31 มี.ค. 2023 เวลา 16:28 • กีฬา

คู่แค้นแต่ก็ยอมรับอีกฝ่าย เฟอร์กี้ ปะทะ เวนเกอร์

เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กับอาร์แซน เวนเกอร์ เป็นคู่ปรับที่ดวลกันดุเดือดที่สุดในพรีเมียร์ลีก
ทั้งคู่สร้างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล ให้กลายเป็นสองสโมสรระดับสุดยอดของฟุตบอลอังกฤษ
ทีมปีศาจแดงในยุคเฟอร์กี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมากถึง 13 สมัย เป็นสถิติที่เหลือเชื่อมากๆ ส่วนทีมปืนใหญ่ของเวนเกอร์ สามารถสร้างความมหัศจรรย์ไร้พ่าย The Invincibles ขึ้นมาได้ ซึ่งไม่เคยมีทีมไหนในอังกฤษ ทำได้มาก่อนเลยในรอบ 100 ปี
ด้วยความที่แย่งชิงความสำเร็จในช่วงเวลาเดียวกัน ทำให้ทั้งสองคนนี้ ไม่ได้มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน มีการจิกกัดกันตลอดเวลา คำพูด คำจา ดวลกันเดือด เฟอร์กี้ใส่เวนเกอร์ตรงๆ แล้วเวนเกอร์ก็ไม่ได้กลัว ตอบโต้กลับไปเหมือนกัน
- วันแรกที่เวนเกอร์ย้ายมาคุมอาร์เซน่อล ในเดือนกันยายน 1996 เขาย้ายมาจากนาโกย่า แกรมปัส เอจ ในเจลีก สื่อมวลชนชื่นชมว่า เวนเกอร์เป็นคนฉลาด พูดญี่ปุ่นได้ด้วย แล้วถามเฟอร์กูสันว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่จะเจอคู่แข่งที่ฉลาดขนาดนี้ เฟอร์กี้ตอบว่า "พูดได้หลายภาษาคือสัญลักษณ์ของความฉลาดใช่ไหม แต่รู้อะไรไหม ผมรู้จักเด็กอายุ 15 จากไอวอรีโคสต์ที่พูดได้ 5 ภาษาเหมือนกัน"
- ในฤดูกาล 1996-97 แมนฯ ยูไนเต็ด มีโปรแกรมบอลถ้วย ทำให้ตารางในพรีเมียร์ลีกต้องขยับไปให้ แล้วปรากฏว่า การขยับนั้นเป็นใจ เพราะจะทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดได้เวลาพักเพิ่ม เวนเกอร์เลยกล่าวว่า "โปรแกรมลีกที่เปลี่ยนไป ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ดหายเหนื่อย และสามารถชนะได้ทุกเกมที่ลงเล่น" เฟอร์กี้สวนกลับไปทันทีโดยบอกว่า "เขาควรเก็บความเห็นของตัวเองเอาไว้ใช้กับฟุตบอลญี่ปุ่นเถอะ"
2
- ในปี 2002 ตอนอาร์เซน่อลได้ดับเบิ้ลแชมป์ แต่เฟอร์กูสันแซะว่าจริงๆ แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด มีศักยภาพทีมที่เหนือกว่าอาร์เซน่อลเยอะ แต่ปีนี้เล่นพลาดเอง เวนเกอร์จึงสวนกลับไปว่า "ทุกๆ คน ก็คิดว่าเมียตัวเองที่บ้านหน้าตาสวยที่สุดทั้งนั้นแหละ"
9
- หลังจบเกมพรีเมียร์ลีก ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด จะเป็นธรรมเนียมที่เฟอร์กี้ จะเชิญผู้จัดการทีมคู่แข่งมาดื่มไวน์กัน แต่เวนเกอร์ไม่เคยไปร่วมวงด้วย เฟอร์กี้เล่าว่า "เวนเกอร์เป็นเพียงคนเดียวในพรีเมียร์ลีกที่ไมเคยมาดื่มไวน์กับผมที่ออฟฟิศ ทั้งๆ ที่มันเป็นธรรมเนียมในโอลด์แทรฟฟอร์ดเลยก็ว่าได้"
- ในปี 2004 เกมที่แมนฯ ยูไนเต็ด หยุดสถิติไร้พ่าย 49 นัดของอาร์เซน่อล หลังจบเกม เวนเกอร์เดินไปด่ารุด ฟาน นิสเตลรอย ที่ไล่เตะแอชลีย์ โคลหนักๆ หลายหนในเกม เฟอร์กี้เดินไปด่า บอกว่าถอยไป อย่ามายุ่งกับนักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด เวนเกอร์สวนกลับไปว่า "แล้วถ้าไม่ถอย แกจะทำไมล่ะ"
1
เวนเกอร์เคยให้สัมภาษณ์ว่า "การแข่งขันทำให้คุณเกลียดคู่แข่ง ผมคิดว่าเขาเกลียดผม และผมก็เกลียดเขาในบางครั้งเหมือนกัน"
ส่วนเฟอร์กูสันนั้น เคยถูกคนถามว่า ถ้ามีกระสุนนัดเดียว แล้วต้องเลือกว่าจะยิงใคร ระหว่างเวนเกอร์ กับ วิคตอเรีย อดัมส์ เขาจะใช้กระสุนนัดนั้นกับใคร เฟอร์กี้ตอบกลับไปว่า "ผมขอ 2 นัดเลยได้ไหม"
5
ความเดือดดาลของผู้จัดการทีมที่เกิดขึ้น เป็นการ Set the tone ให้นักเตะทั้งสองทีม เวลาเจอกัน ก็ดวลกันแบบลืมตาย
ไม่ว่าจะเป็น The Battle of Old Trafford ในปี 2003 จังหวะที่ปาทริก วิเอร่า โดนไล่ออก เขาวิ่งเข้าไปจะอัดฟาน นิสเตลรอย โดยกล่าวหาว่าเป็นไอ้ขี้ฟ้อง แล้วในเกมนั้นเอง ที่แมนฯ ยูไนเต็ดได้จุดโทษช่วงทดเจ็บ พอ ฟาน นิสเตลรอย ยิงชนคาน นักเตะอาร์เซน่อลทั้งทีมก็มารุมเย้ยหยัน และอัดฟาน นิสเตลรอย จนโดนแบนกันไปเป็นแถบๆ
เหตุการณ์ Pizzagate นักเตะอาร์เซน่อล ขว้างพิซซ่าใส่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในปี 2004 ซึ่งตอนแรก จับมือใครดมไม่ได้ ไม่รู้ว่าใครขว้าง แต่สุดท้าย มีคนยอมรับว่าทำ ในปี 2017 นั่นคือเชส ฟาเบรกาส
1
หรือสงครามในอุโมงค์ที่ไฮบิวรี่ ในปี 2005 ที่รอย คีน ชี้หน้าด่าวิเอร่าอย่างเดือดดาล จนทำให้บรรยากาศในสนามวันนั้น เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว
อาร์เซน่อล vs แมนฯ ยูไนเต็ด คือแมตช์ที่การันตีความเดือดทุกนัดไม่ว่าจะเล่นที่ไหน แต่นอกจากความเดือดแล้ว การดวลกันของพวกเขา ก็มีจังหวะมหัศจรรย์เกิดขึ้นนับไม่ถ้วน
1
เอฟเอคัพ นัดรีเพลย์ รอบรองชนะเลิศ ปี 1999 คงไม่มีใครลืม การลากเลื้อยปีศาจของไรอัน กิ๊กส์ ที่ยิงแสกหน้าเดวิด ซีแมนได้แน่ๆ เกมนั้น ถ้าอาร์เซน่อลหยุดแมนฯ ยูไนเต็ดได้ การคว้าสามแชมป์ก็จะไม่เกิดขึ้น
หรือประตูอันยอดเยี่ยมของ มาร์ก โอเวอร์มาร์ส ที่ทำให้อาร์เซน่อลบุกมาชนะถึงโอลด์แทรฟฟอร์ดในปี 1998 จนอาร์เซน่อลได้แชมป์ไปในซีซั่นนั้นด้วย
4
เฟอร์กูสัน vs เวนเกอร์ นี่คือการดวลกันที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพรีเมียร์ลีก ทั้งสองคนเป็นคู่ปรับกันอย่างแท้จริง จนถึงวันสุดท้ายในสนาม
1
เฟอร์กูสัน อำลาแมนฯ ยูไนเต็ด ในปี 2013 เขาพาทีมปีศาจแดงขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษ แชมป์ลีก 20 สมัย ยังไม่เคยมีทีมไหนไปถึงได้ แต่เฟอร์กี้ทำได้
ส่วนเวนเกอร์ เขาอำลาอาร์เซน่อลในปี 2018 จำนวนแชมป์ลีกอาจจะได้แค่ 3 สมัย แต่อิทธิพลของเวนเกอร์มากมายกว่าโทรฟี่ เขาช่วยบริหารระบบการเงินของสโมสร จนสามารถสร้างเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมอันยิ่งใหญ่ได้ ถ้าดูจากงบประมาณที่แทบไม่มีเลย ในช่วงหลังๆ การที่เวนเกอร์ทำทีมติดท็อปโฟร์ได้ทุกปี และคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้เรื่อยๆ นับว่าเป็นสิ่งทีน่าทึ่งมากแล้ว
สำหรับเฟอร์กูสัน กับ เวนเกอร์นั้น ในช่วงที่ยังปะทะกันอยู่ พวกเขาอาจจะเกลียดชังกันก็จริง แต่พอรีไทร์กันทั้งคู่แล้ว ทั้งสองคนจึงเริ่มต้นคุยกัน และได้เข้าใจว่า นิสัยหลายๆ อย่างคล้ายกันกว่าที่คิด
ทั้งคู่มี Passion อย่างแรงกล้าต่อชัยชนะเหมือนกัน ต้องการอำนาจสิทธิขาดในการบริหารทีมทั้งหมด ชอบกุมทุกอย่างเอาไว้กับมือตัวเอง มีความเผด็จการคล้ายๆ กัน
1
ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกัน ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ในวันที่เวนเกอร์ประกาศรีไทร์ ในนัดสุดท้ายที่อาร์เซน่อลมาเยือนแมนฯ ยูไนเต็ดที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เฟอร์กูสันที่อำลาวงการไปแล้วหลายปี เป็นคนมอบของขวัญให้เวนเกอร์ด้วยตัวเอง นี่เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก
เวนเกอร์ให้สัมภาษณ์กับ สำนักข่าว The Times ว่า "เรามีความเคารพระหว่างกันนะ ใช่ มันมีช่วงเวลาที่ตึงเครียดมากๆ ความเดือดดาลที่เกิดขึ้นมันก็มีจริง แต่เมื่อคุณไม่ได้แข่งขันกันอีกแล้ว มันก็ไม่ต้องทะเลาะอะไรกันอีก และความจริงก็คือ ผมมีเบอร์โทรศัพท์ของเขาในเครื่องด้วย"
1
ทั้งคู่พัฒนากลายมาเป็นเพื่อนกัน ซึ่งไม่น่าเชื่อจริงๆ จากคนที่เคยเกลียดกันซะขนาดนั้นในช่วงหนึ่ง เวลาผ่านไป ความรู้สึกก็เปลี่ยนแปลง
เมื่อวานซืน Premier League Hall of Fame ประกาศรายชื่อ ผู้เข้าหอเกียรติยศในปีนี้ โดยจะมีหมวดหมู่ "ผู้จัดการทีม" เข้ามาติดด้วยเป็นปีแรก ซึ่งก็ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์ ที่เฟอร์กูสัน กับเวนเกอร์ จะมีชื่อติดเข้ามาพร้อมกัน พวกเขายิ่งใหญ่ คู่ควรแล้วจริงๆ
2
เวนเกอร์กล่าวถึงการเข้าหอเกียรติยศว่า "ผมรู้สึกภูมิใจอย่างมากที่ถูกคัดเลือกจากพรีเมียร์ลีก ตลอดอาชีพของผม ต้องการจะมอบสิ่งพิเศษให้กับแฟนบอล คือถ้าใครสักคนจะคิดถึงผม อยากให้คิดถึงว่าผมเป็นคนที่รักสโมสรอาร์เซน่อล และให้คุณค่ากับสโมสรอย่างแท้จริง"
1
"การได้เข้าหอเกียรติยศพร้อมกับเซอร์อเล็กซ์ เกียรติอันยิ่งใหญ่ของผม เราสองคน เหมือนนักมวยที่ขึ้นชกกันอย่างบ้าคลั่ง พอหมดยกเราก็แยกไปอยู่มุมของตัวเอง แต่พอจบไฟต์แล้ว เรามีความเคารพให้กัน และมันก็เป็นเรื่องดีนะ ที่เราสองคนจะมานั่งคุยกันอีกครั้ง กินไวน์ดีๆ ร่วมกันสักขวด แล้วนั่งคุยเรื่องสงครามในสนามฟุตบอลที่เราปะทะกันมาตลอดอาชีพ"
4
ขณะที่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันได้กล่าวว่า "ผมยินดีจริงๆ ที่ได้รับเลือกเข้าหอเกียรติยศ มันภูมิใจนะที่คุณถูกจดจำในสิ่งที่คุณทำได้แบบนี้ หน้าที่ของผมตอนเป็นผู้จัดการทีม คือให้ความสุขกับแฟนบอล เพื่อจะทำให้พวกเขากลับบ้านอย่างแฮปปี้ที่สุด นอกจากนั้น การคุมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันมีประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ค้ำคออยู่ ดังนั้นผมต้องพัฒนานักเตะให้แข็งแกร่งเพื่อตอบสนองความความคาดหวังเหล่านั้นให้ได้ด้วย"
2
"กับอาร์แซนนั้น ผมรู้สึกว่าเขาคู่ควรมากๆ ที่จะเข้าหอเกียรติยศ เพราะเขาเปลี่ยนแปลงสโมสรอาร์เซน่อลไปอย่างสิ้นเชิง อาร์เซน่อลกลายเป็นทีมที่เอาชนะได้ยากมากๆ และด้วยความที่เราทั้งคู่ก็อยากชนะ มันช่วยผลักดันเราสองคนให้เดินหน้าไปได้ไกลขึ้นกว่าเดิม"
1
"ตั้งแต่อาร์แซนรีไทร์จากการเป็นผู้จัดการทีมแล้ว เราสองคนมีโอกาสไปกินอาหารกันที่ร้านอาหารเล็กๆ ที่สวิตเซอร์แลนด์ ที่อาร์แซนรู้จักดี เขาเป็นคนที่น่าสนใจเอามากๆ และผมก็ชอบนะที่ได้นั่งคุยกับเขา แต่อย่าลืมว่า หน้าที่เลือกไวน์ มันต้องเป็นของผม!"
2
จากคนสองคน ที่ไม่เคยดื่มไวน์ด้วยกันที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ในวันนี้พวกเขาสองคน นั่งดื่มไวน์และคุยกันเรื่องความหลังที่ร้านอาหารในสวิตเซอร์แลนด์ ไม่มีเหลือบรรยากาศของการเกลียดชังใดๆ กันอีก มีแต่การยอมรับในตัวอีกฝ่ายล้วนๆ
1
จริงๆ ทั้งคู่ยอมรับกันมาตลอด พวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน เพียงแต่ด้วยสงครามที่กำลังต่อสู้กันอยู่ จะให้ไปญาติดีกัน ก็คงไม่ได้จริงๆ
เรื่องราวของเฟอร์กูสัน กับ เวนเกอร์ จะเป็นตำนานในฟุตบอลอังกฤษไปตลอดกาล นี่คือสองคนที่แปลงโฉม แมนฯ ยูไนเต็ด และ อาร์เซน่อล ให้กลายเป็นสองทีมที่แข็งแกร่งที่สุดในอังกฤษในช่วงเวลาหนึ่ง
2
ท่ามกลางดราม่าสารพัด ตอนที่สู้กันอยู่ มาตอนนี้สงครามจบแล้ว และทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
1
สุดท้ายต้องขอแสดงความยินดีกับ เซอร์ อเล็กซ์ และ อาร์แซน เวนเกอร์ด้วย ที่เข้าสู่ฮอล ออฟ เฟม ของพรีเมียร์ลีก เรียบร้อยแล้ว คู่ควรอย่างมากจริงๆ
1
เรื่องราวของทั้งคู่ สามารถหยิบมาพูดถึงได้มากมายไม่รู้จบ และโมเมนต์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะอยู่ในความทรงจำของแฟนฟุตบอลไปตลอดกาลอย่างแน่นอน
โฆษณา