28 มี.ค. 2023 เวลา 00:26 • ปรัชญา

วันก่อนได้เปิดคลิปของแจ๊ค แคนฟิลด์ให้ลูกชายฟัง

เป็นเรื่องของการตั้งเป้าหมายให้มีชีวิตในฝัน
.
วันนี้หุยได้แบ่งปันให้ลูกชายฟังว่า
หุยได้เรียนวิธีการนี้เมื่อประมาณ 5 ปีก่อน
และมันก็ Work กับหุยในตอนนั้น
คือเป้าหมายที่ตั้งไว้ใน Visual Board ปี 2018
เป็นจริงทุกประการ
ตอนนั้น หุยไม่เข้าใจว่าทำไมมันเป็นแบบนั้น
หุยรู้สึกว่า มันคือปาฎิหารย์
.
แต่เมื่อหลายวันนี้
หุยได้ฟังคลิปของหลายๆคน
ทั้งคลิปของ Jack Canfield เอง
ของ ดร.โจ ไวทาลี่ และ ลูอิส เฮย์
รวมทั้งของ ดร. ดีพัค โชปรา
หุยจึงเข้าใจว่า
เป็นมันเรื่องการจัดการกับการทำงานของจิตใต้สำนึก
มันเป็นเรื่องการเข้าใจกลไกกระบวนการทำงานของสมอง
มันไม่ใช่เรื่องไสยศาสตร์อะไร
เพียงแต่คนส่วนมากทำตามๆกัน
โดยไม่หาข้อมูลหรือเหตุผล
ว่ามันทำงานอย่างไร
แล้วคิดว่ามันคือเรื่องงมงาย
เป็นเรื่องศาสนา หรือเรื่องอะไรที่มันลี้ลับ
.
หลายปีมานี้ หุยฝึกตั้งเป้าหมายทุกปี
และ ทำแทบทุกเดือน ทุกวัน
การตั้งเป้าหมาย เป็นการ "ปักหมุด"ให้สมอง
ว่า วันนี้ เดือนนี้ หรือ ปีนี้ เราจะไปที่ไหน
.
ถ้าเราไม่มีการปักหมุด
สมองของเราจะคิดเปะปะไร้ทิศทาง
และมันจะไปตามจิตใต้สำนึกของสัตว์
คือ คิดถึงสิ่งที่เราวิตกกังวล กลัวว่าจะเกิดขึ้น
ซึ่งยิ่งคิด ก็เหมือนกับยิ่งดูดว่าสิ่งที่เราคิดเป็นจริง
.
เปรียบเสมือนคนที่มองหาแต่สีแดง
จะเห็นแต่สีแดง เต็มไปหมด
เพราะตาของเราไม่ได้สังเกตสิ่งอื่นๆ
.
ดังนั้นเราจึงต้อง เทรน หรือฝึกสมองและจิตใต้สำนึก
ให้มองหา และคิดแต่สิ่งที่ดี
สิ่งที่เราปรารถนา ชีวิตในฝัน ชีวิตที่พรั่งพร้อม
วิธีการที่ ลูอิส เฮย์ สอนคือ การ ย้ำจิตในทางบวก
หรือ วิธีการ Visulisation สร้างจินตนาการถึงชีวิตในฝัน
จึง Work
.
ถ้าเราไม่ระมัดระวังการ "ย้ำจิต"
ลองสังเกตดู เรามักจะบ่นนั่นบ่นนี้ ออกมา หรือในใจ
ทำไมคนนี้แย่แบบนี้ ทำไมคนนั้นทำอะไรงี่เง่าแบบนั้น
ทำใมประเทศนี้ห่วย ทำไมรัฐบาลเฮงซวย
และคนเราก็ชอบอ่านข่าวร้าย ดราม่ารุนแรง
หรือดูหนังผี ดูหนังโหดๆ ยิงกันตายเป็นเบื่อ
พวกนี้ เป็นเรื่องของการ "ย้ำจิต" หรือ Affirmation ทั้งสิ้น
แต่เป็นในเชิงลบ
ดังนั้นชีวิตของคนจำนวนมากจึงมีชีวิตที่ขึ้นๆลงๆ
เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย
เดี๋ยวโชคดี เดี๋ยวโชคร้าย
ชีวิตไม่มีความสุขอย่างแท้จริง
แล้วเราก็โทษดวงไม่ดี โชคชะตาไม่ดี
.
คนที่ประสบความสำเร็จ
เค้าจะ ย้ำจิตในเรื่องที่พาเขาไปประสบความสำเร็จ
เค้าจะพูดคุยกับคนที่ประสบความสำเร็จ
คนที่มีความร่มเย็นเบิกบาน
เค้าจะย้ำจิตในเรื่องที่ทำให้เค้าคิดในเชิงบวก
เค้าจะคบหาพูดคุยกับคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน
และเค้าจะก็มีความร่มเย็นเบิกบาน
เพราะจิตใต้สำนึกทำการมองหาสิ่งที่เค้าสนใจ
และเค้าก็จะมีชีวิตในแบบที่เขามองหา
.
ดร.โจ ไวทาลี่กล่าวว่า
จิตใต้สำนึก เหมือน "เด็ก"หรือ "หมาน้อย"
ถ้าเราไม่มอบหมายอะไรให้เค้าทำ
เค้าก็จะซนเล่น ทำบ้านรก ทำบ้านพัง อาละวาดไปเรื่อย
ดังนั้น เราต้องหาอะไรให้เค้าทำ
ทำไมเราไม่ให้เค้าตั้งเป้าหมายดึงดูดชีวิตในฝันล่ะ
.
1
เมื่อเราตั้งเป้าหมาย แล้วคิดเรื่องนั้นเรื่อยๆ
มันก็จะดึงดูดมาหาเรา
เหมือนกับที่เราตั้งเป้าหมายมองหาสีแดง
เราจะเห็นอะไรที่สีแดง เต็มไปหมด
.
แจ็ค แคนฟิลด์ บอกว่า
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การลงมือทำ
ถ้าโอกาสมา หรือ จิตใต้สำนึกดึงดูดสิ่งที่เรามองหามาแล้ว
แต่เรานั่งเฉยๆ ไม่ลงมือทำ
เราก็จะไม่ได้
ให้เราทำ ไม่ต้องรอ Perfect
ไม่ต้องรอเราพร้อม
เพราะถ้าไม่ทำ มีแต่ไม่สำเร็จ
แต่ถ้าเราลงมือทำๆๆ อย่างน้อยเราก็เข้าใกล้ความสำเร็จ
.
คนจำนวนมากมีชีวิตอยู่กับความกลัว
กลัวความล้มเหลว กลัวความเสียหาย
แต่เราควรจะถามตัวเองดู
ว่า ถ้าเราทำครั้งนี้ เราผิดพลาด
เราจะเสียหายแค่ไหน
ถ้าเราต้องเสียหายจนหมดตัว
เราอาจจะเลือกว่าเราจะทำหรือไม่
.
ชีวิตเหมือนการเดินไปบนถนน
เรามองเห็นทางข้างหน้าเหมือนจะเป็นทางตัน
แต่พอเดินไปจริงๆ อาจจะเห็นทางแยก
และในทางแยกก็อาจจะมีทางแยก
สิ่งที่สำคัญ คือเราต้องคุยกับจิตเบื้องสูงในตัวเรา
ว่า เราจะเลือกทางใด
.
เพราะถ้าเราฟังเสียงของสมองที่เต็มไปด้วยเหตุและผล
อาจจะมีหลายๆครั้งที่เราเลือกที่จะไม่ทำ หรือทำผิดๆ
เพราะ สมองของเราทำงานบนความกลัว
มันกลัวความผิดพลาด มันกลัวความเสียหาย
เพราะมันคือส่วนที่ทำงานบนพื้นฐานของการเอาตัวรอด
.
แต่ถ้าเราฟังเสียงของอารมณ์และความรู้สึก
มันจะเต็มไปด้วยความอยากไม่อยาก ชอบไม่ชอบ
ซึ่งอาจจะไม่ใช่ความจริง
.
การที่จะสื่อสารกับจิตเบื้องสูงของเรา
ที่จะกำกับจิตใต้สำนึกได้ เราต้องอาศัยความนิ่ง
การมีสติ และสมาธิ
ที่จะสัมผัสให้ได้ว่าในสถานการณ์นั้น เราควรทำอะไร
ดังนั้น นี่คือเหตุผลว่า
ทำไม เราทุกคนจึงควรฝึกสมาธิ
ไม่ว่าจะเป็นแนวทางของศาสนาไหนหรือแบบไหนก็ได้
ให้ตรงกับจริตของเรา
ในความเงียบแห่งจิต
เราจะได้ยินเสียงนำทางจากจิตเบื้องสูงของเรา
.
2
และนี่เป็นเหตุผลหลักที่หุยเริ่มสนใจการฝึกจิต
หุยฝึกจิตมาหลายปีแล้วค่ะ
เพราะเมื่อเราต้องทำงานกับการตัดสินใจในเรื่องใหญ่ๆ
และเป็นเรื่องของคนหลายๆคนที่เราช่วยโค้ช
เราต้องแยกสมอง ความคิด และอารมณ์ของเรา
ออกจากเรื่องราวที่เห็น
และมองเห็นความเป็นไปได้ของปัญหาของเค้า
และหลายๆครั้ง หุยเลือกที่จะไม่ใช้ปัญญาของหุยเอง
นอกจากของจิตเบื้องสูงของหุย และของคนที่หุยโค้ช
ซึ่งชาญฉลาดกว่าเราหลายๆๆล้านเท่า
.
 
ลองดูนะคะ Body, Mind, Emotion และ Spirit
ร่างกาย ความคิด ความรู้สึก และจิตวิญญาณของมนุษย์
ทำงานร่วมกันค่ะ
ถ้าเราทำให้เค้าทำงานสอดคล้องกัน
และส่งเสริมกัน
ชีวิตจะมีแต่ร่มเย็นเป็นสุข
จะมีแต่ปาฎิหารย์ในชีวิตของเราค่ะ
1
โฆษณา