทหาร
ของเขาที่ทำการป้องกันอยู่ด้านนี้ยอมจำนนและวางอาวุธ จากนั้นเมืองลีเอจ
ของเบลเยี่ยมก็ตกอยู่ในการยึดครองของ
กองทัพเยอรมัน แต่ป้อมปราการที่อยู่ส่วน
อื่นในรอบนอก
ยังคงสู้รบต่อไปอย่างต่อเนื่อง ในวันที่12
สิงหาคมกองทัพเยอรมันนำปืนใหญ่โฮวิต
เซอร์(Howitzer)ขนาด42 ซ.ม. เข้ามายิง
ถล่มแต่ละป้อมปราการของเบลเยี่ยม ทำให้ป้อมปืนขนาด21 ซ.ม. ของกองทหารเบลเยี่ยมต้องถึงกาลพินาศป้อมแล้วป้อมเล่าจนเหลือเพียง2 ป้อมสุดท้าย
วันที่16 สิงหาคม กองทัพที่1 และกองทัพ
ที่2 เยอรมันเคลื่อนพลเข้ามาในพื้นที่เมืองลีเอจอีกละลอก แต่การสู้รบในเขต
เมืองลีเอจยังคงเกิดขึ้นเป็นบางครั้ง จนกระทั่งการรวมพลครั้งใหญ่ของกองทัพ
เยอรมันเสร็จสิ้นกองทหารทั้งหมดของ
กองทัพเบลเยี่ยมจึงยอมวางอาวุธ
การต้าน
ทานกำลังรบที่ไหลทะลักเข้ามาอย่างเต็ม
พิกัดของกองทัพเยอรมันระหว่างวันที่5-
16 สิงหาคม ที่จริงแล้วพลเอกลีมานได้ถ่วงเวลากองทัพเยอรมันเพียง2-3 วันเท่านั้น โดยกองทัพอังกฤษและกองทัพฝรั่งเศสไม่ทันมีเวลาเข้ามาช่วยเหลือใดๆ
หลังจากนั้นกองทัพที่1 และกองทัพที่2
เยอรมันก็มุ่งมั่นจะเข้าโจมตีกองทัพเคลื่อนที่ของเบลเยี่ยมภายใต้พระบัญชา
การของกษัตริย์อัลเบิร์ต แต่พวกเขาไม่
เคยพบพานแม้แต่เงาของกองทัพเบลเยี่ยมส่วนที่เหลือ เนื่องจากทักษะที่
ชาญฉลาดการถอนกองทหารภายในกองทัพเบลเยี่ยม และภายในวันที่20
สิงหาคมกองทัพที่1
และกองทัพที่2 เยอรมันก็เคลื่อนกำลังพล
ยาตราทัพเข้าสู่กรุงบรัสเซลส์เมืองหลวงของเบลเยี่ยม
กองทหารเยอรมันบุกลักเซมเบิร์กและเบลเยี่ยมปี1914
ยุทธการแนวรบด่านหน้าและกองทัพเยอรมันบุกเขตมาร์นใกล้กรุงปารีส
ระหว่างวันที่14-24 สิงหาคม 1914 เป็นยุทธการครั้งแรกในการเผชิญหน้าระหว่างกองทัพสัมพันธมิตรและกองทัพเยอรมันในแนวรบด้านตะวันตก ประกอบด้วยกองทัพ4 ฝ่ายคือ กองกำลังกองทัพอังกฤษ(British Expeditionary force)ชื่อย่อคือ BEF บัญชาการโดยจอม
พลเซ่อร์ จอห์น เฟร็นซ์(Field Marshal
Sir John French)ซึ่งทำหน้าที่นำกองทัพอังกฤษเร่งรุดเข้าไปปฎิบัติการช่วยเหลือ
กองทัพเบลเยี่ยม แต่ถูกรุกไล่และถูกโต้กลับออกมาโดยกองทัพที่1 เยอรมันที่มีกำลังรบที่แข็งแกร่งกว่า
ซึ่งบัญชาการโดยพลเอกอเล็กซานเดอร์
ฟ็อน คลัค(Gen. Alexander von Kluck)
ในยุทธการมองส์(Battle of Mons) เช่นเดียวกับกองทัพที่5 ฝรั่งเศสบัญชาการโดยพลเอกชาร์ลส์ แอล.เอ็ม.ลาแร็งซัค
(Gen.Charles L.M. Lanrezac)ที่ถูกรุก
ไล่ต้องถอยร่นออกมาโดย2 กองทัพ
เยอรมันคือกองทัพที่2 บัญชาการโดยพล
เอกคาร์ล ฟ็อน บูโลว์(Gen.Karl von Bu-
low)และกองทัพที่3 เยอรมันบัญชาการโดยพลโทบารอน แม็กซ์ ฟ็อน ฮูเซ็น(Col.
Gen. Baron Max von Hausen)ในการสู้
รบที่ยุทธการแซมเบอร์(Battle of Sam-
bre) และส่วนกลางของแนวรบทำหน้าที่โดยกองทัพ
ที่3 และกองทัพที่4 ฝรั่งเศสซึ่งจัดวางแนว
รบตามคำบัญชาการของพลเอกโจเซฟ
จ็อฟเฟอร์(Gen. Joseph Joffre)ซึ่งถูกตี
แตกจนเกิดระส่ำระสายในกองทัพโดย
กองทัพที่4 และที่5 เยอรมันซึ่งทำหน้าที่เป็นกองทัพขับเคลื่อนการบุกที่สำคัญโดยคำสั่งตามแผนของพลเอกเฮ็ลมุธ ฟ็อน มองต์เคอในยุทธการ อาร์เด็นส์(Battle of Ardennes) และทางด้านทิศใต้ทำหน้าที่บุกเข้าโจมตีโดย
กองทัพที่1 ฝรั่งเศสบัญชาการโดยพล
เอกออกัสแต วาย.อี.ดูไบล์(Gen.August- in Y. E. Dubail)และกองทัพที่2 ฝรั่งเศส
บัญชาการโดยพลเอกเอดัวร์ เดอ คูเรียส์ เดอ
กองทหารเยอรมันในฝรั่งเศส
กัสเต็ลเนา(Gen. Edouaed de Curieres de Castelnau) ในการบุกครั้งแรกของ
สองกองทัพฝรั่งเศสประสบความสำเร็จ
เพราะยึดได้แชบวก(Sarrebourg) แต่ต้องถอยร่นข้ามพรมแดนกลับมาเมื่อถูก
โจมตีตอบโต้อย่างหนักจากกองทัพที่6
เยอรมันบัญชาการโดยพลโทโจเซียส ฟ็อน เฮียริงเก็น(Col.Gen. Josias von Heeringen)และกองทัพที่7 เยอรมันบัญ
ชาการโดยมกุฏราชกุมารรูเพิร์ตแห่งบา
ราเวีย(Crown Prince of Baravia)ซึ่งทั้ง
สองกองทัพมีพลเอกคอนราด คราฟต์
ฟ็อน เด็ลเม็นซิงเก็น(Gen. Conrad
Krafft von Dellmensingen)เสนาธิการ
กองทัพ
เยอรมันให้การการหนุนหลัง
การสู้รบในเขตลอเรน อาร์เด็นส์ แซม-
เบอร์และและเขตมองส์เรียกว่า"ยุทธการ
ด่านหน้า" การสู้รบระหว่างวันที่20-23
สิงหาคมเป็นวันเวลาที่ทำการสู้รบหนัก
หน่วงที่สุด และมีทหารฝรั่งเศสเสียชีวิตและบาดเจ็บมากกว่า300,000 นาย
หลังจากมีการสู้รบที่ยุทธการด่านหน้ากองทัพเยอรมันยังคงรุกรบเข้าไปในพื้นที่ของประเทศฝรั่งเศสอย่างไม่ลดละ
หลังจากกองทัพอังกฤษได้ยกกองทัพเข้าไปต้านทานการบุกของกองทัพเยอรมันในยุทธการเลอ คาตู(Battle of Le Cateau)ในวันที่26 สิงหาคม 1914 ซึ่ง
ต้องพ่ายแพ้อย่างย่อยยับให้แก่
กองทัพเยอรมัน ส่วนอีกด้านหนึ่งกองทัพที่5 ฝรั่งเศสได้เสริมกำลังรบอย่างเข้มข้น
เข้าต้านทานการบุกของกองทัพเยอรมันในยุทธการกีส(Battle of Guise)และสามารถหยุดการรุกรบของกองทัพที่2 เยอรมันได้ภายใน36 ชั่วโมงทำให้กองทัพที่1เยอรมันเบนหน้าการโจมตีเข้ามาช่วยเหลือกองทัพที่2 ในเวลานั้น ในขณะที่พลเอกโจเซฟ จ็อฟเฟอร์ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการเรียกคืน
การการรวมพลเนื่องจากเกิดความประหวั่นพรั่นพรึงที่เกิดขึ้นภายในกอง
ทหารฝรั่งเศสเพราะถูกบุกเข้าโจมตีที่มั่น
อย่างหนักหน่วงและรุนแรงจากกองทัพ
เยอรมันจนกองทหาร
พลเอกเซ่อร์ ดักลาส เฮ็กผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษ
ฝรั่งเศสไม่อาจต้านทานได้ หลังจากนั้นผู้
บัญชาการกองทัพฝรั่งเศสจึงมีคำสั่งให้เคลื่อนย้ายกองทหารกลับเข้าไปตั้งรับใน
เขตกรุงปารีส และพลเอกอเล็กซานเดอร์ ฟ็อน คลัคผู้บัญชาการกองทัพที่1
เยอรมันจึงออกคำสั่งให้กองทัพของเขารุกรบติดตามเข้าไปจนถึงเขตแม่น้ำมาร์น
(Marne River)จนกระทั่งถึงวันที่5 กันยายน 1914 กองทัพทั้งสองฝ่ายก็ยันกำลังรบและพร้อมจะเปิดศึกครั้งใหญ่ใน
พื้นที่ติดกับเขตเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส
การสู้รบเริ่มขึ้นระหว่างวันที่5-9 กันยายน
1914 เมื่อพลเอกคลัคประเมินสถาน
การณ์ว่ากองทัพที่6 ฝรั่งเศส
บัญชาการโดยพลเอกโจเซฟ มัวเนารี (Gen. Joseph Maunoury)คือคู่ศึก
สำคัญที่กำลังคุกคามทางด้านหลังของ
เขาจึงออกคำสั่งให้กองทหารเยอรมันบุก
จากเขตมาร์นรุกขึ้นไปประจัญบานกับกองทัพที่6 ฝรั่งเศสของพลเอกมัวเนารี
จึงเกิดช่องว่างขนาดกว้างขึ้นระหว่างกองทัพที่1 และกองทัพที่2 เยอรมัน และช่องว่างที่ว่านี้จึงถูกบรรจุเต็มอัตราศึกจากกองทัพอังกฤษและกองทัพที่5 ฝรั่งเศสพร้อมกับกองทัพที่9 ฝรั่งเศสของ
พลเอกเฟอร์ดินานด์ ฟ็อซ(Gen. Ferdi-
nand Foch)ได้โหมบุกเข้ามาสมทบอย่าง
ต่อเนื่อง ทำให้กองทัพที่1 และกองทัพที่2
เยอรมันถูก
บุกเข้าโจมตีทางด้านหลังอย่างหนักหน่วงและรุนแรงจนแตกพ่ายไป หลังจากนั้นกองทัพเยอรมันจึงทำการล่าถอยครั้งใหญ่ก่อนจะกลับข้ามแม่น้ำเอน(Aisne River)ห่างจากเขตมาร์นขึ้นมาทางทิศเหนือ40 ไมล์
หลังจากนั้นกองทัพเยอรมันจึงจัดตั้งที่มั่น
ขึ้นอย่างน่าเกรงขามบริเวณชายฝั่งแม่น้ำ
เอน และที่มั่นแห่งนี้กองทัพเยอรมันเกิดความล้มเหลวหลายครั้งในความพยายามจะเข้าโจมตีที่มั่นข้าศึกที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม และฝ่ายสัมพันธมิตรก็มีความพยายามหลายครั้งในการจะปิดผนึกปีก
กองทัพในด้านทิศเหนือ ซึ่งความพยายามจะปิดเกมศึกของแต่ละฝ่ายคือ
ต้องการขยายแนวรบตามเขตแม่น้ำเอนไปทางทิศเหนือให้ยาวที่สุดเท่าที่จะยาวได้ และสุดท้ายต้องเข้าสู้รบกันอย่างหนักหน่วงและรุนแรงระหว่างเขตแม่น้ำลีส
(Lys River)และตลอดแนวชายฝั่งช่องแคบอังกฤษในยุทธการอีเปอร์ครั้งที่1(First Battle of Ypres)ระหว่างวันที่19 ตุลาคม-22 พฤศจิกายน 1914 กำ
ลังพลของฝ่ายสัมพันธมิตรคือเบลเยี่ยม
247,000 นาย ฝรั่งเศส 3,989,103 นาย
อังกฤษ 163,897 นาย รวมประมาณ
4,000,000 นาย ฝ่ายเยอรมันรวมกำลังพลประมาณ 5,000,000 นาย ทั้งฝ่ายเยอรมันและฝ่ายสัมพันธมิตรต่างมีความพยายามอย่างเต็มที่ในการจะ
พลเอกจอห์น เจ. เปอร์ซิงผู้บัญชาการกองทัพอเมริกันในสงครามโลกครั้งที่ 1
เอาชนะด้วยการโจมตี และสิ่งที่ติดตามมาคือการหลั่งเลือดจนนองแผ่นดินทั้งจากผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจนก่ายกองทั้งสองฝ่าย แต่สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายได้รับคือ
ความหายนะและความสูญเปล่า เมื่อเกิดความสูญเสียคู่สงครามทั้งสองฝ่ายต่าง
เริ่มขุดสนามเพลาะและสร้างแนวป้องกันที่แข็งแกร่งสำหรับยึดเป็นที่มั่น และได้
กระทำเช่นนี้ทั้งสองฝ่ายเกือบตลอด4 ปีที่
สงครามระเบิดขึ้น
กองทหารเซอร์เบียในสงครามโลกครั้งที่1
กองทัพออสเตรีย-ฮังการีบุกเซอร์เบีย
ในระหว่างวันที่28 กรกฎาคม 1914- วันที่
15 ธันวาคม 1915 เนื่องจากเขตแดนของบัลเกเรียซึ่งยังคงความเป็นชาติเป็น กลางขวางกั้นอยู่ทางทิศตะวันออกของพรมแดนเซอร์เบีย ในปี1914 กองทัพออสเตรีย-ฮังการีจึงรุกกองทัพเข้าโจมตี
เซอร์เบียได้เพียงด้านทิศเหนือลงมาทางด้านทิศตะวันตก การรุกกองทัพเข้ามาทางด้านนี้ของกองทัพออสเตรีย- ฮังการีจึงถูกขวางกั้นจากแม่น้ำดานูบ(Danube River) แม่น้ำซาวา(Sava River) และแม่น้ำดรินาซึ่งกว้างใหญ่และไม่มีเขตน้ำตื้น
พอที่จะข้ามได้ ด้านหลังของแม่น้ำเป็น
เทือกเขาที่ซับซ้อนและน่าสะพรึงกลัว
และเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการปฏิบัติการทางทหาร ขณะนั้นกองทัพออสเตรีย-
ฮังการีได้เปรียบด้านกำลังพลเป็นอันมาก
กองทัพเซอร์เบียทำได้เพียงการตรึงกำลังรบเข้าต้านทานข้าศึกและรอจนกว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของพลเอกราโดเมอร์ พุทนิคผู้บัญชาการกอง
ทัพเซอร์เบียที่ต้องการยันกองทัพข้าศึกไว้ในเขตพรมแดนตามสายแม่น้ำ ในขณะที่เขารวบรวมกำลังพลส่วนที่สำคัญไว้ที่ด้านทิศตะวันออกของเมืองวาลเจโว
(Valjevo)พื้นที่ด้านทิศตะวันตกของเซอร์
เบีย เมื่อ
ทัพออสเตรีย- ฮังการีบุกเข้ามายังจุดใด
เขาจะออกคำสั่งให้กองทัพเข้าต้านทานและทำการผลักดันอย่างหนักหน่วงและ
รุนแรง แม้ว่ากองทัพเซอร์เบียจะขาด
แคลนอาวุธปืน ปืนใหญ่และยานพาหนะ
สำหรับการขนส่ง แต่กองทหารของเขา
ส่วนมากจะเป็นทหารผ่านศึกจากสงคราม
บอลข่านที่เกิดขึ้นในปี1912-1913 หรือ
ล้วนแล้วแต่เป็นทหารที่เคยกรำศึกสงครามมาแล้วทั้งนั้น
วันที่12สิงหาคม1914 3กองทัพออสเตรีย
ซึ่งมีกำลังพล19 กองพลบัญชาการโดยพลเอกออสการ์ โปติโอเร็คเริ่มทำการบุก
เซอร์เบียครั้งแรก แผนของเขาคือให้กอง
ทัพที่2 บุกมาจากด้านทิศเหนือและ
1
กองทัพที่5 และที่6 ให้บุกเข้ามาจากทางด้านทิศตะวันตก ส่วนกองทัพเซอร์เบียมี
กำลังพล12.5 กองพลและรวมเป็นกองทัพขนาดเล็กและรวมกำลังทหารทั้งหมด
ประมาณ200,000 นายที่เข้าต้านทานกำลังรบจากฝ่ายออสเตรีย- ฮังการี
กองทหารส่วนหนึ่งที่แยกออกมาจากกอง
ทัพที่2ออสเตรียยึดได้เขตซาบัค(Sabac)
อย่างรวดเร็ว วันที่15 สิงหาคมกองทัพที่5
ออสเตรียบุกเข้าไปในเขตที่มีการป้องกันอย่างเหนียวแน่นจากกองทัพเซอร์เบียระ
หว่างแม่น้ำเจดาร์(Jadar River) วันต่อมา
พลเอกพุทนิคออกคำสั่งให้กองทัพเซอร์
เบียทำการโจมตีตอบโต้อย่างหนักและ
สามารถ
ผลักดันให้กองทัพออสเตรียถอยร่นออกไปจากพรมแดน และพลเอกออสการ์ล้ม
เหลวในการเรียกเสริมกองทัพเพื่อตีฝ่าแนวป้องกันที่แข็งแกร่งของกองทัพเซอร์
เบียในครั้งนี้ จากการเผชิญหน้าและถูก
โจมตีตอบโต้อย่างหนักทำให้กองทัพ
ออสเตรียเกิดสะบัดสะบั้นเหลือเพียง8
กองพลจาก16 กองพล ในเวลาเดียวกันกองทัพรัสเซียก็รุกไล่มาในเขตกาลิเซีย
และรุกกำลังรบทั้งหมดเข้ามาเผชิญหน้า
กับกองทัพออสเตรีย
วันที่8 กันยายน 1914 พลเอกออสการ์มี
คำสั่งให้กองทัพออสเตรีย-ฮังการีเปิดการ
โจมตีเป็นครั้งที่สองโดยการบุกข่ามแม่น้ำ
ดรินาและแม่น้ำซาวา
ในวันที่16 กันยายน กองทัพเซอร์เบียบุกเข้าโจมตีตอบโต้อย่างหนักก่อนจะหยุดชะงักการโจมตีเนื่องจากกองทัพออสเตรีย- ฮังการียังคงต้านทานและยึดครองที่มั่นระหว่างแม่น้ำสองสายนี้ไว้อย่างเหนียวแน่น การสู้รบตอบโต้ของกองทัพเซอร์เบียต้องหยุดชะงักลงแค่นัันเนื่องจากขาดแคลนปืนใหญ่พร้อมกับกระสุนและดินปืน หลังจากนั้นพลเอก
พุทนิคก็มีคำสั่งให้กองทัพเซอร์เบียสละ
แนวป้องกันในเขตที่สูงและเคลื่อนย้ายลงมาทางทิศใต้และเข้ายึดที่มั่นไว้ตลอดเขตพื้นที่ของเมืองวาลเจโว
วันที่ 5 พฤศจิกายน1914 พลเอกออสการ์
มีคำสั่งให้กองทัพ
ออสเตรีย- ฮังการีบุกเข้าโจมตีกองทัพ
เซอร์เบียเป็นครั้งที่สาม ในวันที่15 พฤศ-
จิกายนยึดพื้นที่ในเขตเมืองวาลเจโวไว้ได้ทั้งหมด ชาวเซิร์บอพยพหลั่งไหลออกจากกรุงเบลเกรดและกองทัพเซอร์เบียถูกรุกไล่ให้ถอยห่างออกมาจากเขตเมือง
วาลเจโวประมาณ20 ไมล์ แต่ขณะนั้นกองทัพเซอร์เบียมีขวัญและกำลังใจเป็นอย่างมากเมื่อกษัตริย์ที่ทรงชราภาพของ
เซอร์เบียคือกษัตริย์ปีเตอร์ที่1(King Peter I)ได้ปรากฏพระองค์ออกมาพร้อมกับพระแสงปืนยาวพร้อมกับชุดกระสุนและดินปืนเข้าสู่รบร่วมกับกองทหารเซอร์
เบีย
วันที่ 3 ธันวาคม 1914 กองทัพเซอร์
เบียทำการรุกรบอย่างหนักหน่วงและรุนเเรง วันที่9 ธันวาคมกองทัพออสเตรีย- ฮังการีเริ่มแตกพล่านจนพลเอกออสการ์มี
คำสั่งให้ล่าถอย และสุดท้ายกองทัพออสเตรีย- ฮังการีซึ่งเป็นฝ่ายบุกต้องกลับเป็นฝ่ายล่าถอยข้ามพรมแดนเซอร์เบีย
ออกมาในวันที่15 ธันวาคม และเนื่องจาก
ความโกรธแค้นและความชิงชังการสู้รบ
ของทั้งสองฝ่ายจึงเต็มไปด้วยความรุนแรงและความป่าเถื่อน และเนื่องจากทางออสเตรียประเมินว่า กองทัพรัสเซียจะเข้ายึดครองเขตกาลิเซียทั้งหมดจึงรีบถอยกองทัพกลับออกมา และในขณะที่ล่าถอยออกมา กองทหารออสเตรีย- ฮังการีต่างติดเชื้อ
ไข้รากสาดใหญ่ที่กำลังระบาดอย่างรุนแรงภายในกลุ่มกองทหารและประชา
ชนชาวเซอร์เบีย และในเดือนเมษายน
ปี1915 หลังจากเกิดความหายนะเนื่อง
จากความเคียดแค้นและชิงชัง ประมาณว่ามีกองทหารและประชาชนชาวเซอร์
เบียต้องสังเวยชีวิตให้กับการสู้รบมาก
กว่า70,000 คน
กองทหารเซอร์เบียกำลังเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่การสู้รบในปี1914
ต่อมาบัลเกเรียก็ก้าวเข้าสู่สงครามร่วมกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง ซึ่งในขณะที่กองทัพออสเตรีย- ฮังการีทำการบุก
เซอร์เบียนั้น ชาวเซิร์บต่างรู้เห็นการวางตัวอย่างไม่เป็นกลางของบัลเกเรีย ซึ่ง
หลังจากสงครามบอลข่านครั้งที่2 ยุติลงในปี1913 บัลเกเรียได้แสดงความอาฆาต
บาดหมางกับเซอร์เบียอย่างชัดแจ้งและยังคงแสดงความรู้สึกเช่นนั้นเรื่อยมา ใน
ฤดูใบไม้ผลิปี1915 เมื่อเยอรมันนำกอง
ทัพทำการกดดันฝ่ายสัมพันธมิตรเกี่ยว
กับช่องแคบตุรกีซึ่งมีความจำเป็นกับทางรถไฟสายแบกแดดที่เยอรมันต้องการ
จะเปิดเส้นทางผ่านเซอร์เบียและบัล
เกเรีย
เพื่อลำเลียงกองทหารเยอรมันพร้อมด้วย
อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆเข้าไปในตุรกี แผนการของเยอรมันคือต้องการให้บัลเก
เรียเข้าร่วมทำสงครามโจมตีเซอร์เบีย
กับฝ่ายตนและออสเตรีย- ฮังการี โดยบัลเกเรียจะได้รับพื้นที่ส่วนที่ยื่นออกมาของ
เซอร์เบียเป็นสิ่งตอบแทน ข้อเสนอนี้เป็น
ปฏิสัมพันธ์ที่บัลเกเรียพอใจมาก จนกระทั่งอังกฤษเกิดความล้มเหลวกับปฏิ
บัติการทางทหารในเขตช่องแคบดาร์ดะ
เนลส์ของตุรกี บัลเกเรียจึงตัดสินใจเข้าร่วมทำสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง
ต่อมาในวันที่6 กันยายน เยอรมัน ออส
เตรีย- ฮังการีและบัลเกเรียจึงเปิด
ประชุมและทำสัญญาร่วมกัน ก่อนที่
นายกรัฐมนตรีบัลเกเรียวาซิล ราโดสลา
วอฟ(Vasil Radoslavov)จะนำกองทัพเปิดศึกสงครามร่วมกับฝ่ายมหาอำนาจกลางในวันที่11 ตุลาคม 1915
การเคลื่อนพลของกองทัพบัลเกเรียเป็น
สัญญาณบอกเหตุให้เซอร์เบียเร่งเร้าฝ่าย
สัมพันธมิตรเข้าช่วยเหลือ แต่ขณะนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังประเมินสถาน
การณ์ว่าจะให้ความสำคัญกับสงครามใน
เขตบอลข่านมากน้อยเพียงไร จากกำลัง
พลที่มหาศาลของฝ่ายมหาอำนาจกลางที่รุกเข้ามาจ่อตามจุดต่างๆในเขตพรมแดน
เซอร์เบีย จึงเป็นการยากที่กองทัพเซอร์
เบียซึ่งมีกำลังพลรวมกันเพียง
300,000 นายจะรับมือได้ ด้านทิศเหนือกองทัพที่11 เยอรมันและกองทัพที่3 ออส
เตรียรวมกันจะบดขยี้กองทัพเซอร์เบียตั้ง
แต่ด้านทิศตะวันตกจรดทิศตะวันออกของกรุงเบลเกรด ส่วนด้านทิศใต้กองทัพที่1 และกองทัพที่2 บัลเกเรียบัญชาการโดยผู้บัญชาการบัลเกเรียกำลังเตรียมพร้อมในที่มั่นจากทางทิศเหนือจรดทางทิศใต้ของพรมแดนเซอร์เบีย ส่วนกองทัพ
เยอรมันที่เหลือและกองทัพที่อยู่ใกล้เคียงให้อยู่ในการบัญชาการของจอมพล
ออกัสต์ ฟ็อน แม็คเค็นเซ่น(Field Marshal August von Mackensen)ซึ่งจะทำหน้าที่แยกกองทัพเซอร์เบียให้ตัดขาดจากเส้นทาง
รถไฟสายซาโลนิกา(Salonika)ของฝ่ายสัมพันธมิตร
ในการเผชิญหน้ากับการเข้าโจมตีที่หนักหน่วงและรุนแรงจากฝ่ายมหาอำนาจกลาง กองทัพเซอร์เบียมีกำลังพล 200,000 นายที่แบ่งแยกออกมาจาก5 กองทัพ โดยมอบหมายให้กองทัพที่1 และกองทัพที่3 ทำการตั้งรับและเข้าประ
จัญบานตลอดแนวรบด้านทิศเหนือและที่
ติม็อค(Timok) และมอบหมายให้กองทัพ
ที่2 เซอร์เบียและกองทัพมาซีโดเนีย (Macedonian Armies) ทำหน้าที่ตั้งรับ
และเผชิญหน้ากับกองทัพบัลเกเรียตลอด
แนวรบ และเพื่อตอบโต้กองทัพที่มีกำลัง
พลมากกว่าจากฝ่ายเยอรมันและออส
เตรีย- ฮังการี
จอมพลออกัสต์ แม็คเค็นเซนกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์
เซอร์เบียจึงเลือกการโจมตีแบบสร้างจุด
อ่อนให้ข้าศึกโดยการเข้าโจมตีแบบแถว
หน้ากระดานเรียงยาว หลังจากมีการเข้า
โจมตีอย่างหนักถึงวันที่16ตุลาคม1915
กองทัพเยอรมันและกองทัพออสเตรีย- ฮังการีจึงสามารถข้ามแม่น้ำซาวาและแม่
น้ำดานูบได้ในวันต่อมา กรุงเบลเกรดแตกในวันที่19 ตุลาคม แม้ว่ากองทัพที่1 และกองทัพที่3 เซอร์เบียจะทำการโจมตีตอบ
โต้อย่างสุดความสามารถแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ด้านตะวันออกกองทัพบัลเก
เรียบุกข้ามพรมแดนเซอร์เบียเข้ามาในวันที่21 ตุลาคม และในวันที่28 ตุลาคมจอม
พลแม็คเค็นเซ่นนำกองทัพข้ามแม่น้ำ
ได้ทั้งหมดก่อนจะทำการโจมตีอย่างเต็มรูปแบบ กองทัพเซอร์เบียถูกรุกไล่จนถอยร่นลงมาทางทิศใต้และทางตะวันออกเฉียงใต้ก่อนที่กองทัพจะแตกพ่ายไปอย่างย่อยยับ จากนั้นกองทัพเซอร์เบียก็
ระเบิดทิ้งคลังเสบียงและคลังอาวุธพร้อมกับประชาชนพลเมืองก็หนีเอาตัวรอดจาก
ภัยสงคราม และสละทิ้งบ้านเรือนและโรงงานต่างๆเพื่อเข้าไปร่วมกับทางกองทัพที่แตกฉานซ่านเซ็นออกมา
ด้านทิศใต้ในขณะนั้น กองทัพที่2 บัลเก
เรียซึ่งมีกำลังพลมากกว่าได้ทำความแตก
หักและละลายกองทัพมาซีโดเนียในเวลาเดียวกัน และในวันที่31 ตุลาคมกองทัพ
บัลเกเรียก็ยึดได้
เมืองติต็อฟ เวลส์(Titov Veles)เมืองใน
ภาคกลางของมาซีโดเนียและยึดที่มั่นในที่นั้นไว้อย่างมั่นคงเพื่อเตรียมต้านทาน
กองทัพอังกฤษและกองทัพฝรั่งเศสอีก2
กองพลที่กำลังเคลื่อนพลมาจากซาโลนิกาในการจะเข้ามาช่วยเหลือเซอร์เบีย แต่ก็ช้าเกินการเพราะมีกำลังพลน้อยกว่า
กลางเดือนพฤศจิกายน 1915 กองทัพ
เซอร์เบียมีทางเลือกอยู่สองทางคือ การ
ยอมจำนนหรือการล่าถอยเข้าไปในเขต
ป่าภูเขาที่รกทึบ ซึ่งกองทัพเซอร์เบียเลือกการล่าถอย ซึ่งเป็นการล่าถอยที่
หฤโหดที่สุดในประวัติศาสตร์การทำสงคราม เนื่องจากถูกไล่ล่า ความหิวโหย
ท่ามกลาง
ความหนาวและความเย็นจัดของอากาศ
มีผู้เหลือรอดมาถึงฝั่งทะเลอะเดรียติก
150,000 คน ก่อนที่กองเรือของฝ่ายสัมพันธมิตรจะนำพวกเขาไปที่เกาะคอร์
ฟู(Corfu Island) หลังจากนั้นกองทหารกลุ่มนี้ก็ได้เข้าร่วมกับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรที่ซาโลนิกาประเทศกรีซ
มีทหารเซอร์เบียเสียชีวิตและบาดเจ็บจากการทำสงครามเนื่องจากความเคียด
แค้นชิงชังครั้งนี้มากกว่า100,000 นาย
และอีก160,000 นายถูกจับเป็นเชลย
จอมพลแม็คเค็นเซนและอดอล์ฟ ฮิตเลอร์พร้อมกับคณะผู้ใกล้ชิด
โฆษณา