29 มี.ค. 2023 เวลา 12:17 • กีฬา

อยู่ที่ไหน ไม่เคยเกิน 3 ปี ทำไมอันโตนิโอ คอนเต้ไม่เคยอยู่กับใครได้นาน

อันโตนิโอ คอนเต้ เป็นโค้ชที่การันตีผลงานได้เสมอ ไม่ว่าจะไปอยู่ทีมไหน ก็แทบจะได้แชมป์ตลอด แต่น่าแปลก ที่เขากลับไม่เคยได้คุมสโมสรไหนเกิน 3 ปีเลยสักครั้ง
1
จากวันแรก ที่ทำงานกับสโมสรอะเรซโซ่ ในปี 2006 จากวันนั้นจนถึงปัจจุบัน เขาทำงานไปแล้วกับ "9 ทีม" แป้บเดียวลาออก แป้บเดียวโดนไล่ออก ไม่เคยอยู่ที่ไหนนาน
ปัญหาสำคัญของคอนเต้ คือเป็นคนยึดมั่นในแนวทางของตัวเองอย่างชัดเจนที่สุด โดยไม่สนใจใครทั้งนั้น ถ้าคุณไม่ยอมทำตามสิ่งที่ผมต้องการ ผมก็ไม่อยู่ เรียบง่ายแค่นั้น
1
-----------------------
[ 2011-2014 ยูเวนตุส ]
ก่อนคอนเต้จะมา ยูเว่ของลุยจิ เดล เนรี่ อยู่ในช่วงตกต่ำสุดขีด จบอันดับ 7 ของเซเรีย อา มีแต้มตามหลังเอซี มิลาน ทีมแชมป์ถึง 24 คะแนน ไม่มีใครคิดว่าทีมระดับยูเว่จะเล่นได้แย่ขนาดนั้น
วันแรกที่คอนเต้ย้ายมาคุมยูเวนตุส เขาไปเก็บตัวปรีซีซั่น สำหรับฤดูกาล 2011-12 ที่เทือกเขาบาร์โดเนเคีย คอนเต้เรียกนักเตะทุกคนในทีมมารวมกัน แล้วพูดขึ้นมาว่า "ทุกคน เราจบอันดับ 7 มาสองฤดูกาลติดต่อกันแล้วนะ นี่มันบ้าชัดๆ มันรับไม่ได้ และผมไม่ได้มาสโมสรนี้เพื่อเล่นฟุตบอลที่ห่วยแตกแบบนั้น ได้เวลาแล้วที่เราจะเลิกกระจอกเสียที"
"ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ เล่นได้ห่วยบัดซบใน 2 ปีหลังสุด เราต้องตั้งสติและกลับมาเป็นยูเวนตุสอีกครั้ง การกอบกู้เรือลำนี้ ผมจะไม่ขอร้องแบบสุภาพหรอกนะ แต่นี่คือคำสั่ง สิ่งที่ผมขอพวกคุณมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น นั่นคือ ทำตามคำสั่งของผม"
คอนเต้ เป็นอดีตนักเตะยูเวนตุส ที่ลงเล่นมากกว่า 500 นัด เขารู้จักสโมสรแห่งนี้ดี เข้าใจแพสชั่นทุกอย่าง จึงรู้ว่าอันดับ 7 เป็นเรื่องที่รับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
ในช่วงแรกนั้น ด้วยความที่ยูเวนตุสล้มเหลวมา การได้ผู้นำที่ก้าวร้าวดุดันแบบนี้ ก็เป็นเรื่องดี เป็นการกระตุ้นให้ทุกคนตั้งใจเล่น ตั้งใจซ้อม
อันเดรีย ปิร์โล่ เล่าให้ฟังว่า "เมื่อไหร่ที่คอนเต้เปิดปากพูด ถ้อยคำของเขาจะทำร้ายคุณ คือเขาพูดแรงมาก แต่ก็ตรงมากเช่นกัน แม้แต่ผมเองก็เคยโดน หลายครั้งที่ผมโดนตำหนิผมจะคิดในใจกับตัวเองว่า 'เวรเอ๊ย คอนเต้พูดตรงๆ อีกแล้ววันนี้' คือตอนผมรู้ว่าจะได้ร่วมงานกับเขา ผมก็คิดว่าเขาน่าจะเป็นโค้ชที่ดีคนหนึ่ง แต่ไม่เคยคิดว่าจะยอดเยี่ยมขนาดนี้ ผมทำงานกับโค้ชมาแล้วหลายคน แต่เขาเป็นคนที่ทำให้ผมเซอร์ไพรส์มากที่สุด"
"คอนเต้เป็นโรคเกลียดความผิดพลาด เขาสนใจรายละเอียดที่เล็กที่สุด เขาใช้เวลานั่งดูวีดีโอของคู่แข่งเป็นชั่วโมง คิดมาเป็นอย่างดีแล้วว่าทำอย่างไรเราจะชนะ เมื่อเขาได้แท็กติกในใจแล้ว ก็จะอธิบายแผนเหล่านั้นให้นักเตะทุกคนรับรู้ ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะทำตามที่เขาคิดได้"
1
ปีแรกของคอนเต้ เขาพายูเวนตุสคว้าแชมป์เซเรียอาได้ทันที และสร้างประวัติศาสตร์ ไร้พ่าย ไม่แพ้ใครทั้ง 38 เกม เป็น The Invincibles
3
สิ่งที่คอนเต้ต้องการเสมอ คือทุกคนในสโมสรต้องทำตามสิ่งที่เขาต้องการ ทั้งผู้บริหาร ทั้งนักเตะ เพราะเขาเป็น Perfectionist คิดทุกอย่างรอบคอบมาดีแล้ว ถ้าไม่ได้สิ่งที่หวังไว้ จะโมโหมาก
ในฤดูกาลที่ 2 กับยูเว่ (2012-13) คอนเต้ได้แชมป์เซเรีย อา อีกครั้ง ด้วยผลงานน่าทึ่งมาก นั่นคือ ทั้งทีม ไม่มีใครยิงประตูได้มากกว่า 10 ลูก คนยิงสูงสุดให้ทีมคือ อาร์ตูโร่ วิดัล และ เมียร์โก วูชินิช ที่จำนวน 10 ประตู (ดาวซัลโวในซีซั่นนั้น คือเอดินสัน คาวานี่ - 29 ประตู) มันแสดงให้เห็นว่า คอนเต้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพานักเตะคนใดคนหนึ่งเป็นฮีโร่ แต่เขาสามารถใช้ทั้งทีมช่วยกันเล่นเกมรุก ช่วยกันเล่นเกมรับ จนทีมเป็นแชมป์ได้สำเร็จ
ปัญหาของคอนเต้ มาเกิดขึ้นในฤดูกาลที่ 3 (2013-14) จากสองเหตุผลหลักๆ คือ ความขัดแย้งกับนักเตะในทีม และความขัดแย้งกับผู้บริหาร
ในฤดูกาล 2013-14 ยูเวนตุสคว้าแชมป์ได้อย่างสบายๆ พวกเขาเล่นไป 37 นัด เก็บไปได้ 99 คะแนน เหลือเกมสุดท้ายกับกายารี่ ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2014 ซึ่งถ้าเกิดชนะได้ล่ะก็ ยูเว่ จะกลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลอิตาลีที่ทำคะแนนถึงหลักร้อยทันที มันคือประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก
ก่อนการแข่งกับกายารี่ จานลุยจิ บุฟฟ่อน กัปตันทีม ขอคุยเป็นการส่วนตัวกับคอนเต้ และ จูเซ็ปเป้ มาร็อตต้า ซีอีโอของทีม เพื่อคอนเฟิร์มเรื่องเงินโบนัสที่จะแจกจ่ายให้นักเตะหลังจบฤดูกาล
1
เรื่องนี้ทำให้คอนเต้โมโหรุนแรงมาก เพราะทีมกำลังจะลงเล่นเกมสำคัญขนาดนี้ แล้วพวกนักเตะยังมาโฟกัสเรื่องเงินทองอะไรกันอีก คอนเต้ด่าว่า "หุบปากไปซะจีจี้ นี่แกพูดบ้าอะไรวะ แกเงียบไปเลย ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันไม่ต้องการเห็นหน้าแกอีกแล้ว ออกไปซะ นี่ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องนี้จากแก จีจี้แกเป็นกัปตัน แต่กลับทำให้ฉันต้องผิดหวัง ไม่ต่างกับนักเตะคนอื่น ที่ทำตัวเป็นไอ้งี่เง่า ฉันผิดหวังพวกแกทุกคน"
2
สุดท้ายเกมนั้น ยูเว่ชนะกายารี่ 3-0 สร้างสถิติ 102 แต้มในลีกได้สำเร็จ แต่สิ่งที่คอนเต้ต้องแลกมา คือความสัมพันธ์กับกลุ่มนักเตะที่ตึงเครียดขึ้น บางคนก็กลัวคอนเต้ มองว่าโหดเฮี้ยบเกินไป แค่คุยธรรมดาๆ แต่พูดจาไม่ถูกหูขึ้นมา ก็โดนด่าทันที
1
นั่นคือความขัดแย้งแรก มาสู่ความขัดแย้งที่สองคือกับผู้บริหารของทีม นั่นเพราะ พอจบฤดูกาล คอนเต้บอกเป้าหมายที่ต้องการได้ตัวเพื่อใช้งานในซีซั่นหน้า นั่นคือ อเล็กซิส ซานเชซ (บาร์เซโลน่า) และ ฮวน กวาร์ดาโด้ (ฟิออเรนติน่า) ขอแค่ใครคนใดคนหนึ่งก็ได้ จะทำให้เกมรุกสมบูรณ์ขึ้น
1
แต่ผู้บริหารของยูเว่ ไม่สามารถซื้อตัวตามที่คอนเต้ต้องการได้ ในเคสของอเล็กซิส อาร์เซน่อลยอมจ่าย 42.5 ล้านยูโร พร้อมค่าเหนื่อยปีละ 7 ล้านยูโร ซึ่งยูเว่จ่ายไม่ไหว ต้องยอมแพ้ไป ขณะที่เคสของกวาร์ดาโด้ ด้วยความเป็นศัตรูคู่แค้น ระหว่างยูเว่ กับ ฟิออเรนติน่า ทำให้การดีลไม่สำเร็จ
นั่นทำให้คอนเต้พูดประโยคคลาสสิคว่า "คุณคงไม่กล้าเดินเข้าร้านอาหารที่ขายจานละ 100 ยูโร โดยมีเงิน 10 ยูโรในกระเป๋าหรอกนะ" ความหมายของเขาคือ สโมสรอยากให้ได้แชมป์ลีก อยากสร้างสถิติ อยากเข้ารอบลึกๆ ในแชมเปี้ยนส์ลีก ฯลฯ แต่กลับไม่สนับสนุนในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วจะทำงานกันยังไง
1
สุดท้าย คอนเต้แม้จะเหลือสัญญากับยูเว่อีก 1 ปี แต่เขาประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยกล่าวว่า "ผมไม่รู้สึกอยากจะทำอีกแล้ว ผมไปต่อไม่ได้ งั้นเราจบกันตอนนี้เลยดีกว่า" นั่นคือเหตุผลที่คอนเต้อำลายูเวนตุส แล้วไปรับงานคุมทีมชาติอิตาลีแทน
-----------------------
[ 2016-2018 เชลซี ]
เชลซี เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ในปีก่อนหน้านั้น เพราะโชเซ่ มูรินโญ่ โดนไล่ออก จึงต้องแต่งตั้งกุส ฮิดดิงค์มาเป็นโค้ชขัดตาทัพชั่วคราว จนจบซีซั่น จากนั้นโรมัน อบราโมวิช จึงจ้างคอนเต้ เฮดโค้ชทีมชาติอิตาลีเข้ามาคุมทีมแทน
ช่วงออกสตาร์ตฤดูกาล 2016-17 คอนเต้ไม่กล้าใช้ระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็กมาใช้กับเชลซี เพราะนักเตะชุดนี้ไม่คุ้นเคย ไม่รู้จัก ไม่เคยเล่น คอนเต้เริ่มต้นด้วยแผน 4-3-3 ไปก่อน
5 เกมแรกของซีซั่น เชลซีมีฟอร์มที่แย่มาก มีทั้งเสมอวสวอนซี และแพ้ลิเวอร์พูลคาบ้าน จากนั้นมาสู่นัดที่ 6 แค่เริ่มครึ่งแรกเท่านั้น พวกเขาโดนอาร์เซน่อลนำห่าง 3-0
ด้วยแผน 4-3-3 ของคอนเต้ มันต้านทานแผน 4-2-3-1 ของอาร์เซน่อลไม่ได้เลย แต่ในช่วงพักครึ่งมีเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุด นั่นคือคอนเต้เห็นแล้วว่า 4-3-3 มันไม่ไหวแล้ว จึงตัดสินใจเปลี่ยนระบบการเล่นระหว่างเกม มาใช้ 3-4-3 แทน ด้วยระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็กที่เขาคุ้นเคย
2
แกรี่ เคฮิลล์, ดาวิด ลุยซ์ และ บรานิสลาฟ อิวาโนวิช มาเล่นเซ็นเตอร์ 3 คน ส่วนเซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่ครึ่งแรกเล่นแบ็กซ้าย โดนจับโยกไปเล่นวิงแบ็กขวา ส่วน กองกลาง เชส ฟาเบรกาส โดนถอดออก แล้วส่งมาร์กอส อลอนโซ่ ลงเล่นเป็นวิงแบ็กซ้าย
การปรับแผนการเล่นมันทำให้เชลซีเล่นดีขึ้นชัดเจน คือถ้าวัดเฉพาะครึ่งหลังในเกมเจออาร์เซน่อลล่ะก็ เชลซีเล่นดีกว่าด้วยซ้ำ โอเคว่าเกมนี้ บทสรุปเชลซีแพ้ 3-0 แต่สิ่งสำคัญที่เกิดขึ้น คือมันทำให้คอนเต้ได้ "ไอเดีย" ว่าเชลซีแม้จะเป็นทีมจากอังกฤษ แต่ก็สามารถปรับมาใช้ระบบกองหลัง 3 คน ในสไตล์อิตาเลียนที่เขาคุ้นเคยได้
1
พอใช้แผน 3-4-3 เชลซีชนะรัวๆ เกมรับแข็งแกร่ง ส่วนตัวรุก ที่นำโดยเอแด็น อาซาร์, วิลเลียน และ ดีเอโก้ คอสต้า สามารถเจาะทะลวงใครก็ได้ สุดท้ายเชลซีก็ชนะเรื่อยๆ จนขึ้นมาอยู่เป็นจ่าฝูง และพอเป็นจ่าฝูงปั๊บ ก็อยู่บนนั้นถาวรจนเป็นแชมป์ไปเลย
เชลซี ของอันโตนิโอ คอนเต้ กลายเป็นทีมแรกในรอบ 54 ปี ของฟุตบอลอังกฤษ ที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ด้วยระบบ 3 เซ็นเตอร์แบ็ก ต่อจากเอฟเวอร์ตัน ของแฮร์รี่ แคทเทอริค ในปี 1963
ปัญหาที่ทำให้คอนเต้ เริ่มแตกหักกับเชลซี ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับที่ยูเวนตุส นั่นคือ มีปัญหากับผู้บริหาร และ นักเตะ
ผู้เล่นที่คอนเต้ต้องการจริงๆ อยากให้เชลซีเอามาให้ได้ มี 2 คน คือโรเมลู ลูกากู จากเอฟเวอร์ตัน และ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ จากเซาธ์แฮมป์ตัน ปรากฏว่า เชลซีพลาดทั้งสองคน ลูกากูไปแมนฯ ยูไนเต็ด ส่วนฟาน ไดค์ เลือกไปลิเวอร์พูล
คอนเต้บอกว่า "ถ้าได้ผู้เล่นแค่ 2 คนนี้เข้ามา จะทำให้ทีมของผมแข็งแกร่งขึ้น 30% การพลาดนักเตะระดับนี้ เท่ากับเราพลาดโอกาสที่จะทำให้เชลซี ยืนอยู่ในจุดสูงสุดไปอีกหลายปี"
จากนั้นเป้าหมายอีก 3 คนที่คอนเต้ต้องการ ทั้งไคล์ วอล์กเกอร์ , ลีโอนาร์โด โบนุชชี่ และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน สุดท้ายก็พลาดหมด
แม้แต่ เฟร์นันโด ยอร์เรนเต้ ที่คอนเต้ต้องการซื้อมาเป็นกองหน้าแบ็กอัพ ก็ยังพลาดท่า ซื้อไม่สำเร็จ ถึงตรงนี้คอนเต้ไม่พอใจสโมสรว่า "ไม่เชื่อใจดุลยพินิจของเขา" ว่านักเตะคนที่เขาอยากได้ ดีพอที่สโมสรจะทุ่มซื้อให้
ไม่ใช่แค่เรื่องตัวผู้เล่นที่ขัดใจกัน แต่คอนเต้ยังมีปัญหากับนักเตะในทีมด้วย โดยเฉพาะ ดีเอโก้ คอสต้า และ วิลเลียน
หลังจบฤดูกาล 2017-18 คอนเต้ส่ง sms ไปหาดีเอโก้ คอสต้าแล้วบอกว่า "สวัสดี ดีเอโก้ หวังว่าคุณจะสบายดี ขอบคุณสำหรับซีซั่นที่เราได้ทำงานร่วมกัน ขอให้โชคดีในปีหน้า แต่คุณไม่ได้อยู่ในแผนของผมอีกแล้ว"
ดีเอโก้ คอสต้า โกรธมาก และไม่ขอลงเล่นให้เชลซีอีก อยู่ๆ เจอ sms มาบอกกันแบบนี้ มันไม่ให้เกียรติกันชัดๆ อย่างน้อยโทรหาก็ยังดี
ขณะที่ผู้บริหารอย่างมาริน่า สกรานอฟสกาย่า รู้สึกว่าเหมือนถูกคอนเต้ล้วงลูก
ไม่ใช่แค่เหตุการณ์นี้ แต่มีอีกเรื่องตอนที่เชลซีได้แชมป์เอฟเอคัพ แล้ววิลเลียนลงรูปทีมฉลองแชมป์ในเวมบลีย์ ปรากฏว่า เขาเอาอีโมจิรูปโทรฟี่แชมป์ ไปแปะบังหน้าคอนเต้เอาไว้ เหมือนไม่อยากให้อยู่ในเฟรมด้วยกัน วิลเลียนนั้นไม่ชอบหน้าคอนเต้อย่างเปิดเผยมาก
บรรยากาศในทีมที่ไม่ดี ความขัดแย้งที่คอนเต้สร้างขึ้น บวกกับการจบฤดูกาลอันดับ 5 พลาดโควต้าแชมเปี้ยนส์ลีก แม้จะได้เอฟเอคัพ ก็ไม่เพียงพอ ทำให้คอนเต้โดนไล่ออกในที่สุด และได้คุมทีมเพียงแค่ 2 ฤดูกาลเท่านั้น
-----------------------
[ 2019-2021 อินเตอร์ มิลาน ]
อินเตอร์ มิลาน ไม่ได้แชมป์มานานมาก ครั้งสุดท้ายคือในปี 2010 ยุคของโชเซ่ มูรินโญ่ จนมาถึงยุคสมัยของอันโตนิโอ คอนเต้ ในที่สุด อินเตอร์ ก็หยุดอาณาจักรความยิ่งใหญ่ของยูเวนตุสลงได้สำเร็จ
คอนเต้ เปลี่ยนแปลงอินเตอร์หลายอย่างมาก แต่เรื่องที่เขาถูกยกย่องมากๆ จนถึงวันนี้ คือการเปลี่ยนลูกากู จากกองหน้าที่ตอนอยู่แมนฯ ยูไนเต็ด โดนแซวว่าเป็นไอ้ตู้เย็น ให้กลายเป็นกองหน้าที่เด็ดขาด และยิงประตูถล่มทลายจนทีมคว้าแชมป์ได้
ตอนที่แมนฯ ยูไนเต็ด ประกาศขายลูกากูนั้น อินเตอร์ยื่นเข้าไปก้อนแรกที่ 63 ล้านปอนด์ ซึ่งแมนฯ ยูไนเต็ดก็ไม่ขาย เพราะซื้อมาจากเอฟเวอร์ตันก็ 75 ล้านปอนด์แล้ว ไม่อยากขายให้ตัวเองขาดทุน
ตอนแรกอินเตอร์ก็จะชักปลั๊กทิ้ง แต่คอนเต้ขู่ผู้บริหารว่า นี่คือนักเตะสำคัญอันดับ 1 ที่ทีมต้องเอามาให้ได้ คอนเต้ถึงกับบินไปประเทศจีน เพื่อไปคุยกับสตีเว่น จาง เจ้าของสโมสรบอกว่า ยังไงก็ต้องเอาเท่านั้น สุดท้ายเจ้าของสโมสรอนุมัติงบ 73.7 ล้านปอนด์ และแมนฯ ยูไนเต็ด ตกลงที่ราคานี้
สิ่งที่ลูกากูได้เรียนรู้จากคอนเต้ตั้งแต่วันแรกคือ เขามีร่างกายแข็งแกร่งก็จริง แต่ความฟิตยังไม่มากพอ
"ในการซ้อมวันแรก ผมเริ่มต้นจากการเน้นที่เรื่องพละกำลังก่อน" ลูกากูกล่าว ซึ่งจะว่าไปแล้วก็น่าแปลก เพราะตามหลักคิดถึงกัลโช่ การฝึกซ้อมก็น่าจะเน้นพวกแท็กติกต่างๆ แต่ไม่เลย คอนเต้ฝึกซ้อมเรื่องพื้นฐานอย่างการวิ่ง เพื่อทำให้นักเตะฟิตสมบูรณ์ยิ่งกว่านี้
1
"ผมไม่ค่อยคุ้นชินกับความโหดขนาดนี้เท่าไหร่ คือปกติผมเล่นในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นลีกที่ต้องใช้พลังงานเยอะอยู่แล้ว แต่ช่วงตอนซ้อม ก็ไม่เคยซ้อมหนักขนาดที่อินเตอร์มาก่อนเลย คือที่นี่คุณต้องมีความฟิตสูงมากจริงๆ ผมคุยกับเอเยนต์แล้วบอกว่า 'ผมทรมานกับการซ้อม เพราะผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย' แต่พอผมบ่นไป แล้วเหลือบตาไปดูนักเตะคนอื่นรอบตัว ไม่มีใครบ่นอะไรสักคำ ทุกคนก้มหน้าก้มตาซ้อม"
การสร้างร่างกายให้ฟิตขึ้นของลูกากูเป็นส่วนสำคัญมาก เพราะคอนเต้ ต้องการใช้งานเขาในสไตล์ใหม่ นั่นคือ Play with your back to goal นั่นคือการยืนค้ำในแดนหน้าโดยเอาแผ่นหลังกระแทกกองหลังคู่แข่ง แล้วจ่ายบอลออกซ้าย-ขวา ให้เพื่อนร่วมทีม
1
"คอนเต้บอกผมตรงๆเลยว่า ถ้าผมไม่ซ้อมให้หนัก ผมจะเล่นไม่ได้ สิ่งสำคัญคือผมต้องเข้าใจวิธีการเป็นกองหน้าสไตล์หันหลังชนคู่แข่งก่อน"
นอกจากฝึกซ้อมตามรูทีนแล้ว ลูกากูยังมีโปรแกรมพิเศษ คือให้ลูกากูหันหลังหาโกล์คู่แข่ง จากนั้นจะเอาเครื่องยนต์ยิงลูกบอลที่ความเร็ว 30-40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พุ่งมาหาเขา ซึ่งลูกากูก็ต้องฝึกจับบอลให้ดี แล้วเลือกจ่ายออกซ้าย ออกขวา ให้เพื่อนที่เติมขึ้นมาด้านข้าง
2
"เมื่อก่อน ผมชอบยืนอยู่ด้านหลังกองหลัง ยืนห้อยในเขตโทษ แต่เดี๋ยวนี้ผมสปรินท์ตัวมาที่จุดนัดพบอย่างรวดเร็วมาก หลายๆครั้งเร็วกว่ากองหลังคู่แข่งเกือบ 2 วินาที" การฟิตร่างกายทำให้ลูกากูสปรินท์ตัวในระยะสั้นได้ดี เมื่อมาถึงจุดนัดพบได้เร็ว เอาหลังบังบอลไว้ ก็เปิดทางในการทำประตูได้หลากหลายขึ้น
"การฝึกหนักแบบคอนเต้ ไม่ใช่ของที่ผมชอบเลย แต่มันก็เติมเต็มผมในการรับบทบาทสำคัญ มันคือสไตล์ของชาคิล โอนีล ในบาสเกตบอลนั่นแหละ ใช้ร่างกายยืนค้ำในเขตโทษแล้วเลือกเองได้ ว่าจะเข้าทำเอง หรือจะจ่ายให้เพื่อนที่อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า"
ไม่ใช่แค่เรื่องการซ้อม แต่เรื่องโภชนาการ คอนเต้จับลูกากูเข้าคอร์ส Bresaola Diet บังคับเรื่องการกิน ให้กินแต่เนื้อสัตว์และผักเป็นหลัก จนน้ำหนักลดลงจากช่วงอยู่แมนฯยูไนเต็ดถึง 3 กิโลกรัม เขาผอมเพรียว และ มีความเร็วมากขึ้นกว่าเดิมโดยธรรมชาติ
 
สถิติต่างๆของลูกากูดีขึ้นอย่างชัดเจนแบบคนละเรื่อง ถ้าเทียบกับตอนอยู่แมนฯยูไนเต็ด เช่น เลี้ยงหลบคู่แข่งได้บ่อยขึ้น, สร้างโอกาสบ่อยขึ้น, แอสซิสต์บ่อยขึ้น, ยิงประตูบ่อยขึ้น
2
ก่อนที่บทสรุปนั้น ลูกากูจะยิงกระจุย จนอินเตอร์ มิลาน สามารถคว้าแชมป์กัลโช่ เซเรียอา ได้ในที่สุด ในซีซั่น 2020-21 เรียกได้ว่าการปั้นของคอนเต้ ทำให้เห็นผลจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้แชมป์เพียงแค่ไม่ถึงเดือน คอนเต้ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เหตุผลคือ อินเตอร์ มีงบประมาณน้อยลง เพราะปัญหาโควิด และเจ้าของสโมสรสตีเว่น จาง จำเป็นต้องลดค่าเหนื่อยทั้งทีมลงจากเดิม 15-20%
สื่อใช้คำว่า "ลดขนาดทีมลง" ผู้เล่นที่เป็นคีย์แมนของคอนเต้มาตลอด เช่น ลูกากู และ อัชราฟ ฮาคิมี่ ก็เตรียมถูกขาย เท่ากับว่าคอนเต้ต้องใช้งานนักเตะชุดที่มีคุณภาพน้อยลง แล้วคุณจะไปหวังป้องกันแชมป์ลีก หรือ ได้แชมป์ยุโรปได้อย่างไร เมื่อคุณภาพของทีมลดลงแบบนี้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร แต่เมื่อสโมสร ไม่สามารถรักษาสัญญาเรื่องการสร้างทีมให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ได้ คอนเต้ก็ลาออก ทั้งๆ ที่เหลือสัญญาอยู่ ยอมทิ้งเงิน 12 ล้านยูโรต่อปีไปเลย โดยไม่เสียดาย
1
-----------------------
[ บทสรุปของคอนเต้ ]
การที่เขาแยกทางกับสเปอร์ส ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะคอนเต้ เป็นคนที่ต้องการให้ทุกๆ อย่างเป็นไปอย่างที่เขาต้องการเท่านั้น อาจจะดูเหมือนเผด็จการ แต่มันก็คือวิธีการของเขา
สเปอร์สในปีแรกยุคของคอนเต้ ติดท็อปโฟร์ไปแชมเปี้ยนส์ลีก แถมพาซน ฮึง-มิน เป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกอีกต่างหาก ถือว่าฝีมือเขาไม่ธรรมดาอยู่ แต่ในปีที่สอง คอนเต้ก็เริ่มไม่ได้ผลการแข่งที่ต้องการ และยิ่งระเบิดลงในนัดล่าสุดกับเซาธ์แฮมป์ตัน ก็ไม่สามารถต่อติดกับสโมสรได้อีกต่อไป
2
บทสรุปเรื่องสไตล์ของคอนเต้ก็คือ ถ้าหากสโมสรไหนยินยอม ทำตามสิ่งที่เขาอยากได้ทุกอย่าง ก็แทบจะการันตีความสำเร็จให้เลย เพราะคอนเต้คือของจริง แท็กติกแน่น ซ้อมโหด ซ้อมดุ มีบารมีอีกต่างหาก
อย่างไรก็ตาม ในโลกของฟุตบอลยุคนี้ มันคงมีไม่กี่สโมสร ที่จะยอมทุกสิ่งทุกอย่างให้ผู้จัดการทีมขนาดนั้น คุณไม่คิดจะปรับตัวช่วยทีมกันหน่อยหรือ
2
ประโยค ที่บ่งบอกตัวตนของคอนเต้ได้ดีที่สุดนั้น เขาเคยพูดไว้ว่า "เมื่อคุณตัดสินใจเลือกโค้ชอย่างผมแล้ว คุณต้องรู้สิว่าผมเป็นคนแบบไหน ผมเปลี่ยนตัวตนไม่ได้หรอกนะ"
ผู้บริหารต้องหาซื้อนักเตะที่เขาต้องการมาให้ได้ ส่วนนักเตะก็ต้องศรัทธาเขาไม่ปีนเกลียว
ถ้าหากคอนเต้ไม่ได้รับสิ่งเหล่านี้ เขาก็ต้องอำลาทีมไป ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว
สำหรับสโมสรต่อไป ที่สนใจใช้บริการของคอนเต้ก็ต้องหักลบให้ดี ว่าคุณพร้อมซัพพอร์ทเขา 100% หรือไม่ ถ้าหากคำตอบคือ ใช่ ก็มีโอกาสสูงมากที่คอนเต้จะพาคุณประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
เพราะถ้าคำตอบคือ ไม่ นั่นหมายความว่า ต่อให้ได้ตัวไป ก็อาจต้องแยกทางกันง่ายๆ ในช่วงเวลาไม่เกิน 3 ปี เหมือนๆ กับทุกสโมสรที่เคยเป็นมา
#conteOUT
โฆษณา