14 เม.ย. 2023 เวลา 08:48 • ประวัติศาสตร์

สงครามฤดูหนาว(Winter War) การบุกยึดฟินแลนด์ของกองทัพโซเวียตในสงครามโลกครั้งที่ 2

ระหว่างกลางเดือนกันยายนปี 1939 กองทัพสหภาพโซเวียตได้เคลื่อนพลขึ้นไปทางทิศเหนือของประเทศ และโอบล้อมเข้ายึด 3 ประเทศบนฝั่งทะเลบอลติก
คือลิธัวเนีย ลัตเวียและเอสโตเนียก่อนจะมีการลงนามให้มีการตั้งฐานทัพของสหภาพโซเวียตขึ้นในประเทศทั้ง3 นี้ ในวันที่ 5 ตุลาคม 1939 เป็นวันที่ลัตเวียยินยอมลงนามในสนธิสัญญากับฝ่ายสหภาพโซเวียต ขณะนั้นฟินแลนด์ได้ส่งผู้มีอำนาจเต็มไปที่กรุงมอสโคว์เพื่อเจรจาเรื่องเขตแดนของฟินแลนด์กับสหภาพโซเวียต ที่สำคัญคือฝ่ายสหภาพโซเวียตต้องการตั้งฐานทัพขึ้นในประเทศ
ฟินแลนด์เป็นเวลา
30 ปีบนพื้นที่ 3 แห่งคือ1.เขตท่าเรือฮาน
โก(Hango)หรือ(Hanko)เขตการค้ากับต่างประเทศที่สำคัญด้านใต้สุดของฟินแลนด์ 2. เกาะเล็กเกาะน้อยทั้งหมดในเขตคาบสมุทร ไรบาซิ(Rybachi Peninsula)บนเขตอ่าวฟินแลนด์ 3. ระหว่างพรมแดนของฟินแลนด์ในเขต
คอคอคแกร์เลียน อีสธ์มุส(Karelian Isthmus) การเจรจาดำเนินมาถึงเดือนพฤศจิกายนแต่ไม่คืบหน้า ปัญหาหนักอยู่ที่เขตฮานโกและเขตคอคอดแกร์เลียน จนกระทั่งฝ่ายสหภาพโซเวียตจำลอง
เหตุการณ์เหมือนถูกโจมตีจากลูกกระสุน
ปืนใหญ่ของฝ่ายฟินแลนด์ขึ้นในพื้นที่ไมนิลา(Mainila)บนคอคอดแกร์เลียน
กองทหารส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตระหว่างเกิดสงครามฤดูหนาวในฟินแลนด์
2 วันหลังจากนั้นสหภาพโซเวียตปฏิเสธการเจรจาในสนธิสัญญาใดๆกับฝ่ายฟินแลนด์ ก่อนที่สงครามของทั้งสองประเทศจะระเบิดขึ้นในวันนี้ 30 พฤศจิกายนโดยสหภาพโซเวียตส่งฝูง
บินรบบุกเข้ายิงถล่มกรุงเฮลซิงกิของฟิน
แลนด์อย่างหนัก พร้อมกันก็รุกรบทางพื้นดินขึ้นในหลายๆจุดตลอดพรมแดนด้านทิศเหนือของเลนินกราด(Laningrad)
จรดฝั่งมหาสมุทรอาร์กติก ในวันที่ 1 ธันวาคม รัฐบาลฝ่ายสหภาพโซเวียตได้เรียกร้องเอาดินแดนของกลุ่มสาธารณรัฐ
ประชาธิปไตยประชาชนฟินแลนด์
(People's Democratic Republic of Finland) ภายใต้ผู้นำคอมมิวนิสต์แห่งฟิน
แลนด์คืออ็อตโต ดับบลิว. คูซีเน็น(Otto
W. Kuusinen)
ในขณะความขัดแย้งที่ตรึงเครียดกำลัง
เกิดขึ้นระหว่างสหภาพโซเวียตและฟินแลนด์ ขณะนั้นฟินแลนด์ได้เรียกระดมพลกองทัพไว้แล้วตั้งแต่วันที่ 14
ตุลาคมและในช่วงฤดูร้อนได้ระดมกอง
ทัพทหารอาสาสมัครสร้างแนวป้องกันกองทัพสหภาพโซเวียตขึ้นในเขตคอคอด
แกร์เลียนคือแนวปราการแมนเนอร์ไฮม์
(Mannerheim Line) กองทัพฟินแลนด์
รวมพลได้ 9 กองพลรวมกับกองร้อยและกองพันอื่นได้ 175,000 นาย แต่ต้องการกองทหารเข้าร่วมทำสงครามถึง 15 กองพลและยังขาดอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก แต่ขณะนั้น
การต้านทานในส่วนต่างๆของกองทหารฟินแลนด์ในขณะเกิดสงครามฤดูหนาว
กองทัพฟินแลนด์ยังมีกลุ่มคนที่เป็นอาสาสมัครเข้าร่วมทำสงครามด้วยคือกลุ่มฟินแลนด์- อเมริกัน300 คน และกลุ่มล็อตตา สวาร์ด(Lotta Svard)กองทัพอาสาสมัครหญิงฟินแลนด์ 100,000 คน กองทัพฟินแลนด์จึงมีกำลังพลเพิ่มขึ้นกว่า 200,000 คน
ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพสหภาพโซเวียตรัสเซียมีคำสั่งให้ 4 กองทัพเข้าประจำแนวรบตามพรมแดนของฟินแลนด์
ในการบัญชาการของพลเอก(ยศสุดท้าย
จอมพล)เซมยอน เค. ติโมเซนโก
(Gen.Semyon K. Timoshenko) โดยมี
คำสั่งให้กองทัพที่7 เข้าประจำแนวรบเขตคอคอดแกร์เลียน กองทัพที่ 8 แนวรบด้านทิศเหนือของ
ทะเลสาบลาโดกา(Lake Ladoga) กองทัพที่ 9 เข้าประจำแนวรบในเขตพรมแดนของสหภาพโซเวียตระหว่างเมืองรีโบลี(Reboly)หรือ(Repola)และขยายยาวออกไปถึงเขตเมืองอุคห์ตา
(Ukhta)หรือสาธารณรัฐอูห์ตัว(Republic
of Uhtua)จรดเขตเมืองกันนันเลห์ตี
(Kannanlahti)เมืองในเขตอ่าวของฟินแลนด์ ส่วนกองทัพที่ 14 มอบหมายให้ปฏิบัติการในเขตชายฝั่งมหาสมุทรอาร์กติก กองทัพสหภาพโซเวียตมีกำลังพลทั้งหมดประมาณ 1,000,000 นายใน
30 กองพลประกอบด้วยกองทัพรถถัง
1,000 คันและเครื่องบินหนักสำหรับบินเข้าโจมตี 800 ลำ
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพ
ปฏิบัติการของกองทหารฟินแลนด์
ฟินแลนด์ในขณะนั้นคือจอมพลบารอน
คาร์ล จี.อี. แมนเนอร์ไฮม์(Field Marshal
Baron Carl G. E. Mannerheim)ได้ตั้งกองทหาร 6 กองพลไว้ยันแนวรบข้าศึกในเขตคอคอดแกร์เลียน อีก 2 กองพลให้ตั้งแนวรบไว้ระยะสั้นๆด้านทิศเหนือของทะเลสาบลาโดกา สนับสนุนจากกอง
ทหารกองหนุนอีก 1 กองพล ส่วนด้านทิศเหนือของฝั่งมหาสมุทรอาร์กติกซึ่งไกลออกไปถึง 600 ไมล์ให้เข้าประจำแนวรบ
เฉพาะกองร้อยและกองพันเพียงบางส่วน
ส่วนแนวรบด้านแมนเนอร์ไฮม์ ไลน์แม้จะเป็นเป้าหมายที่ไม่สำคัญในการเข้าโจมตี
ของฝ่ายข้าศึก แต่ก็เป็นหัวใจสำคัญในการจะปกป้องเมือง
หลวงของฟินแลนด์จึงปะจุกำลังพลอย่างเต็มพิกัดขึ้นในพื้นที่ระหว่างชายฝั่งของกรุงเฮ็ลซิงกิ(Helsinki)เมืองหลวงของฟินแลนด์ตรงกันข้ามกับเมืองวายปูรี
(Viipuri)ปัจจุบันคือเมืองวายบอร์ก(Vy-
borg)ฝั่งสหภาพโซเวียต จากสัญญาณอันตรายในการสู้ศึกใหญ่ครั้งนี้ เหล่าผู้บัญชาการกองทัพฟินแลนด์จึงมีการรวมกำลังกันขึ้นและส่งกองทหารเข้าไปยันแนวรบข้าศึกอีกชั้นหนึ่งในเขตทะเลสาบ
ลาโดกา วันที่ 12 ธันวาคมกองทหารราบ
2 กองพันของฟินแลนด์ในการบังคับการของพันเอก(ยศสุดท้ายพลเอก) พาโว ต็อลวีลา (Col. Paavo Talvela)เข้าโจมตีและทำลาย
กองทหารฟินแลนด์กับปืนกลสมัยใหม่
กองพลที่139 โซเวียตลงอย่างราบคาบในพื้นที่เขตเมืองต็อลวายาร์วี(Tolvayarvi)
ด้านทิศเหนือของทะเลสาบลาโดกา จากนั้นก็รุกกำลังรบเข้าโจมตีกองพลที่ 75 โซเวียตจนย่อยยับอีกครั้ง อีกด้านหนึ่งใน
วันที่ 11 ธันวาคมขณะนั้นกองทัพขนาดเล็กอีก2 กองพลในการบังคับการของพัน
เอก(ยศสุดท้ายพลเอก)ฮจาลมาร์ เอฟ.
ไซลาสวู (Col. Hjalmar F. Siilasvuo)เข้า
ล้อมโจมตีปิดผนึกกองพลที่163 โซเวียต
ก่อนจะบุกเข้าทำลายกองพลที่44 โซเวียตจนย่อยยับอีกครั้งจากการสู้รบในเขตพื้นที่ซัวมุสซ็อลมี(Suomussalmi) บนแผ่นดินฟินแลนด์ จากชัยชนะเหล่านี้
การใช้สกีเลื่อนผ่านพื้นผิวหิมะของกองทหารในระหว่างเกิดสงครามฤดูหนาวที่ฟินแลนด์
ของกองทัพฟินแลนด์จึงทำให้กองทัพฝ่ายสหภาพโซเวียตยุติแผนการในการจะรุกกองทัพเข้ามาทางทะเลสาบลาโด
กาเพื่อบีบบังคับกองทัพฟินแลนด์จากด้านทิศเหนือและรุกไล่ลงเขตพื้นที่ส่วนที่
แคบสุดของฟินแลนด์บริเวณอ่าวบ็อธเนีย
(Gulf of Bothnia)ในขณะที่ขวัญและกำลังใจของชาวฟินแลนด์มีมากขึ้น และในเวลานั้นฟินแลนด์ยังนำยุทธวิธืของ
กลุ่มม็อตตี(Motti Tactics)เข้ามาปฏิบัติการด้วย(กลุ่มประชาชนที่สนับสนุนกองทัพฟินแลนด์โดยแฝงตัวอย่างลึกลับอยู่ในเขตป่าและมีความเชี่ยวชาญด้านการปิดล้อมข้าศึกและการสร้างกับดักหลุมพราง) และกองทหารใน
กองพลของสหภาพโซเวียตถูกกับดักและหลุมพรางจากปฏิบัติการของกลุ่มม็อตตีฟินแลนด์เป็นจำนวนมาก
ในเดือนมกราคมปี 1940 กองทัพสหภาพโซเวียตแต่งตั้งจอมพลไคลเม็นต์ วาย. โวโรซิล็อฟ(Marshal Kliment Y. Voroshilov)เป็นผู้บัญชาการครอบคลุมทั้งหมดในกองทัพสหภาพโซเวียต ส่วน
พลเอกติโมเซนโกได้รับคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่เฉพาะเขตคอคอดแกร์เลียน โดยการส่งกองทัพที่ 13 ให้เคลื่อนกำลังพลไปอยู่ทางด้านขวาของกองทัพที่ 7 วันที่ 1
กุมภาพันธ์เปิดการโจมตีครั้งสุดท้ายในเขตคอคอดแกร์เลี่ยนบริเวณแมนเนอร์
ไฮม์ ไลน์ซึ่งเป็นการบุกเข้าโจมตี
กองทหารกำลังการเดินเท้าผ่านภูมิประเทศและอากาศที่เย็นจัดระหว่างเกิดสงครามฤดูหนาวในฟินแลนด์
ที่หนักหน่วงและรุนแรงจากฝ่ายสหภาพโซเวียตแต่การรุกรบให้กองทัพเดินหน้านั้นเป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง วันที่ 4 มีนาคมกองทัพสหภาพโซเวียตรุกรบเข้ามาจากด้านทิศตะวันตกเพื่อจะทำการข้ามน้ำใน
เขตอ่าวเมืองวายบอร์กในขณะที่น้ำในอ่าวทะเลเริ่มจับตัวเป็นเยือกแข็งเนื่องจากความเย็นจัดของอากาศและเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนกำลังของกองทัพรถถัง แต่ไกลออกไปในพื้นที่แนวรบอีกส่วนหนึ่งขณะนั้นกองทัพสหภาพโซเวียตกำลังจะบุกเข้าโจมตีเขตชนบทอีกด้านหนึ่งในเขตคอคอดแกร์เลียน วันที่ 6 มีนาคมฟินแลนด์ได้ส่งผู้แทนไปที่กรุงมอสโคว์เพื่อเจรจา
กองทหารฟินแลนด์กำลังเข้าต้านทานข้าศึกระหว่างเกิดสงครามฤดูหนาว
กับฝ่ายสหภาพโซเวียต วันที่ 12 มีนาคมจึงมีการลงนามในสนธิสัญญามอสโคว์
(Treaty of Moscow) เป็นการยุติสง
ครามฤดูหนาวระหว่างสหภาพโซเวียตและฟินแลนด์ กองทัพฟินแลนด์ยังอยู่ใน
สภาพพร้อมรบแม้กองทหารจะเสียชีวิต
และสูญหายในระหว่างการทำสงคราม
24,923 นาย บาดเจ็บ 43,557 นาย ส่วนกองทัพสหภาพโซเวียตเสียชีวิตในขณะทำการสู้รบและเสียชีวิตเนื่องจากความเย็นจัดของอากาศตัวเลขอยู่ที่200,000
นาย ความสำคัญในการทำสนธิสัญญามอสโคว์คือ ฟินแลนด์ถูกบังคับให้ยกดินแดนในเขตคอคอดแกร์เลียนให้แก่สหภาพโซเวียตรวมถึงพื้นที่ทั้งหมดของ
เมืองวายบอร์กและอาณาเขตด้านทิศเหนือของทะเลสาบลาโดกา รวมถึงพื้นที่
อีกครึ่งหนึ่งในเขตคาบสมุทรไรบาชิและ
พื้นที่โดยรอบรวมถึงตัวเมืองซอลลา(Sal-
la)ปัจจุบันคือเมืองกัวลายาร์วี(Kualayar-
vi)และเมืองคูซาโม(Kuusamo) นอกจากนั้นสหภาพโซเวียตยังได้อภิสิทธิ์ในการตั้งฐานทัพเรืออยู่ในเขตอ่าวฮานโกเป็นเวลา 30 ปี ซึ่งเป็นวาระที่ฝ่ายฟินแลนด์ต้องจำยอมสูญเสียดินแดนส่วนมากของประเทศ พอๆกับการสูญเสียประชากรที่อพยพลี้ภัยไปต่างประเทศถึง400,000คน
ในขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มสั่นคลอนอย่างหนัก
โฆษณา