3 เม.ย. 2023 เวลา 01:54 • กีฬา

เมื่อเชลซีกล้ายอมรับ ว่าที่ผ่านมาเลือกคนผิด

หลังจากที่เชลซีตัดสินใจปลด แกรห์ม พ็อตเตอร์ ออกจากตำแหน่งเฮดโค้ชของทีมชุดใหญ่เสียทีไปเมื่อคืนนี้ เท่ากับว่าฤดูกาล 2022-23 คือซีซั่นแรกในประวัติศาสตร์ของทีมสิงโตน้ำเงินคราม ที่มีการไล่กุนซือถึง 2 คนในฤดูกาลเดียวกัน
ขนาด โรมัน อบราโมวิช ที่ว่าเป็นเจ้าของทีมที่เลือดเย็นสุดๆ ยังไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเลยนะครับ เพราะในยุคของอดีตเจ้าของทีมชาวรัสเซีย ถ้าหากมีการปลดกุนซือคนไหนในช่วงระหว่างฤดูกาล เขาจะให้โอกาสคนที่แต่งตั้งมาคุมแทนทีหลังได้ทำหน้าที่อย่างน้อยจนจบซีซั่นเสมอ
อย่างไรก็ตาม การเพิ่งแยกทางกับพ็อตเตอร์ น่าจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ของ ท็อดด์ โบห์ลี่ มากกว่าจะบอกว่าเจ้าของทีมชาวอเมริกันมีความอดทนน้อยกว่าเสี่ยหมี
ผิดพลาดที่กล้าไว้ใจให้สัญญา 5 ปี กับคนที่เคยพาไบรท์ตันมีเปอร์เซ็นต์ชนะรวมทุกรายการแค่ 31.1% จากการคุมทีม 135 นัด แถมยังทุ่มค่าจ้างมหาศาลสูงถึงปีละ 12 ล้านปอนด์ ซึ่งมากกว่าที่ มิเกล อาร์เตต้า ได้จากอาร์เซน่อล และ เอริค เทน ฮาก ได้จาก แมนฯ ยูไนเต็ด เสียอีก
ไม่ใช่แค่ทุ่มทุนสร้างกับพ็อตเตอร์แบบมหาศาลเท่านั้น แต่ในตลาดซื้อขายเดือนมกราคมที่ผ่านมา สโมสรยังเทงบสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 323 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติการใช้งบประมาณซื้อนักเตะมากที่สุดตลอดกาลในตลาดเดียว ทว่าผลงานหลังจากช็อปปิ้งครั้งใหญ่ที่ว่า ไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นเลย
2
สุดท้าย จากที่ ท็อดด์ โบห์ลี่ วางแผนไว้ว่าจะให้กุนซือคนแรกที่ตนเองเลือกมาคุมเชลซีในยุคของเขาได้อยู่ทำทีมระยะยาวถึง 5 ปี กลับต้องมายกเลิกสัญญากันหลังร่วมงานกันไปได้แค่ 7 เดือน
เชลซีแต่งตั้ง แกรห์ม พ็อตเตอร์ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2022 โดยทุ่มเงิน 21.5 ล้านปอนด์ดึงตัวเขาและทีมงานมาจากไบรท์ตัน พร้อมให้สัญญายาว 5 ปี
เรื่องตลกร้ายก็คือ จากที่ แกรห์ม พ็อตเตอร์ ถูกวางตัวว่าจะให้เป็นคนที่ค่อยๆ พัฒนาเชลซีเติบโตไปเรื่อยๆ ในระยะยาว แต่ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นกุนซือที่ได้สัญญาคุมทีมถาวรของเชลซีที่มีอายุงานคุมทีมสั้นที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก โดยได้ทำหน้าที่เพียง 31 นัดรวมทุกรายการเท่านั้น
สถิติเดิมเป็นของ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ อดีตเฮดโค้ชชาวบราซิเลียน ที่ได้คุมทีมไปทั้งหมด 36 นัดในฤดูกาล 2008-09
การได้คุมทีมแค่ 31 นัด ทำให้พ็อตเตอร์มีอายุงานคุมทีมสั้นกว่า ราฟาเอล เบนิเตซ ที่เข้ามาคุมทีมด้วยสัญญาชั่วคราวแทนที่ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ในฤดูกาล 2012-13 ด้วยซ้ำ โดย “เอล ราฟา” คุมสิงห์บลูส์ไป 48 เกมรวมทุกถ้วย และพาทีมทำผลงานน่าพอใจด้วยการคว้าแชมป์ ยูโรปา ลีก แถมยังจบอันดับ 3 ในลีกได้
ว่ากันถึงผลงาน ก็ต้องบอกว่าพ็อตเตอร์เลวร้ายยิ่งกว่ากุนซือคนไหนๆ ในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ยุคเสี่ยหมี เพราะเขากลายเป็นเฮดโค้ชที่มีสถิติคุมเชลซีแย่ที่สุดในยุคพรีเมียร์ลีก โดยคุมทีมไปทั้งหมด 22 นัดในลีก ชนะได้แค่ 7 นัด เสมอ 7 แพ้ 8 เก็บได้แค่ 28 แต้ม ถือว่าได้แต้มเฉลี่ยต่อเกมเพียง 1.27 แต้ม และมีเปอร์เซ็นต์ชนะแค่ 31.82% เท่านั้น
มาตรฐานแบบนี้อย่าว่าแต่หวังพาเชลซีติดท็อปโฟร์ เอาแค่ทำอันดับให้อยู่ครึ่งบนของตารางแบบสบายใจ เรื่องนั้นพ็อตเตอร์ยังทำไม่ได้
โปรแกรม 10 นัดสุดท้ายในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ ทีมสิงห์บลูส์ต้องเจอกับคู่แข่งที่อยู่ครึ่งบนของตารางอีกถึง 7 เกม ได้แก่ ลิเวอร์พูล (เหย้า), ไบรท์ตัน (เหย้า), เบรนท์ฟอร์ด (เหย้า), อาร์เซน่อล (เยือน), แมนฯ ซิตี้ (เยือน), แมนฯ ยูไนเต็ด (เยือน) และ นิวคาสเซิ่ล (เหย้า)
จากสถิติของพ็อตเตอร์ที่ไม่สามารถพาเชลซีเอาชนะทีมในกลุ่มลุ้นพื้นที่ยุโรปได้เลย บอร์ดบริหารจึงต้องรีบปลดก่อนที่อันดับของทีมจะร่วงลงไปต่ำกว่านี้ เพราะมันมีความเป็นไปได้สูงมาก ที่พ็อตเตอร์จะพาทีมแพ้เพิ่มอีกไม่ต่ำกว่า 5 นัดในช่วงท้ายซีซั่น หากดูจากโปรแกรมว่าต้องเจอกับทีมไหนอีกบ้าง
อันที่จริง หลังจบเกมแพ้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ 2-0 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ มีรายงานว่ากุนซือชาวอังกฤษกำลังจะชะตาขาดอยู่แล้ว แต่เขาฮึดพาทีมไม่แพ้เลยตลอดทั้งเดือนมีนาคม (ชนะ 3 เสมอ 1) โดยพาทีมพลิกสถานการณ์ผ่าน โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ จึงได้ดื้นรนต่ออีกเฮือก
แต่การแพ้ แอสตัน วิลล่า คาบ้านแบบน่าผิดหวังเมื่อวันเสาร์ กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่บอร์ดบริหารหมดความอดทนในที่สุด
หลังจากแพ้ แอสตัน วิลล่า คาบ้าน 0-2 เมื่อวันเสาร์ ทำให้บอร์ดบริหารเชลซีตัดสินใจไม่อดทนกับพ็อตเตอร์อีกต่อไป
ก่อนหน้านี้ แกรห์ม พ็อตเตอร์ เคยยกเคสของ มิเกล อาร์เตต้า กับอาร์เซน่อลเป็นตัวอย่าง กับการที่ต้องให้เวลาคุมทีมอย่างน้อย 3 ปีกว่าจะทำให้ทีมทำผลงานดีต่อเนื่องได้ แล้วสุดท้ายก็ทำทีมลุ้นแชมป์ลีกได้จริงๆ ในตอนนี้ รวมไปถึง เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่กว่าจะพาลิเวอร์พูลคว้าโทรฟี่แรก ก็ต้องรอจนถึงฤดูกาลที่ 4 ถึงได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาใช้ในการพยายามบอกแฟนบอลเชลซีให้อดทน
แต่สิ่งที่แตกต่างไปจาก อาร์เตต้า และ คล็อปป์ นั่นก็คือพ็อตเตอร์ที่ได้ผู้เล่นใหม่เข้ามาหลายคนไม่มีสัญญาณน่าลุ้นให้เห็นในปีแรก โดยอาร์เตต้าพาอาร์เซน่อลคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ และ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ หลังจากคุมทีมไปได้ไม่กี่เดือน ส่วน คล็อปป์ เข้ามาพาทีมหงส์แดงชุดที่ว่ากันว่าขุมกำลังเต็มไปด้วยนักเตะที่ไม่ดีพอทะลุถึงรอบชิง ลีก คัพ และ ยูโรปา ลีก ได้ตั้งแต่ซีซั่นแรกที่มารับเผือกร้อนกลางคัน แล้วไม่ได้เสริมใครเข้าทีมชุดใหญ่เลย
ผลการแข่งขันว่าแย่แล้ว แต่พ็อตเตอร์ยังไม่แสดงให้เห็นเลยว่าเขามีแนวทางชัดเจนอย่างไรบ้างในการออกแบบวิธีเล่นให้ทีม เขาไม่เคยมี 11 ตัวจริงหรือแม้กระทั่งฟอร์เมชั่นที่แน่นอน ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้สโมสรสามารถซื้อนักเตะดีๆ มาเพิ่มได้อีกตอนซัมเมอร์ มันก็เป็นงานยากที่จะได้เห็นทีมชุดลงตัวในยุคของเขา
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลที่ทำให้แฟนสิงห์บลูส์ต้องทนทุกข์กับทีมรักอย่างหนักในฤดูกาลนี้ ควรชี้ไปที่การตัดสินใจเหมือนคนที่คิดไม่ค่อยรอบคอบนักของเจ้าของทีม มากกว่าจะไปโยนความผิดให้พ็อตเตอร์เพียงคนเดียว
แกรห์ม พ็อตเตอร์ ไม่ผิดที่คิดจะเสี่ยงรับงานที่ใหญ่แบบที่ชีวิตนี้เขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เพราะตลอดชีวิตคุมทีมของเขา เขาพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วว่าสามารถพาทีมเล็กๆ ค่อยๆ พัฒนาได้อย่างน่าประทับใจ
ระหว่างปี 2011-2015 เคยพาทีมอย่างออสเตอร์ซุนด์เลื่อนชั้นจากดิวิชั่น 4 ขึ้นสู่ลีกสูงสุดของสวีเดนได้ภายในระยะเวลาแค่ 4 ปีเศษๆ และเป็นคนที่พาออสเตอร์ซุนด์คว้าแชมป์ สวีเดน คัพ หนเดียวในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2017
ในปี 2017 ออสเตอร์ซุนด์คว้าแชมป์ สวีเดน คัพ หนแรกในประวัติศาสตร์ภายใต้การคุมทีมของ แกรห์ม พ็อตเตอร์ ทำให้ชื่อของเขาถูกจับตามองว่าเป็นโค้ชชาวอังกฤษที่ฝีมือไม่ธรรมดา
ส่วนการคุมไบรท์ตัน เขาค่อยๆ ยกระดับทีมนกนางนวลจากทีมหนีตกชั้นของพรีเมียร์ลีกเมื่อฤดูกาล 2018-19 สู่ทีมที่จบอันดับ 9 ในลีกสูงสุดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งเป็นอันดับที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เลื่อนชั้นขึ้นมาจากแชมเปี้ยนชิพ
1
สำหรับโค้ชบางคน โอกาสใหญ่ๆ อาจจะเข้ามาเพียงครั้งเดียวในชีวิต เมื่อมันมาถึงถ้าไม่คว้าเอาไว้ก็อาจจะต้องคุมทีมเล็กๆ ไปทั้งชาติ ดังนั้นเมื่อทำได้ดีกับทีมเล็กแล้ว มันก็ไม่ผิดหรอกถ้าอยากจะ “ลองของ” ดูบ้าง เพราะจะดีจะร้าย ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้ ขนาดกุนซือโปรไฟล์ดีๆ ยังล้มเหลวกับบางทีมได้เลย
บางคนสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วทั้งที่ไม่เคยมีโปรไฟล์สวยหรูมาก่อน แต่บางคนก็ต้องเจอกับความล้มเหลวจนกลายเป็นตัวตลกในสายตาแฟนบอลไปตลอดกาล เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับ เดวิด มอยส์ หรือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์
อลัน เชียเรอร์ ตำนานดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก ซึ่งปัจจุบันเป็นกูรูของบีบีซีวิจารณ์ว่า “ใครในโลกนี้กันหรือ ที่จ่ายเงิน 20 กว่าล้านปอนด์จ้างพ็อตเตอร์และทีมงานเข้ามา แล้วให้สัญญา 5-6 ปี จ้างเขาปีละ 10 กว่าล้านปอนด์ แล้วทุ่มซื้อนักเตะเยอะอย่างไร้สาระด้วยจำนวนเงินอันบ้าคลั่ง แล้วจากนั้นก็ไล่เขาออกใน 7 เดือนต่อมา?”
ส่วน ไซม่อน จอห์นสัน คอลัมนิสต์แห่ง ดิ แอธเลติก สื่อคุณภาพของอังกฤษ เขียนวิจารณ์การตัดสินใจดื้อดึงของโบห์ลี่ที่รู้ตัวช้าว่าเลือกคนมารับงานผิดว่า “มันไม่มีประโยชน์สำหรับการหนีสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแฟนบอลต่อต้านอย่างหนักแน่น”
เชลซีทำผิดพลาดอย่างมหันต์ตั้งแต่ตัดสินใจปลด โธมัส ทูเคิ่ล หลังจากเพิ่งทุ่มเงินกว่า 250 ล้านปอนด์ซื้อนักเตะใหม่ให้ในช่วงซัมเมอร์ปี 2022
เพราะถ้าไม่คิดจะร่วมงานกับกุนซือชาวเยอรมันตั้งแต่แรก สโมสรก็ควรจะหาโค้ชใหม่ลงตลาดซื้อขายไปด้วยกัน ซึ่งถ้าลงทุนไปมากขนาดนั้นแล้ว ก็น่าจะให้โอกาสทูเคิ่ลใช้นักเตะที่เพิ่งเลือกซื้อมาให้ดีที่สุดไปก่อน ไม่ใช่ฉวยโอกาสรีบปลดตอนที่เขาทำทีมได้ผลการแข่งขันย่ำแย่
ยิ่งกว่านั้น การใช้เงินมากถึง 323 ล้านปอนด์ในตลาดหน้าหนาวที่ผ่านมา โดยไม่มีการซื้อนักเตะตำแหน่งที่ทีมขาดแคลนจริงๆ อย่างกองหน้าตัวผลิตสกอร์ แล้วมีหลายคนที่ยังปรับจูนเข้าหาทีมใหม่ไม่ได้ มันกลายเป็นเพิ่มงานยากให้โค้ชที่ฝีมือไม่ถึงอย่างพ็อตเตอร์มากขึ้นไปอีก แล้วสุดท้ายผลงานในสนามกลับกลายเป็นแย่กว่าเดิม
การทุ่มเงินอย่างบ้าคลั่งของโบห์ลี่ ไม่ใช่แค่ในเรื่องของการซื้อนักเตะ แต่ยังหมดไปเยอะกับการเปลี่ยนกุนซือ (จ่ายค่าชดเชยทูเคิ่ล, จ่ายค่าดึงตัวพ็อตเตอร์และทีมงานให้ไบรท์ตัน, จ่ายค่าปลดพ็อตเตอร์ แถมต้องเตรียมทุ่มเงินจ้างกุนซือใหม่คนต่อไป) น่าจะทำให้เชลซีใช้เงินได้ยากขึ้นไปอีกในฤดูกาลหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสโมสรกำลังจะสูญรายได้มหาศาล จากการทำท่าว่าจะไม่ได้เล่นฟุตบอลยุโรป
กฎไฟแนนเชียล แฟร์เพลย์ กำลังรอเล่นงานเชลซีอยู่ในช่วง 1-2 ปีต่อจากนี้ ยังไม่รวมกับความยุ่งยากในการเปลี่ยนถ่ายขุมกำลังซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นมากๆ ที่ต้องเลือกขายทิ้งหลายคนก่อนจะซื้อใหม่
เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ และ มิไคโล่ มูดริค 2 นักเตะค่าตัวมหาศาลของเชลซี ที่ถูกซื้อเข้ามาด้วยราคารวมกันไม่ต่ำกว่า 200 ล้านยูโรเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ต้องรอให้กุนซือคนใหม่ช่วยให้โชว์ฟอร์มเปรี้ยงปร้างในพรีเมียร์ลีก
การตัดสินใจปลด แกรห์ม พ็อตเตอร์ แล้วมองหากุนซือคนใหม่ที่เหมาะสมกว่านี้ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง และต้องทำก่อนอยู่แล้ว แต่บอกเลยว่างานคุมเชลซีที่มีเวลาอีกแค่ราวๆ 4 เดือนเท่านั้นก่อนที่ฤดูกาลถัดไปจะมาถึง ถือเป็นโจทย์ที่ยากทีเดียวสำหรับเฮดโค้ชคนต่อไป
ท็อดด์ โบห์ลี่ แสดงให้เห็นถึงความกล้าที่จะทุ่ม และความกล้าที่จะขายหน้าด้วยการปลดคนที่ตนเองเลือกให้สัญญายาวไปแล้ว ต่อจากนี้เขาคงต้องแสดงให้แฟนบอลเห็นถึงการตัดสินใจที่ถูกต้องซะบ้าง
สำหรับการบริหารงานใหญ่ “วิสัยทัศน์” มันสำคัญกว่า “ความกล้า” ซะอีก
#เสียบสามเหลี่ยม #เชลซี #พ็อตเตอร์ #แกรห์มพ็อตเตอร์ #โบห์ลี่ #ท็อดด์โบห์ลี่ #พรีเมียร์ลีก
โฆษณา