14 เม.ย. 2023 เวลา 05:51 • ธุรกิจ

เราจะใช้ระบบในการแก้ปัญหา

เราจะใช้ระบบในการแก้ปัญหา (The System is the Solutions) :
by Bell Telephone Company.
วาทะที่ 8 ของ 20 วาทะแห่งปัญญา.
The system is the Solutions วาทะนี้มาจากองค์กร ที่มีชื่อว่า Bell Telephone Company ที่ก่อตั้งมาเมื่อ BC 1882 ที่ปัจจุบันนี้ได้อยู่ภายใต้เครือของ AT&T
บริษัทนี้ทำธุรกิจทางวิศวกรรม ด้านการสื่อสาร ที่อยู่บนโลกนี้มานานกว่า 100 ปี เขาได้บอกกับพนักงานของเขาเสมอว่า The system is the solution
ซึ่งมีความหมายว่า การแก้ไขปัญหาทั้งหลาย เราจะใช้ระบบเข้ามาช่วย ระบบ จะช่วยป้องกัน การเกิดซ้ำของปัญหา ซึ่งโดยปกติเมื่อมันเกิดปัญหาในการทำงานขึ้น จะมีการคิดค้นวิธีใหม่ๆขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดซ้ำอีกได้ และวิธีการใหม่ๆนั้น จะถูกบรรจุลงในแบบแผนการปฏิบัติงาน ที่โดยรวมเราจะเรียกว่ามัน ระบบ (System)
ระบบ (System) มีความหมายอย่างไร ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ได้ให้ความหมายเอาไว้ว่า ระบบ คือ ระเบียบเกี่ยวกับการรวมสิ่งต่างๆ ซึ่งมีลักษณะซับซ้อน ให้เข้าลำดับ ประสานเป็นอันเดียวกัน ตามหลักเหตุผล ทางวิชาการ หรือหมายถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติซึ่งมีความสัมพันธ์ ประสานเข้ากัน โดยกำหนดรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เพื่อเราเข้าใจถึงประโยชน์ของ ระบบ และรูปแบบของการสร้างระบบ ลองมาดูสัก 2 ตัวอย่างครับ
A.Operation system (OS)
OS ซึ่งบรรจุอยู่ในอุปกรณ์ Smart Device & Computer ที่ได้แก่ Mobile, Tablet, Notebook, PC อุปกรณ์เหล่านี้ เราคงคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี
การที่คุณจะใช้งานพวกมันได้ ก็ต่อเมื่อคุณได้เริ่มต้นกับมันอย่างถูกต้อง ตามแบบแผนของมันเท่านั้น และเมื่อนั้นมันจะกลายเป็นอุปกรณ์ที่ทรงประสิทธิภาพ และมีความเที่ยงตรงที่สูงมาก เรียกได้ว่า OS เป็นระบบที่ซื่อสัตย์มาก เพียงแต่คุณต้องใช้มันอย่างถูกต้อง ตามวิธีที่กำหนดไว้เท่านั้น
ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าคุณเปิด PC ไม่เป็น คุณก็ไม่สามารถที่จะงานมันได้ มันไม่เหมือน ค้อนกับคีม ที่คุณหยิบจับมันขึ้นมา ก็ใช้งานมันได้เลย / เจ้า OS มันก็คือ ซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของ PC ถ้าไม่มีเจ้า OS นี้ PC มันก็เป็นได้แค่ พิมพ์ดีดไฟฟ้าเครื่องหนึ่งเท่านั้นเอง
B. Supporting System : ระบบสนับสนุน
ถ้าจะเรียกกันให้เข้ากับยุคสมัย เราจะเรียกระบบสนับสนุนนี้ว่า Logistic System รูปแบบของมันก็คือ การสนับสนุนแบบองค์รวม เพื่อรองรับกิจกรรมขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด (ลดปริมาณ และเวลาลง นั้นก็คือ ต้นทุนที่ต่ำลง) ยกตัวอย่าง เช่น
ระบบสนับสนุนของ 7-11 ซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มีสาขาไปทั่วโลก รวมทั้งในไทยเราด้วย และ 7-11 ก็คือ รูปทางธุรกิจที่เรียกว่า Franchise Business (ซึ่งเป็นธุรกิจที่สามารถทำซ่ำ และเลียนแบบได้)
เราจะเห็นว่าทุกๆสาขาของ 7-11 นั้น แทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลย เราลองคิดดูว่า ถ้าเราจะต้องออกแบบทุกสาขาขึ้นมาใหม่ หรือจะต้องจัดรูปแบบการบริหารจัดการแต่ละร้านให้มีความแตกต่างกัน มันจะมีความยุ่งยากมาก และมันจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่ 7-11 จะมีจำนวนสาขามากกว่า 10,000 สาขาในประเทศไทย
ความสำเร็จของ 7-11 นั้นก็มาจาก ระบบสนับสนุนแบบองค์รวม ที่ครอบคลุมทุกๆกิจกรรมทางธุรกิจ ซึ่งได้แก่ IT (ERP) / Finance (Payment) , Logistic (Stock Management & Transportation) , Management (Shop Operation) , Marketing (Ad & Promotion ), HR (Man power supply & Training) ซึ่งกิจกรรมทั้งหมดนี้จะสอดประสานกันเป็นอย่างดี และนั้นถือได้ว่าเป็น Key success ของ 7-11 เลย
(ใน class จัดซื้อของผม ผมได้ตั้งคำถามให้กับผู้เข้าอบรมว่า ถ้าคุณเป็นจัดซื้อ ที่จะต้องรับผิดชอบการสั่งของเข้าร้าน 7-11 ทั้ง 10,000 สาขา คุณจะทำอย่างไร แน่นอนไม่มีใครตอบได้หรอกครับ ถ้าเขายังไม่มีความเข้าใจ ในระบบสนับสนุนของ 7-11)
จาก A,B ที่ยกตัวอย่างมานี้ จะเห็นว่า :
ระบบทำให้ชีวิต สะดวกสบายขึ้น จากการมีอุปกรณ์ Hi-tech ที่ทรงประสิทธิภาพ
ระบบทำให้ชีวิต ที่ดีขึ้น จากการจัดหาสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ง่ายขึ้น ในราคาที่เหมาะสม
ระบบจะช่วยในการแก้ปัญหา ที่มีขนาดใหญ่ ที่ซับซ้อน ให้ง่ายขึ้น
มาถึงตอนนี้ คุณคงเชื่อแล้วว่า ระบบ คือ เครื่องมือในการแก้ปัญหา
ก่อนจะจบบทความนี้ ผมก็ขอฝากทุกท่าน เกี่ยวกับเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2566 นี้
ขอให้ท่านใช้ “การคิดเชิงระบบ” (Systems Thinking) ของท่านให้ดี เมื่อระบบความคิดของท่านดีพอ การหลอกล่อของพรรคการเมืองก็จะทำได้ยากขึ้น
พรรคการเมือง เข้าไปเป็นรัฐบาลเพื่อให้ได้อำนาจ เพื่อการดำเนินการตามที่เขามุ่งหวัง แต่มันจะตรงกับที่เขาบอกเราไว้ ตอนหาเสียงหรือเปล่า เราต้องดูให้ออก !
การดูว่าพวกเขามุ่งหวังอะไร ให้ดูท่าที และการกระทำที่ผ่านมาครับ (อดีตที่ผ่าน พรรคไหนทำอะไรไว้บ้าง ดูได้ไม่ยากครับ ตามหาดู บทความ และข่าวสาร เก่าๆทาง internet ได้ครับ
พรรคการเมือง ต้องการได้อำนาจ ก็ต้องขายฝันว่า จะทำโน้น ให้นี่ การหาเสียงก็เลยมีแต่นโยบายประชานิยมหลัก แต่มีบ้างนโยบายที่น่าเป็นห่วงมาก ถ้าถูกนำไปปฏิบัติ เช่น
>การหาเสียงด้วยการ ยกเลิกการเกนณ์ทหาร โลกตอนนี้มีการรบกันที่ยูเครน ความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวัน กูรูทั้งโลกพูดเลยว่า ไม่มีใครรับประกันได้ว่า จะไม่เกิดสงครามขึ้นในภูมิภาคอื่นๆอีก ไทยเราจะทำเป็นไม่รู้ร้อน รู้หนาว มัวแต่เอาใจวัยรุ่น ถึงเวลาคับขัน ความพร้อมของเราจะมีแค่ไหน
>การหาเสียงด้วยนโยบายแจกเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
นโยบายแบบนี้ ไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน สุ่มเสี่ยงที่จะสร้างปัญหาการคลัง และสร้างค่านิยมผิดๆให้กับสังคม
เมื่อคนมีเงินมาก ก็ใช้มาก ถามว่าหลังนั้นแล้วไงต่อ
เมื่อคนมีหนี้ มีเงินก็เอาไปใช้หนี้ แล้วไงต่อ
พวกคุณกำลัง สร้างกำลังซื้อเทียมๆ เหมือนตอนโครงการรถคันแรก พอโครงการจบ ก็สร้างปัญหาอื่นๆ ตามมาอีก
@ถ้าการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ด้วยให้เงิน digital ที่ไม่มีทองคำ หรือ เงินสดจริงๆ backup ก็เท่าเราจะทำเหมือน QE ของสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันสหรัฐก็มีปัญหาเงินเฟ้อ และมีความเสี่ยงที่ค่าเงิน USD จะด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ จนหมดความเชื่อถือ จะไหวหรือ !
@ถ้าการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ โดยเอาเงินจริงๆ ที่มีสำรองในคลังไปใช้ คุณกำลังเอาที่มั่นสุดท้ายของระบบการเงินของประเทศไปใช้ เราจะต้องเสี่ยงขนาดนั้นเลยหรือ !
@ถ้าการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ โดยการกู้เพิ่ม ก็เห็นตำนิกันว่า รัฐบาลปัจจุบันกู้เยอะไปแล้ว และถ้ากู้อีกก็จะเกินเพดานที่กำหนดไว้ ความเสี่ยงทางการเงินก็จะตาม จากการมีหนี้สินเกินตัว
@ถ้าคิดว่าการอัดฉีดแบบนั้นมันจะได้ผล ก็แสดงระบบเศรษฐกิจของเราพร้อมแล้ว แค่อัดฉีดเงินเข้าไปเครื่องก็เดินแล้ว และมันก็ตีความได้ว่า รัฐบาลที่แล้ว เขาเตรียมระบบไว้ดีแล้ว แต่คนเก่าเขายังไม่กล้าทำเลย ! (รัฐบาลที่แล้ว หรือลุงตู่)
@ถ้าแนวคิดการแจกเงิน แบบไหนก็ตาม เป็นการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ แล้วหวังว่ามันจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ถ้ามันง่ายแบบนั้น โลกนี้ก็คงไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจที่ต้องแก้กันแล้ว !
ถ้าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจกันจริงๆแล้ว เราจะต้องสร้างการผลิต เมื่อมีการผลิตก็มีการจ้างงาน มีงานก็มีเงิน นี่จึงจะเป็นการสร้างกำลังซื้อที่ยั่งยืน
แน่นอนสร้างการผลิต มันไม่ง่าย ต้องมีองค์ความรู้ และต้องมีตลาดมารองรับ ต้องลงรายละเอียด และใช้เวลาในการทำงาน
อัดฉีดเงินให้มีการผลิต แต่ไม่มีตลาดรองรับ อย่าทำ มีแต่จะสร้างปัญหาตามมา
>การหาตลาดมารองรับ นั้นก็คือ ตลาดในประเทศ และต่างประเทศ (การท่องเที่ยว และการส่งออก)
ตลาดในประเทศ ผู้คนขาดกำลังซื้อ จากสภาวะโควิทที่ผ่านมา ทำให้พวกคนตกงาน รายได้ลดลง ส่งผลให้ เงินเก็บหายไป มีหนี้สินมากขึ้น การใช้จ่ายในประเทศย่อมต้องลดลง
ตลาดต่างประเทศ (การส่งออก) ทั้งโลกประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ พูดได้ว่า คนทั้งโลก ก็ประสบปัญหาเหมือนกับคนไทย หรือจะหนักกว่าอีก เช่น ในยุโรปที่มีปัญหา ราคาพลังงานกดทับอีก ดังนั้นการหาตลาดต่างประเทศมารองรับ ไม่ง่าย (พูดได้ว่าทั้งโลก กำลังซื้อหดหายไป)
จากสภาพปัจจุบันของตลาดในประเทศ และต่างประเทศ มันยังไม่เอื้ออำนวย ต่อนโยบายการอัดฉีดเงินแบบนั้น เพราะถ้าจะทำ มันก็คือ การสร้างปาฏิหาริย์ ที่เป็นไปได้ยาก และมีความเสี่ยงสูงที่ จะเกิดผลเสีย ประเทศชาติไม่สามารถที่จะเสี่ยงได้ขนาดนั้น
หมายเหตุ: ประชานิยมแบบสุดโต้ง มีให้เห็นในหลายประเทศแถบอเมริกาใต้ ที่เกิดปัญหาการเงิน ผลสุดท้ายประชาชนก็ต้องรับกรรมนั้นไป
สิ่งที่รัฐบาลหน้า ต้องทำ ก็คือ ผลักดันองค์ความรู้ของไทย ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ดึงดูดการลงทุน ดึงดูดการท่องเที่ยว ทำให้บ้านเมืองสงบสุข
> ผลักดันองค์ความรู้ของไทย เรามีความโดดเด่นก็มี เรื่อง อาหาร การแพทย์และการดูแลสุขภาพ
(ส่วนองค์ความรู้ด้านอื่นเรามี แต่เราต้องเอาสิ่งที่พร้อมที่สุดมาทำก่อน กระสุนมีจำกัด เราต้องใช้ให้มีประสิทธิภาพ)
ในเมื่ออาหารไทย ดังไปทั่วโลก ก็ทำให้มันเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ เปิดสถาบันสอน ผลิตวัตถุดิบออกขาย สร้างเป็นสินค้าสำเร็จรูป เพื่อการส่งออก
การแพทย์และการดูแลสุขภาพของเรา ก็มีชื่อเสียงไประดับโลก เราก็ Promote ออกไป อย่างเป็นระบบ เพื่อดึงกลุ่มคนที่มีความต้องบริการพิเศษด้านนี้ แน่นอนพวกเขามีกำลังซื้ออยู่แล้ว
>ดึงดูดการลงทุน ก็คือ ดึงองค์กรที่เขามีปัญหาจากที่เดิม ให้เขาย้ายมาอยู่เมืองไทย แน่นอนไม่ทุกองค์กร ที่เขาจะสนใจเรา เพราะเราไม่มีแรงงานราคาถูกให้เขา
แต่เราก็มีสภาพแวดล้อมที่ดี เรามี Infrastructure (Hi speed internet , Transportation , Industry (EEC) ที่พร้อมสำหรับการผลิต แน่นอนเราจะต้องทำงาน เพื่อหาพวกเขาให้เจอ (Lock & Key มันจะทำงาน เมื่อเราค้นหา)
>ดึงดูดการท่องเที่ยว ก็คือ เราต้องหากินกับคนรวย คนรวยบนโลกนี้ ไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจหรอก พวกเขาพร้อมที่จะมาประเทศ ที่มีมาตรฐานที่ดี สะอาด ปลอดภัย มีการรักษาพยาบาลที่ดี มีความสะดวกจากการเดินทาง ผู้คนที่เป็นมิตร
ถ้าเราทำได้ เราก็สบายไประดับหนึ่ง ก็เหมือนกับการค้าขายเงินสดเลย เขาจะมาอยู่กี่วัน เราได้ก็เงินจากเขาทุกวัน
หมายเหตุ : เรื่องตลาดที่จะมารองรับ เรื่องอาหาร เรื่องการแพทย์ และสุขภาพ ผมว่า นักวิชาการนักการเมือง และข้าราชการ ส่วนใหญ่ เขาก็รู้เรื่องแบบนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ในช่วงหาเสียง พรรคการเมืองก็ต้องทำนโยบายหาเสียงแบบขายฝันกัน
สุดท้ายนี้กับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น สิ่งแรกในการหาเสียงของพรรคการเมือง ขอให้พูดความจริงกัน อย่าขายฝัน ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า ทำไม่ได้ และบ้างอย่างก็ไม่ควรทำ เช่น
>รถไฟฟ้า 20 บาท ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าทำไม่ได้ (ผู้ว่า ล้านสาม ยังทำไม่ได้เลย)
>นโยบายที่ไม่ควรทำ ที่จะปลดล๊อกพืชสายเขียวเพื่อการแพทย์ แต่เสือกให้ปลูกที่บ้านได้
ผมเชื่อว่า การเลือกตั้งในครั้งนี้ จะสะท้อนให้เห็นว่า คนไทยนั้นสนใจการเมืองจริงเปล่า หรือสนใจแต่ประโยชน์ของตัวเอง
เพราะถ้าสนใจการเมืองจริง เขาต้องคิดอย่างเป็น “ระบบ” และเขาจะเลือกพรรคการเมืองที่จะทำให้ประเทศชาติเจริญขึ้นได้
แต่ถ้าคนไทยสนใจแต่ตัวเอง เขาก็จะเลือกโดยดูว่า เป็นพวกเดียวกัน เป็นคนเรารู้จัก เป็นคนที่จะให้ประโยชน์กับตัวเขา
แล้วเรามาพิสูจน์กันครับ !
Cr: Anant.V (Tangram Strategic Consultant)
เคล็ดลับที่จะทำให้คุณประสบความสำเร็จในงานจัดซื้อ ..........มาเรียนรู้กับเราได้ที่นี้
แผนการอบรมเพื่อ “งานจัดซื้อ” สำหรับปี 2566 / 2023
ในปีนี้ Tangram Strategic Consultant เราจะมี class แบบ Online / Onsite
>สำหรับ Online 12 Classrooms สามารถดูรายละเอียดได้ที่
>สำหรับ Onsite 5 classrooms สามารถดูรายละเอียดได้ที่
#จัดซื้อมืออาชีพ #อบรมจัดซื้อ #20วาทะแห่งปัญญา
โฆษณา