Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Singto Singto อธิรัฐ ปราการบดินทร์
•
ติดตาม
18 เม.ย. 2023 เวลา 04:36 • ประวัติศาสตร์
การเสด็จเยือนชั่วนิรันดร์ของ อาร์ชดยุกฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์และพระชายาโซฟี
ก่อนชนวนไฟสงครามโลกครั้งที่1 จะระเบิดขึ้น...การซ้อมรบของกองทัพออสเตรียเริ่มขึ้นในวันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน
1914 ก่อน 6 โมงเช้าเล็กน้อยอาร์ชดยุก
ฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์เสด็จโดยขบวนรถไฟเที่ยวพิเศษไปที่ค่ายทหารของกองทัพที่ 15 และกองทัพที่ 16 ออสเตรียที่กำลังซ้อมรบอยู่อยู่ในค่ายทหารโดยการบัญ
ชาการของพลเอกออสการ์ โปติโอเร็ค
ขณะนั้นกองทหารออสเตรียประมาณ
20,000 นายกำลังจัดกลุ่มวิ่งสวนทางกันขึ้นลงระหว่างทางลาดบนเนินเขาท่าม
กลางฝนตกหนักและลูกเห็บ หลังจากนั้นก็มีสายหิมะโปรยปรายลงมาซึ่งบรรยากาศในการซ้อมรบก็เป็น
หนังสือพิมพ์อังกฤษพาดหัวข่าวการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์และพระชายาโซฟี
ไปเช่นนี้ทั้งสองวัน และในระหว่างที่อาร์ช
ดยุกเสด็จไปทอดพระเนตรการซ้อมรบของกองทัพ เวลานั้นพระชายาโซฟีได้เสด็จเข้าไปในกรุงซาราเยโวด้วยรถเปิดประทุน ที่นี่พระองค์ทรงเสด็จเข้าไปสัก
การะทั้งโบสถ์คริสต์และวิหารออร์โธ
ดอกซ์ จากนั้นก็เสด็จไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โรงเรียนแม่ชีและทรงบริจาคเงินส่วนพระองค์ให้แก่องค์กรการกุศลต่างๆเช่นฝ่ายมัสยิดหลวง ศูนย์ยุวชนซาราเย
โว และสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าตุรกี นอก
จากนั้นพระองค์ยังมีน้ำพระทัยบริจาคเงินในกองทุนส่วนพระองค์ช่วยเหลือในการจัดสร้างวัตถุถาวรที่สำคัญให้แก่
ชาวเมืองอีกด้วย
วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน 1914 ที่จริง
วันนี้คือวันชาติหรือวันหยุดทุกๆปีของชาวเซอร์เบีย เพราะวันนี้ในปี 1398 เกิดการสู้รบในโคโซโว(Kosovo)หลังจากกองทัพ
ตุรกีทำการกดขี่และกวาดต้อนชาวเซอร์
เบียไปเป็นข้าทาสบริวารของจักรวรรดิ
อ็อตโตมัน วันนี้จึงเป็นวันที่ชาวเซิร์บทุก
คนเรียกว่าวันเซนต์.วิตุส(St.Vitus Day) หรือวันแห่งการชำระแค้นกับต่างชาติผู้
รุกราน ซึ่งชาวเซิร์บทุกคนจะต้องต่อสู้เพื่อความยิ่งใหญ่ของชาวเซอร์เบีย การ
เสด็จเยือนกรุงซาราเยโวของอาร์ชดยุก
และพระชายาโซฟีซึ่งตรงกับวันเซนต์
รัชทายาทราชวงศ์แฮ็บสบูร์ก
วิตุสของชาวเซิร์บยิ่งทำให้หลายๆฝ่ายมีความวิตกกังวลมากขึ้น เช่นสำนักงานต่างประเทศ สำนักงานมหาดไทย และสำนัก
งานกงสุลออสเตรียในกรุงเบลเกรดของ
เซอร์เบีย รวมถึงหน่วยการข่าวกองทัพออสเตรียและบุคคลในส่วนต่างๆหรือแม้แต่โจซิฟ ซูนาริค(Josip Sunaric)รอง
ประธานสภานิติบัญญัติบอสเนียและ
เคานต์ คอลลาส(Count Collas)อธิบดีฝ่ายปกครองบอสเนียยังเตือนว่า การเสด็จเยือนกรุงซาราเยโวครั้งนี้ของอาร์ช
ดยุกและพระชายาจะเผชิญกับอันตรายจากกลุ่มวัยรุ่นชาตินิยมชาวเซิร์บที่ชอบกระทำการอันอุกอาจและรุนแรง แต่พล
เอกออสการ์ไม่
เกรงกริ่งและเพิกเฉยต่อคำเตือนนั้นเสีย
วันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายนซึ่งเป็นวันเซนต์. วิตุสของชาวเซิร์บ ก่อนเวลา 9.30 น.ใน
ตอนเช้า อาร์ชุดยุกฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์และพระชายาโซฟีเสด็จออกจากโรงแรม
Hotel Bosna และใช้เวลาไม่นานก็ขึ้นประทับบนขบวนรถไฟมุ่งเสด็จสู่กรุงซาราเยโวโดยมีกองทหารขนาดเล็กจาก
กองทัพที่ 15 ออสเตรียร้องเพลงชาติและโบกธงชาตินำการเสด็จ
ที่หน้าสถานีรถไฟขณะนั้นพลเอกออส
การ์ยืนถวายการต้อนรับอยู่ข้างๆพรมสีแดง ข้างๆเขาคือพลเอกมิเชล ฟ็อน แอ็ป-
เป็ลผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองทัพซารา
เยโวได้นำกองทหาร
ส่วนหนึ่งจากค่ายฟิลิปโปวิคมาตั้งแถวทหารถวายความเคารพ จากนั้นก็จัดริ้วขบวนรถยนต์นำเสด็จสู่ศาลาว่าการกรุง
ซาราเยโว ขบวนรถยนต์ออกเคลื่อนที่นำ
การเสด็จมาทางถนนแอ็ปเป็ล เควย์ (Ap-
pel Quey)และแล่นเรียบไปชายฝั่งแม่น้ำ
มิลแจ็คกา(Miljacka River)โดยมุ่งขึ้นทางทิศเหนือโดยมีกลุ่มผู้คิดก่อการร้ายยืนแฝงตัวเรียงรายอยู่ตลอดเส้นทางพร้อมกับอาวุธในมือตามแผนสั่งการของ
ดานิโล อีริค เมห์เหม็ดเบสิคและคาบรินอ
วิคแอบซุ่มยืนอยู่ใกล้ๆสะพานคูเมอร์จา
(Cumurja Bridge) และอีก 4 คนยืนแฝงตัวอยู่ใกล้ๆสะพานลาไทเนอร์
1
กัฟริโล ปรินซิพ
(Lateiner Bridge) คือปรินซิพ คาบรินอวิค โปโปวิคและกราเบซ เมื่อขบวนรถพระที่นั่งมาถึงจุดและได้จังหวะเมห์เหม็ด
เบสิคโผล่ออกไปพร้อมระเบิดในมือแต่ต้องตัวแข็งทื่อไม่สามารถทำอะไรได้เพราะตำรวจนายหนึ่งจ้องเขม็งมาที่เขา
ซึ่งตรงกันข้ามกับนีเดลจ์โก คาบรินอวิค
เพราะเขามีความตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าเขายอมสละชีพเพื่อปลงพระชนม์อาร์ชดยุก
ฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์จึงพรวดพราดออกไป
และดึงสลักออกก่อนคว้างลูกระเบิดมือไปยังรถยนต์พระที่นั่งเป้าหมายคือพระมาลาประดับขนนกสีเขียวที่สวมอยู่บนพระเศียรของอาร์ชดยุก แต่ลูกระเบิดหล่นลงไป
กระทบกับเบาะด้านหน้าที่นั่งของเคานต์
ฮาร์ราซเจ้าของรถและกลิ้งลงไประหว่าง
คันเร่งรถยนต์ทำให้เลียวโปลด์ ลอยกา
(Leopold Loyka)ผู้ทำหน้าที่ขับรถพระที่
นั่งต้องเบรครถอย่างกระทันหันก่อนจะหยิบลูกระเบิดขึ้นมาอย่างตกตะลึงและโยนออกไปทางด้านหลังตกลงบนกระโปรงด้านหลังแล้วกลิ้งตกลงกระแทกพื้นก่อนจะระเบิดขึ้นเสียงดังตูมสนั่น!
เคานต์ ฮาร์ราซรีบกระโดดลงจากรถและ
เดินอย่างรีบร้อนไปยังรถยนต์คันที่แล่นติดตามมาและอยู่ในรัศมีของแรงระเบิด
เคานต์ บูส-วอลเด็คเจ้าของรถคันที่แล่นตามมาถูกสะเก็ดระเบิดแต่ไม่มากนักและ
นางสนอง
นีเดลจ์โก คาบรินอวิค
พระโอษฐ์ของพระชายาโซฟีคือเคาน์เตส
วิลมา ฟ็อน วอลเล็นเบิร์กถูกสะเก็ดระเบิดด้วยเช่นกันแต่ไม่รุนแรงนัก แต่ศีรษะของพันโทอีริค เมเร็ซซีมีเลือดไหลโกรกออกมาเนื่องจากถูกสะเก็ดระเบิดอย่างแรงและมีแผลฉกรรจ์จึงต้องมีการปฐมพยาบาลเป็นการด่วนก่อนจะนำตัวไปส่งยังโรงพยาบาลในค่ายทหาร
หลังจากปาระเบิด นีเดลจ์โก คาบรินอวิค
รีบกระโดดขึ้นไปบนรางรถไฟที่สร้างขนานไปกับริมแม่น้ำมิลแจ็คกาก่อนจะกระโดดจากฝั่งซึ่งสูง 25 ฟุตลงไปยังแม่น้ำและพยายามจะกลืนกินยาพิษไซยาไนด์ท่ามกลางเจ้าหน้าที่กระโดดลงไปตะครุบตัวเขาในน้ำ เขาถูกตีและ
ถูกต่อยจนยาพิษหลุดกระเด็นออกจากปากก่อนจะถูกลากตัวขึ้นมาบนฝั่งและหมดโอกาสในการจะฆ่าตัวตาย หลังจากมีพิธีการถวายการต้อนรับแบบใจหายใจคว่ำกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองที่กรุงซา
ราเยโว ขณะนั้นอาร์ชดยุกฟรังซ์ เฟอร์
ดินานด์ทรงกริ้วเหล่าข้าราชบริพารเป็น
อย่างมากและมีพระประสงค์จะเสด็จไปดูอาการของพันโทเมเร็ซซีที่โรงพยาบาลในค่ายทหาร และอีกครั้งที่พลเอกออส
การ์รับปากจะถวายความปลอดภัยให้แก่สองพระองค์ในการจะกลับไปตามเส้นทางเดิม ซึ่งทำความไม่พอใจเป็นอย่างมากให้แก่บารอน รูเมอร์สเกิร์ซผู้ติดตามพระชายาโซฟีและพันเอก
เลียวโปลด์ ลอยกา
คาร์ล บาร์ดอร์ฟหัวหน้าราชองครักษ์
กัฟริโล ปรินซิพใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมงที่ยืนดักรออยู่บนฝั่งแม่น้ำ และเขารู้สึกสลดใจที่เห็นนีเดลจ์โกเพื่อนร่วมงานถูกลากตัวไปต่อหน้าต่อตา แต่เขายังเชื่อจากหนังสือพิมพ์ที่บอกว่าอาร์ชดยุกจะเสด็จเยือนพิพิธภัณฑ์โดยผ่านทางสายนี้
แต่ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเพราะหลังจากมีการปาระเบิดแผนการทุกอย่างอาจจะ
เปลี่ยนแปลงไป แต่แล้วเขาต้องตกตะลึง
เมื่อขบวนรถยนต์พระที่นั่งคันแรกหักเลี้ยวออกจากถนนแอ็ปเป็ล เควย์ตรงมายังจุดที่เขากำลังยืนอยู่ คันที่สองติด
ตามมาคือรถยนต์พระที่นั่งขับ
โดยเลียวโปลด์ ลอยกาผู้ไม่ระแคะระคายว่าเรื่องอันเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น
ในขณะที่ขบวนรถพระที่นั่งกำลังแล่นมา
พลเอกออสการ์รีบตะโกนบอกให้รถหยุด
เพราะเข้าใจว่ามาผิดเส้นทาง เลียวโปลด์
ลอยการีบดึงเบรคมือหยุดรถอย่าง
กระทันหัน เพียงเสี้ยววินาทีที่เขาจะเข้า
เกียร์ถอยหลัง กัฟริโล ปรินซิพยืนอยู่ห่างจากรถพระที่นั่งเพียง 5 ฟุต เขาจำพระ
พักตร์อาร์ชดยุกได้ดีและมองไปที่พระ
ชายาโซฟี!
เสียงเครื่องยนต์รถยนต์พระที่นั่งดังกระหึ่มขึ้นและกำลังจะเคลื่อนถอยกลับ!
ปรินซิพดึงปืนพกผลิตในเบลเยี่ยมยี่ห้อ
บราวนิ่งแบบ 1910
อาร์ชดยุกฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์และพระชายาโซฟี
(Browning Model 1910) ออกมาแล้วเหนี่ยวไกยิง!
คนในพื้นที่ให้การว่าได้ยินเสียงปืนดังขึ้นสามนัด และบารอน มอร์เซย์ให้การว่ามี
อยู่นัดหนึ่งพุ่งตรงไปยังพระมาลาของ
อาร์ชดยุกจนขนนกสีเขียวหลุดจากพระ
มาลากระจายเกลื่อนลงพื้นรถ และในขณะที่ปรินซิพกำลังเหนี่ยวไกยิง มีตำรวจนายหนึ่งที่ยืนถวายความปลอดภัย
อยู่ใกล้ๆวิ่งเข้ามาตะปบแขนของปรินซิพ
กระสุนอีกนัดหนึ่งอาจจะลดระดับลงและ
พุ่งตรงไปยังพระชายาโซฟี
ผู้คนแตกตื่นเข้ามารุมล้อมปรินซิพ บารอน มอร์เซย์พุ่งปราดเข้าไป เมื่อเห็นปรินซิพยังถือปืนอยู่จึงใช้ด้ามดาบฟาดไปที่แขน
ของปรินซิพอย่างแรงจนปืนหลุดจากมือหล่นลงไปบนทางเท้า ปรินซิพพยายามจะเปิดฝาขวดเพื่อกลืนกินยาพิษ แต่เขาถูกตีเข้าที่แขนอย่างแรงจนขวดยาพิษหลุดกระเด็นออกจากมืออีกครั้ง สุดท้ายก็ถูกล็อคและถูกลากตัวไปเช่นเดียวกับนี
เดลจ์โก คาบรินอวิค และหมดโอกาสจะฆ่าตัวตายทั้งสองคน
"มันเกิดขึ้นอีกจนใด้" นี่คือพระวาจาที่แผ่วเบาเกือบจะเป็นกระซิบที่พลเอกออสการ์
ได้ยินจากพระโอษฐ์ของอาร์ชดยุก ในเวลาเดียวกันเคานต์ ฮาร์ราซก็พบว่าขณะ
นั้นมีกระแสพระโลหิตสายเล็กๆไหลออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ทั้งอาร์ชดยุกฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์และ
รถยนต์พระที่นั่งของอาร์ชดยุก
พระชายาโซฟีต่างตั้งพระวรกายอยู่ได้ไม่กี่นาที ในขณะที่พระชายาพยายามมองไปที่พระพักตร์ของอาร์ชดยุก เมื่อทอดพระเนตรเห็นสายพระโลหิตและพระพักตร์ที่ทรงบิดเบี้ยวเนื่องจากทรงเจ็บปวดของอาร์ชดยุก พระชายาทรงอูทานว่า "ได้แต่สวรรค์! นี่เรื่องอะไรเกิดขึ้นกับ
พระองค์!" และพระพักตร์ของพระชายาขณะนั้นก็แสดงถึงความเจ็บปวดไม่แพ้กัน ก่อนที่พระเนตรของพระชายาจะปิดลงและซบพระพักตร์ลงกับพระเพลา"ตัก"
ของอาร์ชดยุก ทั้งพลเอกออสการ์และเคานต์ ฮาร์ราซต่างคิดว่าพระชายาทรงสลบไป และทั้งสองคนได้ยินพระเสียงที่
ชัดเจนของอาร์ชดยุกที่
การเสด็จเยือนกองทหารของอาร์ชดยุก ฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์
ทรงเปล่งพระวาจาออกมา "โซฟี...โซฟี...อย่าตายนะ..ต้องอยู่เพื่อลูกของเรา" หลังจากนั้นพระองค์ก็ซบพระพักตร์ลง พระมาลาหล่นจากพระเศียรตกลงไปที่พื้นรถ เคานต์ ฮาร์ราซช่วยประคองพระองค์ขึ้นมา ครั้งนี้พระโลหิตสีแดงสดๆไหลทะลักออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์จนเปรอะเปื้อนแก้มของ
เคานต์ ฮาร์ราซ เมื่อเห็นว่าอาร์ชดยุกทรง
เจ็บหนัก พลเอกออสการ์จึงสั่งให้เลียว-
โปลด์ ลอยกาขับรถนำทั้งสองพระองค์ไปที่ตึกโกเน็คซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของเขา
โดยเร็วที่สุด โดยข้ามทางสะพานลาไท
เนอร์แล้วแล่นตรงไป ในขณะที่พระชายา
โซฟีทรงแน่นิ่งอยู่ใน
วงแขนของผู้ว่าการบอสเนีย ในขณะที่รถกำลังแล่นไป เคานต์ ฮาร์ราซพยายามประคองอาร์ชดยุกและใช้ผ้าเช็ดหน้ารองพระศอพิงพระองค์ไว้กับขอบบนของเบาะที่นั่งและพยายามมองหาบาดแผลที่มีพระโลหิตไหลออกมาแต่มองไม่เห็น
"ฝ่าพระบาททรงเจ็บมากหรือไม่ เกล้ากระหม่อม?" เคานต์ ฮาร์ราซทูลถาม"ไม่มีอะไร" อาร์ชดยุกตรัสตอบอย่างแผ่วเบา
และตลอดระยะทางที่รถกำลังแล่นมายังตึกโกเน็ค อาร์ชดยุกจะตรัสอยู่แต่คำว่า
"ไม่มีอะไร" อยู่ถึงหกหรือเจ็ดครั้งก่อนที่พระองค์จะค่อยๆเงียบพระเสียงลง
ขณะนั้นพันเอกบาร์ดอร์ฟ เอ็ดเวิร์ด เบ-
เยอร์เสนารักษ์จาก
โรงพยาบาลในค่ายทหารและดอกเตอร์
เฟอร์ดินานด์ ฟิซเซอร์พร้อมกับเจ้าหน้าที่อีกหลายคนกำลังง่วนอยู่ข้างๆพระวรกายของอาร์ชดยุกที่ทรงประทับนอนอยู่บน
เบาะนวมบางๆ พระอัสสาสะพระปัสสาสะ
ทรงรวยรินและแผ่วเบา ม่านพระเนตรไม่
ตอบสนองใดๆ พระโลหิตยังไหลออกจากพระโอษฐ์ไม่หยุด เจ้าหน้าที่ที่อยู่รอบๆข้างพระองค์ช่วยกันปลดกระดุมปกคอเสื้อที่พระองค์ที่ทรงสวมเป็นฉลองพระองค์คลุมออกมา และสุดท้ายบารอน
มอร์เซย์เป็นผู้ตัดเสื้อคลุมบริเวณพระอุระ
และเฉือนออกบริเวณปกคอ จากนั้นก็เปิดกระดุมเสื้อเชิร์ตที่พระองค์ทรงสวมเป็นฉลองพระองค์
อริยาบทหนึ่งของเจ้าหญิงโซฟี โซเท็ค
ชั้นใน ทุกคนเห็นสร้อยพระศอทองคำซึ่งมีเหรียญหรือตะกรุดประเภทเครื่องรางห้อยแขวนอยู่กับสร้อยพระศอเจ็ดอัน บริเวณส่วนบนของกระดูกพระรากขวัญ
(กระดูกไหปลาร้า)ด้านขวาของพระองค์มีรอยกระสุนปืนเล็กๆแทบจะปิดปากแผล
บารอน มอร์เซย์ประคองอาร์ชดยุกด้วยแขนขวาของเขาและพยายามจะประคองให้พระองค์ทรงนั่งประทับตรงขึ้นมา คราวนี้พระโลหิตสดๆพุ่งทะลักจากพระโอษฐ์ของพระองค์จนเลอะใบหน้าและชุดเครื่องแบบของบารอน มอร์เซย์และทะลักข้ามไปถึงผนังกำแพง บารอน
มอร์เซย์ก้มตัวลงถวายบังคมและเอื้อมมือไปจับพระหัตถ์ของพระองค์และทูลกระ
ซิบ
การเสด็จเยือนกองทหารของอาร์ชดยุก ฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์
พระองค์ว่า มีอะไรที่พระองค์จะดำรัสไป
ถึงพระโอรสและพระธิดาหรือไม่ แตไม่
มีคำดำรัสใดๆออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์
"ฝ่าพระบาทสิ้นพระชนม์แล้ว!" พันเอกเอ็ดเวิร์ด เบเยอร์ร้องประกาศขึ้น
ส่วนพระชายาโซฟีในขณะนั้นทรงประ
ทับนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงเหล็กในห้องถัด
ไป ทุกคนคิดว่าพระองค์ทรงเป็นลมหรือ
หมดสติ แต่เมื่อดอกเตอร์คาร์ล วอลฟ์กัง
นายแพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาลทหารได้สอบถามเคาน์เตส วิลมา วอลเล็นเบิร์ก
นางสนองพระโอษฐ์ของพระชายาโซฟีจึงได้ความว่า เห็นพระโลหิตของพระองค์ไหลซึมออกมาตามบั้นพระองค์(เอว)จากรอยกระสุนปืนเล็กๆ
อยู่ใต้พระอุทร(ท้อง)ด้านขวาของพระองค์ เมื่อนายแพทย์ใหญ่เข้าไปจับพระชีพจรปรากฏว่า พระชีพจรของพระองค์ได้หยุดเต้นไปนานแล้ว เพราะพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ในระหว่างทางที่นำเสด็จมายังตึกโกเน็ค!
อนุสรณ์สถานที่ตั้งวางพระศพของอาร์ชดยุกฟรังซ์ เฟอร์ดินานด์และพระชายาโซฟี
พระศพของอาร์ชดยุกฟรังซ์ เฟอร์ดิ
นานด์และพระชายาโซฟีถูกนำออกจากตึกโกเน็คและนำพระศพโดยขบวนรถไฟมาถึงกรุงเวียนนาในวันที่2 กรกฎาคม 1914 ท่ามกลางความโทมนัสจนสุดประมาณของเหล่าพระญาติประยูรวงศ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระธิดาและพระโอรสของทั้งสองพระองค์
ในระหว่างนั้นประธานาธิบดีวูดอว์ วิลสันของสหรัฐได้ส่งข้อความทางโทรเลขไปถึงรัฐบาลของออสเตรียแสดงความเสียใจในการลอบปลงพระชนม์ที่เลว
ร้ายป่าเถื่อนต่ออาร์ชดยุกและพระชายา
โซฟี พระเจ้าจอร์จที่5 ของอังกฤษทรงบันทึกไว้ในไดอารี่ส่วนพระองค์ว่า " เรื่อง
นี้จะกระทบกระเทือน
ต่อพระทัยของจักรพรรดิผู้ชราภาพอันเป็นที่รักยิ่ง และจะทรงอาลัยอาวรณ์ด้วย
ความเสียพระทัยจนสุดประมาณ " พระ
ราชินีวิคตอเรีย แมรี่ทรงบันทึกว่า " เป็น
หายนะที่เลวร้ายต่ออาร์ชดยุกและพระ
ชายาและเป็นเหตุทำให้เราช็อค พระ
จักรพรรดิที่ชราภาพไม่มีผู้ใดจะสืบทอด
ข้าพเจ้าคิดว่าสถานภาพการสิ้นพระชนม์
ของอาร์ชดยุกและพระชายา จะทำให้
อนาคตของพระธิดาและพระโอรสของสองพระองค์เกิดความยุ่งยากขึ้น "
เวลานั้นประเทศในกลุ่มยุโรปส่วนมากจะ
ทำการไว้ทุกข์ อังกฤษไว้ทุกข์ภายในประเทศ 1 สัปดาห์ รัสเซีย 2 สัปดาห์ เยอรมนี 3 สัปดาห์
และโรมาเนียไว้ทุกข์เป็นเวลา 1 เดือน พระสันตะปาปาปิอุสที่ 10(Pope Pius X)
ทรงระงับกลุ่มหรือคณะบุคคลที่จะเข้าเฝ้าในสำนักวาติกันเป็นการชั่วคราว และ
ทรงประกาศแถลงการณ์ไว้อาลัยในการ
สิ้นพระชนม์ของอาร์ชดยุกและพระชายา
ต่อมาผู้ร่วมก่อการทั้งหมดก็ได้รับโทษ
ทัณฑ์หรือได้รับชะตากรรมในวิถีทางที่แตกต่างกันไป พันเอกดรากูตินถูกตั้งข้อหาเป็นกบฏในความผิดฉกรรจ์ ฐานพยายามจะลอบปลงพระชนม์มกุฏราช
กุมารอเล็กซานเดอร์ของเซอร์เบีย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จริงเพราะมกุฏราชกุมารเซอร์
เบียและนายกรัฐมนตรีของเซอร์เบียคือนาย
นิโคลา ปาสิคกลัวว่าพันเอกดรากูตินจะเปิดโปงรายชื่อของกลุ่มแบล็คแฮนด์ที่อยู่ร่วมกับคณะรัฐบาลของนายปาสิค จึงต้องกำจัดพันเอกดรากูตินออกไปให้พ้นทางก่อนที่ความผิดจะมาถึงตัว ดังนั้นจึง
ยัดเยียดความผิดให้เขาเป็นกบฏและถูกจับในวันที่ 23 พฤษภาคม 1917 พันเอก
ดรากูตินถูกยิงเป้าในวันที่ 16 เดือนถัดมา
พันตรีโวจิสลาฟ ตันโคสิคเสียชีวิตในระหว่างการสู้รบร่วมกับกองทัพเซอร์เบียในช่วงฤดูหนาวปี 1914 ส่วนมิลาน ซิการ์นอวิคถูกรัฐบาลเซอร์เบียช่วยเหลือโดยส่งตัวไปยังสหรัฐ เขากลับมาหลังสงครามสงบและได้รับเหรียญสดุดีเกียรติจาก
รัฐบาลเซอร์เบีย มูฮัมเหม็ด เมห์เหม็ดเบ
สิค ศาลสั่งจำคุกเป็นเวลา 15 ปี ก่อนจะได้รับอภัยโทษและกลับมาใช้ชีวิตในกรุง
ซาราเยโว ดานิโล อีริคผู้วิ่งเต้นวางแผนและมีอายุมากกว่าคนอื่นศาลพิพากษาให้ประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ ส่วนกัฟริ
โล ปรินซิพ ทริฟโก กราเบซ และนีเดลจ์โก คาบรินอวิค ศาลพิพากษาให้จำคุกคน
ละ 20 ปี และมีเพียงซีเจ็ตโก คาบริลอวิค
และซีเจ็ตโก โปโปวิคเป็นเพียงผู้ช่วยเหลือกลุ่มอาชญากรขนอาวุธข้ามพรม
แดนเข้าไปในบอสเนีย ศาลสั่งจำคุกคนละ13 ปี
ปรินซิพ กราเบซและคาบรินอวิคถูกนำตัวไปคุมขังที่คุกแดร์
ไซน์สตัดต์(Theresienstadt Prison)ใน
แคว้นโบฮีเมีย เนื่องจากการควบคุมผู้ต้องขังที่เข้มงวดประกอบกับเชื้อวัณโรคที่มีอยู่เดิมในร่างกาย ทำให้อาการของทริฟ
โก กราเบซทรุดหนักลง และต้องจำนนชีวิตต่อเชื้อโรคร้ายที่ทุกข์ทรมานนี้ในเดือนตุลาคม ปี1916 ส่วนกัฟรืโล ปริน
ซิพยังคงยืนหยัดอย่างทรหดอยู่กับเชื้อโรคร้ายชนิดเดียวกัน แม้จะเกิดความล้ม
เหลวในความพยายามจะผูกคอตายด้วยผ้าเช็ดตัวหลายครั้ง ในขณะที่สงครามกำลังเกิดการรบพุ่งและเกิดความเสียหาย
อย่างหนัก ปรินซิพแทบไม่รู้สึกใดๆกับหายนะที่กำลังเกิดขึ้น
ในที่สุดปรินซิพก็จบชีวิตลงด้วยเชื้อวัณโรคในสถานที่จองจำในวันที่ 20 เมษายน 1918 ในขณะร่างกายมีน้ำหนักเพียง 40 กิโลกรัม
1 บันทึก
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย