Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Singto Singto อธิรัฐ ปราการบดินทร์
•
ติดตาม
17 เม.ย. 2023 เวลา 06:23 • ประวัติศาสตร์
การลอบปลงพระชนม์รัชทายาทราชวงศ์ออสเตรีย ชนวนเกิดมหาสงคราม (สงครามโลกครั้งที่1)
ความสำคัญของราชวงศ์ออสเตรีย-
ฮังการีหรือราชวงศ์แฮ็บสบูร์ก(Habs-
burg)กับการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1
ราชวงศ์ Habsburg ซึ่งได้ชื่อมาจากคำว่า
Habichtburg ซึ่งหมายถึง"ปราสาท
เหยี่ยว" ในเขตการปกครองอาร์เกา (Aargau)ซึ่งเป็นเขตการปกครองที่เก่าแก่ของชาวสวิสและได้ครอบครองอาณาจักรออสเตรียมาตั้งแต่ปี 1278 และมีอำนาจแห่งจักรวรรดิปกครองจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์(Holy Roman Empire)จากปี 1438 จนถึงปี 1806 นอกจากนั้นราชวงศ์แฮ็บสบูร์กยังเป็นกษัตริย์เข้าไปปกครองสเปนมาตั้งแต่ปี 1516 ถึงปี 1700 ซึ่งนับเป็นเวลา
พระจักรพรรดิฟรังซ์ โยเซฟและจักรพรรดินีอลิซาเบธเจ้าหญิงแห่งบาราเวีย
หลายร้อยปีที่ราชวงศ์แฮ็บสบูร์กของออสเตรีย- ฮังการีได้รวมอำนาจการปกครองดินแดนหรือแคว้นต่างๆซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลจนครอบคลุมถึงส่วนกลางของยุโรปรวมเนื้อที่กว่า700,000 ตาราง
กิโลเมตร เริ่มจากเขตหนาวเย็นของเทือกเขาแอลป์จรดเขตกระแสน้ำอุ่นในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อีกด้านหนึ่งเริ่มจากเขตไทรอล(Tyrol)ด้านทิศเหนือของอิตาลีจนถึงเขตที่ราบกว้างของยูเครน พื้นที่การปกครองของออสเตรีย- ฮังการี
ยังครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของเช็คโกสโลวาเกียและยูโกสลาเวีย ในเวลาเดียว
กันอาณาจักรการปกครองของออสเตรีย-
ฮังการียังประกอบไป
ด้วยผู้คนหลายกลุ่มหลายภาษาเช่นเซิร์บ
สโลเวน โครเอเชีย โปแลนด์ เช็ค ยูเครน
สโลวัก เยอรมัน อิตาเลี่ยน และรูมาเนีย
พระจักรพรรดิฟรังซิส โยเซฟ(Francis Joseph)หรือ(Franz Josef)ในภาษาเยอรมันขึ้นครองราชบัลลังก์ออสเตรีย-
ฮังการี(Dual Dynasty)ในปี 1848มีจักร
พรรดินีพระนามว่าอลิซาเบธเจ้าหญิงแห่งบาราเวีย ทั้งสองพระองค์สูญเสียพระราชธิดาองค์แรกตั้งแต่ทรงพระเยาว์เนื่องจากทางเจ็บป่วย เหลือเพียงพระโอรสองค์เดียวคือมกุฏราชกุมารรูดอร์ฟ พระนามเต็มว่าเจ้าชายรูดอล์ฟ ฟรังซ์ คาร์ล โยเซฟ(Crown Prince Rudolf Franz Karl
พระจักรพรรดิฟรังซ์ โยเซฟและรัชทายาท
Joseph) พระจักรพรรดิฟรังซ์ โยเซฟทรงเข้มงวดกับพระโอรสองค์นี้มากและบางครั้งก็ทรงเฉยเมยและเย็นชา เจ้าชายรูดอล์ฟจึงเจริญพระชนม์ขึ้นมาท่ามกลางความสับสนและความคลุมเครือ เมื่อเจริญพระชนม์เป็นหนุ่มก็ดำดิ่งอยู่กับกามคุณและมีความประพฤติผิดแปลกไปจากรัชทายาทราชบัลลังก์
รัชทายาทราชวงศ์แฮ็บสบูร์กถูกเปลี่ยนผ่านในตอนเที่ยงคืนของวันที่30 มกราคม
1889 เมื่อเจ้าชายรูดอล์ฟทำอัตวินิบาต
กรรม(ฆ่าตัวตาย)ด้วยพระแสงปืนหลังจากเข้าไปประทับในกระท่อมล่าสัตว์ที่เมเยอร์ลิง(Meyerling)พร้อมกับสตรีตระกูล
บารอนนางหนึ่งอายุสิบเจ็ด
ย่างสิบแปดชื่อว่าแมรี่ เว็ตซีรา(Mary Vet-
sera)ซึ่งเป็นชายาลับของพระองค์ เนื่องจากเจ้าชายรูดอล์ฟทรงน้อยพระทัยเรื่องการทวงราชบัลลังก์ของเหล่าราช
วงศ์และถูกกีดกันเรื่องความรักระหว่างพระองค์กับแมรี่ เว็ตซีรา พระองค์สังหารเธอเป็นคนแรกจากนั้นจึงปลิดพระชนม์ชีพของพระองค์เอง
หลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายรูดอล์ฟ
รัชทายาทราชบัลลังก์แฮ็บสบูร์กจะต้องตกแก่เจ้าหญิงอลิซาเบธพระธิดาที่ประสูติในเจ้าชายรูดอล์ฟกับเจ้าหญิงสเตฟานี่พระชายาหากไม่มีผู้ชายจะสืบราชสันตติวงศ์ แต่พระจักรพรรดิฟรังซ์ โยเซฟยังมีพระอนุชาอีก 3
จักรพรรดิแม็กซิมิเลียนแห่งเม็กซิโก
พระองค์คือ จักรพรรดิแม็กซิมิเลียน พระ
นามเต็มว่าเฟอร์ดินานด์ แม็กซิมิเลียน โยเซฟ(Ferdinand Maximilian Joseph) พระองค์นี้เข้าไปมีอำนาจในเม็กซิโกแต่ไม่เป็นที่ยอมรับในการจะครองราชบัลลังก์ของชาวแม็กซิกัน สุดท้ายแม็กซิ
มิเลียนก็ถูกประหารโดยการยิงเป้าโดยกลุ่มทหารที่มีคำสั่งให้ประหารนักโทษในวันที่ 17 มิถุนายน 1867 พระอนุชาองค์เล็กของพระจักรพรรดิฟรังซ์ โยเซฟพระนามว่าลัดวิก วิคเตอร์(Ludwig Viktor)พระองค์นี้ถูกเนรเทศออกจากกรุงเวียนนาเมื่อมีการนินทาและถูกประณามว่าพระองค์เป็นหนุ่มรูปงามและพอพระ
ทัยในการ
แต่งกายด้วยชุดกระโปรงยาวเยี่ยงอิสตรี
พระจักรพรรดิฟรังซ์ โยเซฟจึงเหลือเพียงพระอนุชาองค์กลางองค์เดียวคือคาร์ล ลัดวิก อาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย
(Karl Ludwig Archduke of Austria)
คาร์ล ลัดวิกมีพระชายาองค์แรกพระนามว่าเจ้าหญิงมาร์กาเร็ตแห่งแซ็กโซนี่แต่สิ้นพระชนม์ในปี 1858 หลังอภิเษกได้สองปีโดยไม่มีพระโอรสและพระธิดา ต่อมาในปี 1862 คาร์ล ลัดวิกได้เข้าอภิเษกกับเจ้าหญิงมาเรีย แอนนันเซียตาพระราชธิดาในกษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งเนเปิลส์และทูซิซิลี ครั้งนี้คาร์ล ล้ดวิกและเจ้าหญิงมาเรียมีพระโอรสและพระธิดาด้วย
กัน 4 พระองค์คือฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์, อ็อตโต ฟรังซ์, เฟอร์ดินานด์ คาร์ล, และเจ้าหญิงมาร์กาเร็ต โซฟี เจ้าหญิงแอน
นันเซียตาสิ้นพระชนม์เมื่อฟรังซ์ เฟอร์ดิ
นานด์มีพระชนม์ได้ 7 พรรษา หลังจากนั้นคาร์ล ลัดวิกได้อภิเษกครั้งที่สามกับเจ้าหญิงมาเรีย เธเรซาพระราชธิดาในกษัตริย์ไร้ราชบัลลังก์มิเกลที่ 1 โปรตุเกส
และเป็นพระวิมาดา(มารดาเลี้ยง)ฟรังซ์
เฟอร์ดินานด์พร้อมกับพระอนุชาและพระขนิษฐาเรื่อยมา
ต่อมาคาร์ล ลัดวิกได้สิ้นพระชนม์ในปี 1896 ในขณะมีพระชนม์ได้ 63 พรรษา
รัชทายาทราชบัลลังก์แฮ็บสบูร์กจึงตก
ทอดแก่ฟรังซ์
รัชทายาทราชวงศ์แฮ็บสบูร์ก(จากซ้ายไปขวา)พระชายาโซฟี อาร์ชดยุกฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์ เจ้าชายเอิร์นสต์ อัลฟอนส์ เจ้าชายแม็กซิมิเลียน คาร์ลและเจ้าหญิงมาเรีย ฟรานซิสกา
เฟอร์ดินานด์พระโอรสองค์โตของคาร์ล ลัดวิกหรือผู้ซึ่งเป็นพระภะติยะ(หลาน)
ของพระจักรพรรดิฟรังซ์ โยเซฟ ซึ่งการสิ้นพระชนม์ของอาร์ชดยุกฟรังซ์ เฟอร์
ดินานด์พระองค์นี้เองทำให้ขั้วมหาอำนาจทางทหาร 2 ฝ่ายของโลกต้องหันหน้ามาสู่การเผชิญหน้าและกลายมาเป็นมหา
สงคราม(Great War)หรือสงครามโลกครั้งที่ 1 ในเวลาต่อมา
วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 1900 เป็นวันอภิเษกระหว่างฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์กับเจ้าสาวตระกูลขุนนางผู้หนึ่งคือโซฟี โซเท็ค
(Sophie Chotek)และมีพระโอรสและพระธิดาด้วยกัน 3 พระองค์ องค์แรกคือเจ้าหญิงมาเรีย
ฟรานซิสกา แอนโตเนีย องค์ที่สองคือเจ้าชายแม็กซิมิเลียน คาร์ล ฟรังซ์ มิเชล
และองค์ที่สามคือเจ้าชายเอิร์นสต์ อัลฟอน ฟรังซ์ อิกนาซ และในวันที่4 ตุลาคม
1904 พระจักรพรรดิฟรังซ์ โยเซฟทรง
แต่งตั้งพระยศพระชายาโซฟีเป็นดัช
เชสส์แห่งโฮเฮ็นเบิร์ก (Duchess of Hohenberg)ซึ่งมีพระยศสูงกว่าเจ้าหญิงทั้งหลายในเหล่าราชวงศ์
กษัตริย์มิลานที่ 4 ของเซอร์เบีย
แต่ในระหว่างนั้นปัญหาของชาวยูโกสลาฟในเขตบอลข่านเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อเรื้อรังมานาน เพราะไม่เคยมีการรวมกลุ่มเป็นประเทศเดียวกันได้แม้แต่ครั้งเดียว ขาวยูโกสลาฟจะประกอบไปด้วยผู้คนอยู่ 3 กลุ่มคือ ชาวสโลเว็น
(Slovene) กลุ่มนี้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิค การเขียนใช้ภาษาลาตินอาศัยอยู่ในเขตคารินเธีย(Carin-
thia)และในเขตคาร์นิโอลา(Carniola)
ซึ่งจะรวมกลุ่มอยู่กับชนชาติเยอรมันภายใต้การปกครองของออสเตรีย ขาวโคร
แอต(Croat)กลุ่มนี้นับถือคริสต์โรมันคา
ธอลิคและเขียนภาษาลาตินเหมือนกัน อาศัยอยู่ในโครเอเชียภายใต้มณฑลการ
ปกครองของฮังการี แต่อีกกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในดัลมาเทีย(Dalmatia) ในมณฑลการปกครองของออสเตรียนั้นจะรวมกลุ่มอยู่กับชนชาติอิตาเลี่ยนและพึงพอใจในการปกครองของออสเตรีย ชาว
เซิร์บ(Serb) กลุ่มนี้
นับถือนิกายออร์โธดอกซ์(Orthodox)การเขียนใช้ภาษาไซริลลิค(Cyrillic)อาศัยอยู่อย่างมีเสรีภาพในเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ส่วนชาวเซิร์บที่อาศัยอยู่ในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาส่วนมากจะเป็นชาวมุสลิมและพึงพอใจกับการปกครองของออสเตรีย และชาวเซิร์บอีกกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาและเป็นต้นตระกูลอันเก่าแก่ของชาวเซอร์เบียกลับไปผูกสัมพันธ์กับชาวตุรกี
ในปี 1881 เซอร์เบียเป็นราชอาณาจักรมีประชากรประมาณ 5,000,000 คน มีกษัตริย์มิลานที่4 (King Milan IV)ราช
วงศ์อ็อบเร็นนอวิช (Obrenovich Dynas-
ty)
กษัตริย์อเล็กซานเดอร์ที่ 1 และราชินีดรากา เมซินของเซอร์เบีย
ปกครองประเทศและผูกสัมพันธไมตรี
เป็นอันดีกับออสเตรีย- ฮังการีและมีการทำสัญญาลับเรื่องการค้าและเศรษฐกิจในเขตปกครองเล็กๆของเซอร์เบียให้อยู่ภายใต้การปกครองของออสเตรีย และนโยบายนี้ตกทอดมาถึงพระโอรสของกษัตริย์มิลานคือกษัตริย์อเล็กซานเดอร์ที่ 1(King Alexander I)ของเซอร์เบีย
แต่มีเหตุการณ์สะเทือนขวัญเกิดขึ้นในปี1903 เมื่อมีกลุ่มทหารกลุ่มหนึ่งนำโดยร้อยเอกดรากูติน ดิมิตริเจวิค(Capt.Dra-
gutin Dimitrijevic) ที่อ้างว่าไม่พอใจกษัตริย์อเล็กซานเดอร์นำธิดาของนางกำนัลพระมารดาชื่อดรากา เมซิน(Draga Masin)
ขึ้นมาเป็นราชินีและทำให้พวกเขาอับอายขายหน้า กลุ่มผู้ก่อการบุกเข้าไปในวังเพื่อปลงพระชนม์กษัตริย์อเล็กซานเดอร์
และราชินีดรากา หลังจากบุกเข้าไปสัง
หารเจ้าหน้าที่ในวังเพื่อค้นหากษัตริย์และราชินีเป็นเวลาหลายชั่วโมงที่บุกเข้าไปสังหารหมู่ ในที่สุดก็พบกษัตริย์อเล็กซานเดอร์และราชินีดรากาหลบซ่อนอยู่ในห้องเล็กๆก่อนจะลากทั้งสองพระองค์ออกมา กษัตริย์ถูกยิงไม่น้อยกว่า 30 นัด ราชินีไม่น้อยกว่า 20 นัด ก่อนจะเปลื้องชุดฉลองพระองค์ออกและโยนร่างทั้งสองพระองค์จากระเบียงวังลงอ่างเก็บน้ำในสวน!
การบุกเข้าไปสังหารเจ้าหน้าที่รักษาวังในระหว่างการปลงพระชนม์กษัตริย์อเล็กซานเดอร์และราชินีดรากา
จากปฏิบัติการที่อุกอาจ-โหดเหี้ยมและกระเทือนขวัญครั้งนั้น ร้อยเอกดรากูตินได้รับรางวัลหรือสินน้ำใจจากกษัตริย์ปีเตอร์ที่ 1 (King Peter I)รัชทายาทราชวงศ์การาจอร์จวิซ(Karageorgevich Dynasty)คู่แค้นในการช่วงชิงราชบัลลังก์เซอร์เบีย
หลังจากขึ้นครองบัลลังก์ กษัตริย์ปีเตอร์ ที่ 1 ได้เลิกล้มระบบการปกครองทั้งหมดของกษัตริย์มิลานและกษัตริย์อเล็กซานเดอร์และจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาพรรคหนึ่งชื่อว่าพรรคเรดิคัล(Radical Party)โดยมีนายนิโคลา ปาสิค(Nikola Pasic)เป็นหัวหน้ารัฐบาล การจัดการในคณะรัฐบาลของนายปาสิคคือ
ปลดปล่อยเซอร์เบียให้หลุดพ้นจากการผูกขาดทางเศรษฐกิจของออสเตรียและหันไปคบค้าและผูกสัมพันธไมตรีกับฝ่ายจักรวรรดิรัสเซีย สิ่งที่ตอกย้ำความเป็นศัตรูระหว่างออสเตรีย- ฮังการีและเซอร์เบียคือ เซอร์เบียกำลังโน้มน้าวหรือโฆษณาต่อประชาชนชาวเซอร์เบียในการจะทำลายล้างอำนาจและอิทธิพลของของออสเตรีย- ฮังการีในเขตบอลข่าน ซึ่งทำให้ทางกรุงเวียนนาและกรุงบูดาเปสต์ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
เซอร์เบียมีความฝันอันยิ่งใหญ่ในการจะรวมประเทศกับมอนเตเนโกร บอสเนีย
เฮอร์เซโกวีนา โครเอเชีย สโลวีเนีย และมาซีโดเนียภายใต้การปกครอง
กษัตริย์ปีเตอร์ที่ 1 ของเซอร์เบีย
ของตนเอง แต่ในวันที่ 6 ตุลาคม 1908 ออสเตรียได้ผนวกเอาดินแดนทั้งหมดของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาให้ขึ้นตรงกับการปกครองอย่างเด็ดขาดของตนเอง จึงเป็นความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับเซอร์เบีย และกระตุ้นให้มหาอำนาจจักรวรรดิรัสเซียเริ่มมีการเคลื่อนไหวภายในประเทศขึ้นมาทันที กองทุนการเงินของชาวรัสเซียที่นับถือออร์โธดอกซ์ถูกถ่ายเทมาที่กรุงเบลเกรดเพื่อต่อต้านราชวงศ์แฮ็บสบูร์ก และทุ่มเงินอีกส่วนหนึ่งเข้าไปสนับสนุนสมาคมลับของชาว
สเลวิค(Slavic)และกลุ่มแบล็คแฮนด์
(Black Hand)ชื่อที่ใช้กันในภาษาเซอร์
เบียคีอ
"ฮู่่เงตินเงนเง อลิ สเมิร์ต" (Ujedinjenje ili
Smrt)หมายถึงกลุ่มมือทมิฬหรือกลุ่มสหภาพแห่งความตาย กองทุนการเงินอีกส่วนหนึ่งเข้าไปสนับสนุนขบวนการนาตีฟ
เบดบรานา(Narodna Odbrana)หรือกลุ่มประชาชนป้องกันชาติ กลุ่มนี้เป็นองค์กรหนึ่งที่สนับสนุนให้มีการจัดการขั้นเด็ด
ขาดกับออสเตรียและฮังการีประกอบด้วย
มกุฏราชกุมารอเล็กซานเดอร์ราชโอรส
ของกษัตริย์ปีเตอร์ที่1ของเซอร์เบียและ
เหล่าคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายปาสิค รวมถึงเจ้าหน้าที่ภายในกองทัพเซอร์
เบียที่กำลังกระหายการทำสงครามกับ
ออสเตรีย- ฮังการี
อีกกลุ่มหนึ่ง
พันเอกดรากูติน ดิมิตริเจวิค
ที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งคือกลุ่ม Mlada Bosna หรือ Young Bosnia (ยุวชนบอส
เนีย)กลุ่มนี้กำลังเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิวัติ เป็นกลุ่มหัวรุนแรงและมีความพยายามจะลอบสังหารเจ้าหน้าที่ออสเตรีย- ฮังการีที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในบอสเนียและโครเอเชียอยู่บ่อยครั้ง และก่อกวนผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์แฮ็บสบูร์ก
วันที่ 17 สิงหาคม 1913 พระจักรพรรดิ
ฟรังซ์ โยเซฟทรงแต่งตั้งพระยศอาร์ช
ดยุกฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์เป็นผู้ตรวจการ
กองทัพแห่งจักรวรรดิและมีพระยศเป็น
พันเอก ต่อมากองทัพออสเตรียวางแผน
จะทำการซ้อมรบในพื้นที่ใกล้ๆ
กับกรุงซาราเยโว(Sarajevo)เมืองหลวงของบอสเนียและขณะนั้นพลเอกออส
การ์ โปติโอเร็ต(Gen.Oskar Potiorek)
นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของออสเตรียกำลัง
ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ว่าการเขตบอสเนียและได้ทราบแผนการในการจะเสด็จเยือนการซ้อมรบครั้งนี้ของอาร์ชดยุก
ฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์และพระชายาโซฟีด้วย ในขณะที่กระแสข่าวเรื่องนี้เกิดดังครึกโครมไปทั่วกรุงเบลเกรดของเซอร์
เบีย หนังสือพิมพ์บางฉบับและกระแสข่าวจากหลายแห่งประโคมข่าวว่า การซ้อมรบของออสเตรียในบอสเนียเป็นเพียงการตบตาเพื่อบุกกองทัพเข้าโจมตี
เซอร์เบีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
พันเอกดรากูติน ดิมิตริเจวิคหลังจากนำคณะทหารผู้ก่อการบุกเข้าไปในวังและปลงพระชนม์กษัตริย์อเล็กซานเดอร์และ
ราชินีดรากาอย่างเหี้ยมโหดในปี1903 ต่อมาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการข่าวของกองทัพเซอร์เบียและรั้ง
ตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มขบวนการแบล็คแฮนด์อย่างลับๆ ขณะนั้นพันเอกดรากูติน
มีอายุ 37 ปีมีชื่อเล่นว่าอะพิส "Apis"ตรงกับคำในภาษาอียิปต์แปลว่าวัวตัวผู้หรือ "กระทิง" เขาเป็นคนที่มีจิตใจเหี้ยมเกรียม
ดุดันและเป็นคนเกลียดชังประเทศออส
เตรียเหมือนไฟสุมอก ในปี 1914 เขากำลังวางแผนจะลอบปลงพระชนม์พระเจ้า
พันตรีโวจิสลาฟ ตันโคสิค
ซาร์ เฟอร์ดินานด์แห่งบัลแกเรียแต่หันมาสนใจกับอาร์ชดยุกฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์ที่กำลังจะเสด็จทอดพระเนตรการซ้อมรบของกองทัพออสเตรียแทน เพราะสิ่งที่ตราประทับอยู่ในจิตใจของเขาเวลานั้นคืออาร์ชดยุกฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์คือศัตรูที่ฉกาจฉกรรจ์ของแผ่นดินเซอร์เบีย
ดังนั้นพันเอกดรากูตินจึงเริ่มวางแผนขึ้นร่วมกับพันตรีโวจิสลาฟ ตันโคสิค(Maj.
Vojislav Tankosic)นายทหารผู้ช่วยของ
เขาและมูฮัมเหม็ด เมห์เหม็ดเบสิค(Muha
-med Mehmedbasic)ชาวมุสลิมลูกศิษย์
การก่อการร้ายของพันตรีตันโคสิคและอีกคนหนึ่งชื่อดานิโล อีริค
(Danilo Ilic)นักหนังสือพิมพ์หนุ่มประจำท้องถิ่นและเป็นสมาชิกคนหนึ่งในขบวน
การแบล็คแฮนด์ ในปี 1914 สถาบันการ
ศึกษาในเซอร์เบียได้เปลี่ยนแปลงหลัก
สูตรตำราเรียนเกี่ยวกับประวัติสงครามใน
เขตบอลข่านและนักเรียนนักศึกษาวัยหนุ่มสาวของเซอร์เบียหันมาต่อต้านราช
วงศ์แฮ็บสบูร์กมากขึ้น จำนวนนี้มีกัฟริโล ปรินซิพ(Gavrilo Princip) นีเดลจ์โก คา-
บรินอวิค(Nedeljko Cabrinovic) และ ทริฟโก กราเบซ(Trifko Grabez)รวมอยู่ด้วย หลังจากได้อ่านรายละเอียดจากหนังสือพิมพ์เรื่องอาร์ชดยุกฟรังซ์ เฟอร์
ดินานด์และพระชายาโซฟีจะเสด็จ
เยือนกรุงซาราเยโวเมืองหลวงของบอส
เนีย ปรินซิพได้ปรึกษาเพื่อนอีกสองคนคือทริฟโกและกราเบซซึ่งทั้งหมดได้ตัด
สินใจอย่างเด็ดเดี่ยวพร้อมกันว่า จะปลงพระชนม์อาร์ชดยุกและพระชายาที่กรุงซาราเยโวทันทีที่มีโอกาส เรื่องนี้ทราบมาถึงหูพันเอกดรากูตินทำให้เขาเข้าใจว่าเด็กหนุ่มในกลุ่มยุวชนบอสเนียคิดจะกระ
ทำการกันเพียงสามคน พันเอกดรากูตินสั่งให้นำเด็กหนุ่มทั้งสามเข้าพบและตัด
สินใจในตอนสุดท้ายว่า จะให้กลุ่มแบล็ค
แฮนด์ช่วยเหลือเด็กหนุ่มสามคนนี้ข้าม
พรมแดนเข้าไปยังบอสเนียพร้อมกับอาวุธ โดยมีเพื่อนร่วมวางแผนการอยู่ที่
นั่นอีกสองคนคือดานิโลและเมห์เหม็ดเบ
สิค จากนั้นพันตรีตันโคสิคจึงนำเด็กหนุ่มสามคนนี้ไปพบกับมิลาน ซิกานอวิค(Mi-
lan Ciganovic)ฝ่ายพลเรือนให้เป็นผู้ฝึก
สอนการใช้อาวุธโดยเฉพาะการยิงปืนและการคว้างลูกระเบิดมือ
ในระหว่างนั้น พันเอกดรากูตินมีความวิตกกังวลเป็นอย่างมากในสิ่งที่เขาคิดว่า
ถ้าอาร์ชดยุกสิ้นพระชนม์ ออสเตรียก็จะอ้างเหตุผลนี้ยกกองทัพบุกเข้าโจมตีเซอร์
เบีย เมื่อความเป็นศัตรูกันไม่มีวันหมดสิ้น
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขานำเรื่องนี้ไปปรึกษาทูตทหารรัสเซียที่กรุงเบลเกรดคือ
การเสด็จเยือนกรุงซาราเยโวของอาร์ชดยุก ฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์และพระชายาโซฟี
พันเอกวิคเตอร์ อาร์ตามานอฟผู้ซึ่งให้การสนับสนุนกลุ่มแบล็คแฮนด์อย่างลับๆ หลังจากนั้นพันเอกวิคเตอร์และนายทหารผู้ช่วยของเขาคือร้อยเอกอเล็กซานเดอร์
เวซคอฟสกีได้ศึกษาแผนการอย่างละเอียดจากพันเอกดรากูติน หลังจากนั้น
พันเอกวิคเตอร์ก็นำเรื่องนี้กลับไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายทางทหาร
ของรัสเซียที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และไม่กี่วันต่อมาพันเอกวิคเตอร์ก็กลับมาให้คำรับรองแก่
พันเอกดรากูตินว่า "ถ้าออสเตรียบุกโจมตี
เซอร์เบีย เซอร์เบียจะไม่โดดเดี่ยวอย่าง
แน่นอน"
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย