8 เม.ย. 2023 เวลา 02:16 • ประวัติศาสตร์

ประวัติย่อ:สงครามโลกครั้งที่2

หลังจากได้ข้อตกลงเพื่อยุติสงครามโลกครั้งที่1ด้วยการออกกฏหมายเพื่อเป็นกฏ
ข้อบังคับต่อฝ่ายประเทศผู้แพ้สงครามโดยการทำสนธิสัญญาต่างๆ หลังจากนั้น
ประเทศที่ชนะสงครามได้ร่างข้อกำหนดขึ้นภายใต้กฏหมายขององค์การสันนิบาตชาติ(League of Nations)ที่ถูกตั้งขึ้นในเวลาหลังจากนั้น อำนาจหน้าที่ที่สำคัญขององค์การสันนิบาตชาติคือเป็นผู้ตัดสิน
ชี้ขาดข้อโต้แย้งต่างๆระหว่างประเทศ และออกกฏหมายอย่างเคร่งครัดเรื่องข้อห้ามในการจะใช้กำลังทางทหารเข้าบุกรุกอาณาเขตของแต่ละประเทศ ซึ่งจะถูกลงโทษอย่างรุนแรงตามกฏหมายที่ระบุไว้ใน
แผนที่กลุ่มประเทศสัมพันธมิตรในระหว่างเกิดสงครามโลกครั้งที2
สนธิสัญญาขององค์การสันนิบาตชาติ แต่ในระหว่างนั้นประเทศสหรัฐอเมริกาได้แยกตัวออกมาจากการเป็นสมาชิกขององค์การสันนิบาตชาติเพราะยึดนโยบาย
ความเป็นชาติเป็นกลางและสลัดทิ้งทาง
การเมืองและเศรษฐกิจของชาติอื่น
(Isolationism)
ต่อมาในปี 1931 กฏหมายขององค์การสันนิบาตชาติเริ่มสั่นคลอนลงทันทีเมื่อ
ระเบิดลูกหนึ่งเกิดระเบิดขึ้นที่เส้นทางรถไฟสายใต้แมนจูเรีย(South Manchu-
ria Railroad)ที่กองทัพญี่ปุ่นครอบครองอยู่ทำให้ญี่ปุ่นเข้าใจว่าเป็นแผนการของ
ปัจจามิตรที่จะเข้ารุกรานจึงทำการป้อง
กันโดยการนำกองทัพบุกเข้ายึด
กองทัพญี่ปุ่นบุกแคว้นแมนจูเรียในปี1931
แคว้นแมนจูเรียของจีน ต่อมาในปี 1933
คณะลูกขุนในองค์การสันนิบาตชาติมีการลงประชามติและเรียกร้องให้ญี่ปุ่นถอนกองทหารออกจากเขตแมนจูเรีย แต่ญี่ปุ่นได้ถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิก
ขององค์การสันนิบาตชาติและสิ้นการเป็นสมาชิกภาพจากองค์การตั้งแต่เวลานั้น ในขณะเดียวกันก็ขยายเขตการปกครองในเขตแมนจูเรียให้กว้างไกลยิ่งขึ้น ต่อมาอาณาจักรแมนจูเรียที่ญี่ปุ่น
ครอบครองอยู่จึงถูกตั้งชื่อใหม่เป็นอาณา
จักรแมนจูโกว(Manchukuo)
ปี 1933 ปีเดียวกัน อด็อฟ ฮิตเลอร์(Adolf Hitler)ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้ารัฐบาลของประเทศเยอรมนีโดยระบบ
เผด็จการของกองทัพนาซีและรีบเร่งผลิตอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงให้แก่กองทัพ ในปี 1935 สถานภาพของกองทัพเยอรมันก็พร้อมรบและเต็มอัตราศึกทั้ง 3 เหล่าทัพ ซึ่งขัดแย้งกับกฏหมายในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่ทำไว้ในปี1919 และฝ่ายองค์การสันนิบาตชาติยังคงรักษากฏหมายฉบับนี้ไว้อย่างเคร่งครัด
ปี 1935 ปีเดียวกัน เบนิโตมุสโสลินี(Beni-
to Mussolini)ได้นำกองทัพอิตาลีบุกเข้าโจมตีประเทศเอธิโอเปียเพื่อต้องการให้
เป็นประเทศในอาณานิคมที่สำคัญคือต้องการแหล่งทรัพยากรที่มีทั้งหมดของประเทศนี้ สมาชิกในองค์การสันนิบาตชาติจึงออกมาตรการ
ให้มีการคว่ำบาตรอิตาลี โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษและฝรั่งเศสหาวิธีทุกวิถีทางในการจะยับยั้งอิตาลีแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ในที่สุดเอธิโอเปียก็ถูกยึดครองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดโดยกองทัพอิตาลีในปี1936 ในขณะที่อด็อฟ ฮิตเลอร์ส่งกองทหารเข้าไปประจำแนวรบในเขตไรน์แลนด์(Rhineland)ซึ่งเป็นการซ่องสุมกำลังครั้งใหญ่ในขณะนั้นของกองทัพนาซีเยอรมัน และเป็นสัญญาณบอกเหตุให้อังกฤษและฝรั่งเศสต้องรีบเร่งทำความเข้าใจกับสัมพันธมิตรที่สำคัญคือสหภาพโซเวียตรัสเซีย ซึ่งประเทศทั้งสามตกลงพร้อมกันว่าสมควรจะละลายกองทัพเยอรมันออกไปจากพื้น
กองทัพนาซีเยอรมันในไรน์แลนด์ปี 1936
ที่ส่วนนี้ แต่เพื่อเป็นการรักษากฏหมายขององค์การสันนิบาตชาติให้คงความศักดิ์สิทธิ์ต่อไป อังกฤษและฝรั่งเศสจึงยับยั้งความคิดเช่นนั้นเสีย และหลังจากแสดงให้ประชาชนชาวเยอรมันได้เห็นถึง
ศักยภาพของกองทัพนาซีเยอรมัน จากนั้นฮิตเลอร์ก็ทำการปลุกระดมมวลชนในที่สาธารณะต่างๆเรื่องการวาดหวังเพื่อการดำเนินชีวิตที่สูงส่งของชาวเยอรมัน
(Lebensraum)และผลิตเป็นเล่มหนังสือจากการเขียนด้วยลายมือของฮิตเลอร์เมื่อประชาชนชาวเยอรมันซึมซับในคำพูดและการเขียนของเขา ฮิตเล่อร์จึงนำกองทัพบุกเข้ายึดประเทศออสเตรียใน
วันที่ 11
การเปิดประชุมร่วมกันวันที่ 30 กันยายน 1938 ที่เมืองมิวนิค เยอรมนี(จากซ้ายไปขวา)เนวิล แซ็มเบอร์ลิน(อังกฤษ)เอดัวร์ ดาลาดิเย(ฝรั่งเศส)อด็อฟ ฮิตเลอร์(เยอรมนี)และเบนิโต มุสโสลินี(อิตาลี)
มีนาคม 1938 และควบคุมอำนาจไว้ทั้ง
หมด จากนั้นฮิตเลอร์ก็ทำการคุกคามประเทศเช็คโกสโลวาเกียเรื่องดินแดนของชาวเยอรมันที่มีอาณาเขตภายในประเทศนี้ ในเดือนกันยายนปีเดียวกันฮิตเลอร์ยิ่งเพิ่มความกร้าวร้าวและอ้างสิทธิ
ในดินแดนของชาวเช็คมากขึ้น และสงครามระหว่างเยอรมนีกับเช็คโกสโลวา
เกียก็มีทีท่าว่ากำลังจะระเบิดขึ้นในขณะนั้น อังกฤษและฝรั่งเศสจึงตัดสินใจทำ
การเปิดประชุมร่วมกับฮิตเลอร์และมุสโส
ลินีที่เมืองมิวนิคประเทศเยอรมนีในวันที่
30 กันยายน 1938 และในที่ประชุมได้ตัดสินใจให้ฮิตเลอร์ได้ครอบครองดินแดนในเขต
การพบกันระหว่างผู้นำฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะในปี 1938
ซูดเท็นแลนด์(Sudetenland) คือแคว้นโบฮีเมีย((Bohemia)และแคว้นโมราเวีย
(Moravia)ซึ่งมีชาวเยอรมันอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในเมืองพรมแดนของเช็คโกส
โลวาเกีย แต่เป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น เพราะในเดือนมีนาคม 1939 ฮิตเลอร์บุกเข้ายึดพื้นที่ทั้งหมดที่ยังมีปัญหาอยู่กับเช็คโกสโลวาเกีย จากนั้นก็บุกเข้ายึดอ่าวท่าเรือเมเม็ล(Memel)หรือไคลเปดา(Klaipeda)ที่เคยเป็นของเยอรมันจาก
ลิธัวเนีย และอ้างสิทธิในการจะเข้าครอบครองเขตดานซืก(Danzig)และเขตโปลิซ คอร์ริดอร์(Polish Corridor)เขตเมืองพรมแดนของโปแลนด์ และโปแลนด์ก็วาง
กองทหารเยอรมันในโปแลนด์ปี1939
ท่าทีแข็งกร้าวในการจะปกป้องแผ่นดินของตนไว้อย่างเต็มที่ ซึ่งฮิตเลอร์ก็รู้ดีว่าการจะเข้าครอบครองผืนแผ่นดินนี้ได้นั้นจะต้องใช้กำลังทางกองทัพบุกเข้าโจมตี เมื่อสนธิสัญญาแวร์ซายส์กำลังจะถึงกาลแตกหักสหภาพโซเวียตได้ส่งกองทัพข้ามพรมแดนโปแลนด์เข้ามาเพื่อเข้าร่วมเป็นสัมพันธมิตรกับฝ่ายเยอรมันตามข้อตกลงในสัญญาการไม่รุกรานและการช่วยเหลือกันและกัน(Molotov - Ribbentrop Pact)ที่ลงนามกันไว้ระหว่างเยอรมนีกับสหภาพโซเวียตที่พระราชวังเครมลิน มอสโคว์ในวันที่ 23 สิงหาคม 1939 เพียง 1 อาทิตย์หลังจากจากนั้นทั้งสอง
กองทหารเยอรมันในโปแลนด์ปี1939
กองทัพก็ร่วมกันบอมบาร์ดกรุงวอร์ซอ
ของโปแลนด์ในวันที่ 1 กันยายน 1939 เป็นการจุดชนวนไฟสงครามโลกครั้งที่สองให้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะทำการเข้ายึดครองประเทศโปแลนด์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในวันที่6 สิงหาคม
1939 ในขณะที่อังกฤษและฝรั่งเศสประ
กาศให้การสนับสนุนโปแลนด์อย่างเต็มที่
หลังจากนั้นกองทัพสหภาพโซเวียตได้เคลื่อนกำลังพลขึ้นไปทางทิศเหนือของประเทศและตีวงโอบล้อมเข้ายึดครอง
ลิธัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย ในเวลาเดียวกันก็อ้างสิทธิ์ในการจะเข้าครอบครองฟินแลนด์จึงเกิดสงครามฤดูหนาว
(Winter War)ระหว่างกองทัพ
กองทหารเยอรมันในโปแลนด์ปี1939
สหภาพโซเวียตและกองทัพฟินแลนด์
และยุติลงด้วยการทำสนธิสัญญามอส
โคว์(Treaty of Moscow)ในวันที่ 12 มีนาคม 1940 ด้านเอเชียขณะนั้นญี่ปุ่นได้นำกองทัพบุกเข้าสู่ประเทศจีนและ
เตรียมการจะบุกกองทัพลงมาทางเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้ จำนวนนี้มีประเทศเวียดนาม ลาว ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์
ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และพม่าที่อยู่ในเขตการทำสงครามของญี่ปุ่น ในเวลาเดียวกันก็เตรียมการณ์จะบุกกองทัพญี่ปุ่นเข้าสู่ดินแดนอันมั่งคั่งในเขตแปซิฟิคตะวันตกเฉียงใต้ ในขณะที่เบนิ
โต มุสโสลินีผู้นำเผด็จการกองทัพอิตาลี
กำลังมองหาช่องทางการ
อนุสาวรีย์สงครามฤดูหนาวฟินแลนด์
เพิ่มอำนาจเผด็จการและคอยจ้องจังหวะ
จะเข้าร่วมกับฝ่ายฮิตเลอร์ทันทีที่มีโอกาส
หลังจากผ่านความเจ็บปวดและความสูญเสียในสงครามโลกครั้งที่1 ทำให้รัฐมนตรี
คนต่อมาของฝรั่งเศสอังเดร มากิโนต์
(André Maginot)หันมาสร้างป้อมมากิโนต์(Maginot Line)ด้วยคอนกรีตเสริม
เหล็กเพื่อเป็นแนวป้องกันระหว่างประเทศฝรั่งเศสและมีความเชื่อมั่นในแนวป้องกันแห่งนี้ ส่วนด้านกำลังทางทหารนั้นอังกฤษและฝรั่งเศสยังคงเพิกเฉยในการเสริมสร้างอาวุธให้แก่ทางทหารและยังคงเป็นประเทศหลักในการรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของสนธิสัญญาต่างๆในเวลานั้น
กองทหารญี่ปุ่นในระหว่างทำการบุกประเทศจีนระหว่างปี1931-1945
ตรงกันข้ามกับฝ่ายเยอรมันซึ่งมีการพัฒนาระบบอาวุธที่มีประสิทธิภาพเสริมสร้างเขี้ยวเล็บให้แก่กองทัพไม่ว่าจะเป็นอาวุธหนักเช่นรถถัง เรือดำน้ำและเครื่องบินและวางแผนการเข้าโจมตีแบบสายฟ้าแลบ(Blitzkrieg)โดยกองทัพข้าศึกไม่อาจทันตั้งตัวซึ่งจะเห็นได้จากการปฏิบัติการที่รวดเร็วแทบไม่น่าเชื่อของฝ่ายเยอรมัน
หลังจากโปแลนด์ถูกยึดครอง ต่อมาในวันที่ 9 เมษายน 1940 กองทัพสายฟ้าแลบ
ของนาซีเยอรมันก็บุกประเทศเดนมาร์กและนอร์เวย์พร้อมกัน และระหว่างวันที่
9 พฤษภาคม-22 มิถุนายน 1940 กองทัพนาซีเยอรมันก็บุกเข้าโจมตีแนวรบ
กองทหารญี่ปุ่นในระหว่างการศึกสงครามจีน-ญี่ปุ่นระหว่างปี 1931-1945
ด้านตะวันตกโดยผ่านทางประเทศเบลเยี่ยมและลักเซ็มเบิร์กเข้าสู่ประเทศฝรั่งเศส เป็นเวลาเพียง 3 สัปดาห์ก็สามารถขับไล่กองทัพอังกฤษออกจากฝั่งยุโรป รัฐบาลและกองทัพฝรั่งเศสถูกบีบบังคับให้ยอมจำนนในวันที่ 22 มิถุนายน 1940 เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ฮิตเลอร์ยังทำไม่ได้คือ การเข้าทำลายเกาะอังกฤษ แม้ว่าฮิตเล่อร์จะมีคำสั่งให้กองทัพอากาศเยอรมัน(Luftwaffe) ทำการบินบุกเข้าโจมตีอย่างหนักแต่ก็ถูกปกป้องและถูกต้านทานอย่างกล้าหาญจากกองทัพอากาศสหราชอาณาจักร เมื่อปฏิบัติการกับเกาะอังกฤษไม่สัมฤทธิ์ผล ฮิตเล่อร์จึงหันกลับมาโจมตี
หน่วยรถถังกองทัพนาซีเยอรมันในขณะบุกสหภาพโซเวียตปี 1942
แนวรบด้านตะวันออกของฝ่ายสัมพันธ
มิตรสหภาพโซเวียตในวันที่22 มิถุนายน- 7 มกราคม 1942 เนื่องจากแผนการในการจะเข้าครอบครองประเทศยุโรปทั้ง
หมดของฮิตเลอร์และตามแผนปฏิบัติการ
บาร์บาร็อสซา(Operation Barbarossa)
ของกองทัพนาซีเยอรมัน จากปฏิบัติการทางภาคพื้นดินที่เหนือกว่าทำให้กองทัพนาซีเยอรมันสามารถยึดเชลยศึกทหารรัสเซียได้นับล้านนาย จนกระทั่งเกือบจะถึงประตูของกรุงมอสโคว์ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน การบุกของกองทัพนาซีเยอรมันจึงหยุดชะงักลงเนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายภายในประเทศรัสเซีย ในเวลาเดียวกันกองทัพสหภาพ
กองทหารอังกฤษในอียิปต์ปี 1945
โซเวียตได้เรียกระดมพลครั้งใหญ่เพื่อทำการปกป้องเมืองหลวงอย่างเต็มที่ ในขณะที่เบนิโต มุสโสลินีกำลังมองหาโอกาสในการจะก้าวขึ้นมาเป็นจักรพรรดิบนสองฟากฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เขา
นำกองทัพอิตาลีบุกเข้าโจมตีกองทัพ
อียิปต์และรุกกองทัพเข้าโจมตีกองทัพอังกฤษที่คลองสุเอซ(Suez Canal)ใน
ระหว่างวันที่ 9-18 กันยายน 1940 และ
ในระหว่างวันที่28 ตุลาคม1940-23 เมษายน1941 เขานำกองทัพอิตาลีบุกเข้า
โจมตีประเทศกรีซจากทางประเทศ
อัลบาเนียที่เขายึดได้ในปี1939 ครั้งแรก
การสู้รบในสมรภูมิทั้งสองแห่งนี้กองทัพอิตาลี
เบนิโต มุสโสลินีผู้นำพรรคฟาสซิสต์และกองทัพอิตาลี
ประสบความสำเร็จทั้งสองครั้ง แต่กลับพบกับความย่อยยับเมื่อถูกโจมตีตอบโต้
จากกองทัพอังกฤษ ก่อนที่ฮิตเลอร์จะส่งกองทัพนาซีเข้ามาช่วยเหลือกรีซจึงตกอยู่ในการยึดครองของเยอรมัน แต่กองทัพนาซีเยอรมันก็ต้องพบกับความย่อยยับอีกครั้งเมื่อถูกโจมตีตอบโต้จาก
กองทัพอังกฤษด้านฝั่งแอฟริกา
เดือนธันวาคมปี 1941 ญี่ปุ่นได้ดำเนินตามแผนยุทธศาสตร์การทำสงครามโดยการนำกองทัพบุกเข้าเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(Southeast Asia) รวมถึงการบุกเข้าโจมตีฐานทัพเรือของสหรัฐฯ
ที่อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์(Pearl harbor)ในรัฐฮาวายในวันที่
กองทัพญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐที่เพิร์ล ฮาร์เบอร์ 7 ธันวาคม 1941
7 ธันวาคม 1941 และบุกเข้าโจมตีฐาน
ทัพสหรัฐฯที่ฟิลิปปินส์ในวันที่ 8 ธันวาคม
1941 ทำให้ประเทศสหรัฐอเมริกาต้องก้าวเข้าสู่สงครามร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร
ในปี 1942 ฝ่ายสัมพันธมิตรกลับมีอาวุธและกำลังพลที่เหนือกว่าฝ่ายอักษะ(ญี่ปุ่น
เยอรมนี อิตาลี) วันที่ 4-7 มิถุนายน 1942
กองทัพเรือสหรัฐทำการโจมตีกองทัพเรือ
ญี่ปุ่นที่ยึดครองอยู่ในเขตแปซิฟิกจนพิ
นาศย่อยยับในยุทธนาวีมิดเวย์(Battle of
Midway) ประกอบกับในช่วงเวลานั้นกองทัพนาซีเยอรมันกำลังถูกกองทัพสหภาพโซเวียตรุกตอบโต้จนสะบัดสะบั้น
และเกิดความสูญเสียอย่าง
เชลยศึกทหารโซเวียตรัสเซียจากปฏิบัติการบาร์บาโดสของกองทัพนาซีเยอรมันในปี 1941
หนัก ฮิตเลอร์จึงเบนการโจมตีของกองทัพมาทางเขตคอเคซัสในขณะที่กองทัพนาซีอีกส่วนหนึ่งกำลังพบกับความพ่ายแพ้ครั้งเลวร้ายที่สุดในขณะล่าถอยออกมาจากสตาลินกราด(Stalingrad)และถูก
กองทัพสหภาพโซเวียตปิดล้อมเป็นเวลาแรมเดือน ในเวลาเดียวกันกองทัพอังกฤษก็บุกเข้าโจมตีกองทัพนาซีเยอรมันและ
กองทัพอิตาลีที่เอ็ล อลาไมน์(El Alam-
ein)ในอียิปต์จนพินาศย่อยยับ จากนั้นกองทัพอังกฤษก็ทำการรุกไล่กองทัพนาซีเยอรมันและกองทัพอิตาลีให้ถอยร่นออกไปทางตะวันตกตามชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้านแอฟริกา ที่ตูนิเซีย
(Tunisia)กองทัพนาซี
กองทหารตูนีเซียในปี 1943
เยอรมันและกองทัพอิตาลีพยายามต้าน
ทานการรุกรบของกองทัพฝ่ายสัมพันธ
มิตรประกอบด้วยอังกฤษ สหรัฐ ฝรั่งเศส อินเดีย กรีซ นิวซีแลนด์ และนิวฟาวด์แลนด์ ซึ่งเป็นการสู้รบตอบโต้ครั้งสุดท้ายของกองทัพนาซีเยอรมันและกองทัพอิตาลี ก่อนจะถูกบังคับและถูกรุกไล่ให้ล่าถอยออกจากเขตแอฟริกาในเดือนพฤษภาคม 1943
เวลานี้ฝ่ายสัมพันธมิตรมีความพร้อมรบอย่างเต็มที่เพราะมีกองทัพสหรัฐเป็นกองทัพหลักที่สำคัญและพร้อมที่จะทำการโจมตีทุกแนวรบ การเข้าโจมตีในแต่ละครั้งของฝ่ายสัมพันธมิตรประสบความสำเร็จตามเป้าหมายทุกสมรภูมิในขณะที่กองทัพนาซี
หน่วยรถถังของฝ่ายสัมพันธมิตรเคลื่อนกำลังผ่านชุมชนในเกาะซิซิลีปี 1943
เยอรมันและกองทัพอิตาลีเริ่มอ่อนแรง
ลง การบุกหรือการรุกรบของฝ่ายสัม
พันธมิตรในระหว่างฤดูใบไม้ผลิปี 1943- ฤดูร้อนปี1944 สามารถขับไล่กองทัพนาซีเยอรมันออกไปจากเกาะซิซิลี(Sicily Island)และกองทัพอิตาลีถูกขับให้ออกจากการทำสงครามในระหว่างเดือนกรกฎาคม- สิงหาคมปี1943 เช่นกัน จากนั้นกองทัพอเมริกัน อังกฤษ ฝรั่งเศสร่วมกับกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรอื่นๆก็ทำการรุกขับไล่กองทัพนาซีเยอรมันออกไปจากเขตคาบสมุทรอิตาเลียน
หลังจากนั้นฝ่ายสัมพันธมิตรก็มีการรวม
พลครั้งใหญ่ทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ
และกองทัพอากาศ .
กองทหารอเมริกันในปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด(ดี-เดย์)ที่นอร์มังดีฝรั่งเศส ปี 1944
ขึ้นที่เกาะอังกฤษ ก่อนจะทำการยกพลขึ้นบกที่ชายหาดนอร์มังดี(Normandy)
โดยปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด(Overload
Operation)หรือปฏิบัติการดี-เดย์(D-day
Operation)ระหว่างวันที่ 6 มิถุนายน -30 สิงหาคม 1944 หลังจากนั้นก็ทำการรุกไล่กองทัพนาซีเยอรมันให้ถอยร่นกลับไปสู่กำแพงตะวันตก(West Wall)(เส้นแบ่งเขตอันตรายทางทหาร เยอรมันเรียกชื่อตามอังกฤษ ชื่อเดิมในสงครามโลกครั้งที่1คือเส้นฮินเด็นเบิร์ก ไลน์(Hindenburg Line)ซึ่งเป็นการตอบโต้และต้านทานครั้งสุดท้ายของกองทัพนาซีเยอรมัน ซึ่งก็แทบไม่มีผลใดๆต่อฝ่ายสัมพันธมิตร
ปฏิบัติการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรที่หาดนอร์มังดี ฝรั่งเศสปี1944
เพราะในเวลาเดียวกันนั้นกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรได้ยกพลขึ้นบกร่วมขึ้นทางทิศใต้ของฝรั่งเศสโดยปฎิบัติการดรากูน(Dragoon Operation)ในระหว่างวันที่15 สิงหาคม- 14 กันยายน 1944 จากนั้นกองทัพสัมพันธมิตรทั้งหมดก็รุกไล่กองทัพนาซีเยอรมันให้ถอยกลับข้ามแม่น้ำไรน์เข้าสู่เขตประเทศเยอรมนี
เช่นเดียวกันกับทางสตาลินกราดในขณะนั้น กองทัพสหภาพโซเวียตรัสเซียกลับได้เปรียบด้านกำลังพลและอาวุธทำการรุกไล่กองทัพนาซีเยอรมันให้ถอยร่นออกไปจากพื้นที่ และในเดือนเมษายน 1945 กองทัพสหภาพโซเวียตก็บุกเข้ามาจ่อถึงเขตกรุงเบอร์ลิน
พร้อมๆ
กรุงเบอร์ลินหลังจากถูกโจมตีในสงครามโลกครั้งที่2 ปี1945
กับการทำอัตวินิบาตกรรมของอด็อฟ ฮิต
เลอร์ในวันนี้ 30 เมษายน 1945
หลังจากนั้นกรุงเบอร์ลินของเยอรมนีก็ถูกถล่มจากอาวุธของฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายโซเวียตรัสเซียทั้งทางบก ทางเรือและทางอากาศ ทำให้เยอรมนีต้องยอมจำนนหรือยอมแพ้สงครามในวันที่ 7 พฤษภาคม 1945
เนื่องจากพะวงอยู่กับการทำสงครามกับฝ่ายเยอรมัน ฝ่ายสัมพันธมิตรจึงยังไม่มี
ยุทธศาสตร์ใดๆที่จะมาต่อกรกับกองทัพญี่ปุ่น ครั้นมีชัยชนะเหนือกองทัพเยอรมนี
ในด้านยุโรป ภารกิจต่อมาของฝ่ายสัมพันธมิตรคือการจะเข้าพิชิตกองทัพญี่ปุ่นอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งภายในเวลา
ซากปรักหักพังของกรุงเบอร์ลินหลังจากถูกโจมตีในปี 1945
เดียวกันนั้นอัตราอาวุธและงานวิจัยอาวุธทำลายต่างๆของชาติอเมริกันรีบเร่งผลิต
ขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เข้าโจมตีกอง
ทัพเรือญี่ปุ่นจากสองทิศทางภายในเวลาเดียวกันระหว่างส่วนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิก(Central Pacific)ตลอดความยาวของหมู่เกาะโซโลมอนและหมู่เกาะนิวกินี ทำให้กองทัพเรือญี่ปุ่นต้องล่าถอยออกไปจากพื้นที่หลังจากเกิดความสูญ
เสียอย่างหนัก ในระหว่างวันที่ 20ตุลาคม
1944- 15 สิงหาคม 1945 พลเอกดักลาส แม็กอาเธอร์(Gen. Douglas MacArthur)
นำกองทัพสหรัฐบุกยึดคืนฐานทัพอเมริกันในฟิลิปปินส์เป็นผลสำเร็จ จากนั้น
พลังอานุภาพของระเบิดปรมาณู(นิวเคลียร์)
กองทัพอเมริกันก็บุกเกาะโอกินาวาซึ่งเป็นปราการสุดท้ายของกองทัพเรือญี่ปุ่นและประสบความสำเร็จ ภารกิจต่อมาของฝ่ายสัมพันธมิตรคือการบุกเข้าโจมตีเขตเมืองหลวงของญี่ปุ่น ในเวลาเดียวกันกองทัพญี่ปุ่นที่ยึดครองอยู่ในเขตเอเชียก็เริ่มระส่ำระสายเพราะถูกฝ่ายสัมพันธมิตรรุกรบตอบโต้แต่กองทัพญี่ปุ่นยังคงเรียกระดมพลเพื่อชัยชนะแห่งการสงคราม ในขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บของทั้งสองฝ่ายมากขึ้นเป็นทวีคูณ จนกระทั่งระเบิดปรมาณูลูกแรกถูกทิ้งลงที่เมืองฮิโรซิมาและลูกที่สองถูกทิ้งลงที่เมืองนางาซากิพร้อมๆกับสหภาพ
นายมาโมรุ ซิเกมิตสึรัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่นเป็นผู้ลงนามในสัญญาสงบศึกกับฝ่ายสัมพันธมิตร
โซเวียตได้ยกกองทัพบุกแคว้นแมนจูโกวของญี่ปุ่นทำให้ญี่ปุ่นประกาศแพ้สงครามในวันที่ 15 สิงหาคม 1945 และมีการลงนามเซ็นสัญญาสงบศีกบนเรือรบยู.เอส.เอส. มิสซูรี(U.S.S. Missouri)ของสหรัฐบริเวณอ่าวของนครโตเกียวในวันที่ 2กันยายน 1945
พลเอกดักลาส แม็คอาร์เธอร์ ผู้แทนกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นผู้ลงนามในสัญญาสงบศึกกับฝ่ายญี่ปุ่น
โฆษณา