28 เม.ย. 2023 เวลา 00:00 • ประวัติศาสตร์

ศิวลึงค์ทองคำ ถ้ำเขาพลีเมือง สิชล นครศรีธรรมราช

‘ตีรถะ’ บนคาบสมุทรแห่งสยาม
คาบสมุทรแห่งสยามประเทศ จุดเชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดีย (ทะเลอันดามัน) กับมหาสมุทรแปซิฟิก(อ่าวไทย) มีการค้นพบโบราณวัตถุอันทรงคุณค่าและมีความสมบูรณ์ในการที่จะต่อชิ้นส่วนทางประวัติศาสตร์อยู่เสมอ
ศิวลึงค์ทองคำ ขนาดสูง ๒ เซนติเมตร ศูนย์กลาง ๐.๘ เซนติเมตร น้ำหนัก ๑๒.๗ กรัม เป็นโบราณวัตถุที่ค้นพบในรอบ 10 ปีหลังสุดที่สำคัญในการทำให้เห็นภาพอิทธิพลทางศาสนาพราหมณ์ ไศวนิกายที่มาลงหลักปักฐานยังนครโบราณทางอ่าวไทย
โบราณวัตถุชิ้นนี้มีลักษณะเป็นศิวลึงค์แบบประเพณีนิยม ประกอบด้วยชั้นล่างสุด พรหมภาคอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ชั้นกลางวิษณุภาครูปทรงแปดเหลี่ยม ชั้นบนรุทรภาครูปทรงกระบอกปลายมนมีการสลักเส้นตั้งเส้นหนึ่งเรียกว่าเส้นพรหมสูตรและเส้นลากออกไปด้านข้างทั้งสองข้างเรียกว่าเส้นปารศวสูตร เลียนแบบอวัยวะเพศชาย
นายเสกสันต์ นาคกลัด ได้มาจากถ้ำเขาพลีเมือง ตำบลสิชล อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มอบให้กรมศิลปากร เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๗ โดยได้รับเงินรางวัล (สองชิ้น) ๔๕๐,๐๐๐ บาท ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช
ข้อมูลจากกลุ่มโบราณคดี สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช ให้รายละเอียดถึงที่มาไว้ค่อนข้างชัดเจนซึ่งเป็นมูลสำคัญในการทำงานวิจัยต่อไปในอนาคตว่า
‘ ...ศิวลึงค์ทองคำที่พบในถ้ำเขาพลีเมือง พบโดยนายเสกสันต์ นาคกลัด ราษฎรหมู่ที่ ๒ บ้านจอมทอง อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ขณะเข้าไปขุดมูลค้างคาวในถ้ำเขาพลีเมือง ในช่วง พ.ศ. ๒๕๔๑ - ๒๕๔๘ โดยพบจำนวน ๔ องค์ (แต่ละองค์พบต่างเวลากัน)
สำหรับศิวลึงค์องค์ที่ ๓ และองค์ที่ ๔ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของเอกชน ส่วนศิวลึงค์องค์ที่ ๑ และองค์ที่ ๒ (พบครั้งแรกและครั้งที่ ๒) ผู้พบได้นำมามอบให้กรมศิลปากร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งคณะกรรมการกำหนดเงินรางวัลสำหรับผู้เก็บได้ซึ่งโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่เป็นทรัพย์ของแผ่นดิน รวมทั้งตรวจพิสูจน์ กำหนดอายุสมัย กำหนดค่าทรัพย์สินและประเมินราคาของโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ สิ่งเทียมโบราณวัตถุ และสิ่งเทียมศิลปวัตถุ มีมติประเมินค่าและราคาฯ เป็นรางวัล ๑ ใน ๓ ของราคาประเมินเพื่อมอบให้ผู้พบฯ
ปัจจุบันศิวลึงค์องค์ที่ ๑ และ ๒ จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช โดยมีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้
ศิวลึงค์องค์ที่ ๑ ทำด้วยทองคำ อายุพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นศิวลึงค์แบบประเพณีนิยม คือเป็นศิวลึงค์ที่มีสัญลักษณ์ของเทพเจ้าสูงสุดทั้งสามองค์ในศาสนาพราหมณ์ (ตรีมูรติ) ปรากฏอยู่ ได้แก่ ส่วนล่างสุดเป็นรูปสี่เหลี่ยมหมายถึงพระพรหมเรียกว่า ‘พรหมภาค’ ส่วนกลางเป็นรูปแปดเหลี่ยมหมายถึงพระวิษณุเรียกว่า ‘วิษณุภาค’ และส่วนยอดเป็นทรงกระบอกโค้งมนหมายถึงพระศิวะเรียกว่า ‘รุทธภาค’
ศิวลึงค์รูปแบบนี้ในภาคใต้ของไทยพบในแหล่งโบราณคดีหลายแห่ง โดยสันนิษฐานว่าอาจได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียสมัยคุปตะ เช่น ศิวลึงค์จากวัดนาขอม (ร้าง) อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ศิวลึงค์จากโบราณสถานสวนนายลิขิต เห็นจริง อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช และศิวลึงค์จากโบราณสถานเขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งได้รับการกำหนดอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒
สำหรับศิวลึงค์ทองคำองค์ที่ ๑ ที่พบในถ้ำเขาพลีเมือง มีขนาดความสูงรวม ๒ เซนติเมตร ส่วนพรหมภาคมีขนาดสูง ๐.๔ เซนติเมตร ฐานกว้าง ๐.๖ เซนติเมตร ส่วนวิษณุภาคมีขนาดสูง ๐.๕ เซนติเมตร หนา ๐.๖ เซนติเมตร และส่วนรุทรภาค ซึ่งปรากฏเส้นพรหมสูตรและเส้นปารศวสูตร มีขนาดสูง ๑.๑ เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๐.๘ เซนติเมตร
ศิวลึงค์องค์นี้ถูกบรรจุอยู่ในผอบเงินทรงกลมพร้อมเถ้ากระดูกเผาไฟ ผอบเงินมีขนาดสูงพร้อมฝา ๓.๗ เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๖.๖ เซนติเมตร ก่อนจะนำมาบรรจุลงภายในผอบอิฐทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งมีขนาดกว้างยาวด้านละ ๑๕.๕ เซนติเมตร ความสูงพร้อมฝา ๑๕.๕ เซนติเมตร
ศิวลึงค์องค์ที่ ๒ เป็นศิวลึงค์แบบประเพณีนิยม ทำด้วยทองคำ วางอยู่บนฐานทำด้วยเงิน อายุพุทธศตวรรษที่ ๑๒ มีขนาดความสูงรวม ๒ เซนติเมตร ส่วนพรหมภาคมีขนาดสูง ๐.๔ เซนติเมตร ฐานกว้าง ๐.๖ เซนติเมตร ส่วนวิษณุภาคมีขนาดสูง ๐.๔ เซนติเมตร หนา ๐.๖ เซนติเมตร และส่วนรุทรภาค ซึ่งปรากฏเส้นพรหมสูตรและเส้นปารศวสูตร มีขนาดสูง ๑.๒ เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๐.๙ เซนติเมตร
สำหรับฐานเงินซึ่งรองรับศิวลึงค์ทองคำองค์นี้ เป็นฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีการเจาะรูสี่เหลี่ยมตรงกลาง ฐานมีความยาวด้านละ ๒.๓ เซนติเมตร สูง ๑.๑ เซนติเมตร รูกว้างด้านละ ๐.๘ เซนติเมตร ลึก ๐.๖ เซนติเมตร พร้อมแผ่นทองคำขนาดเล็กจำนวน ๓ แผ่น (แผ่นที่ ๑ วางในรูฐานเงินเพื่อรองรับศิวลึงค์ ส่วนแผ่นที่ ๒ และ ๓ วางอยู่ข้างฐานเงินภายในผอบ)
ศิวลึงค์องค์นี้ พบบรรจุอยู่ในผอบหินปูนทรงกลมพร้อมเถ้ากระดูกเผาไฟผสมดิน ผอบมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒๓.๕ เซนติเมตร สูงพร้อมฝา ๑๗ เซนติเมตร และมีการปิดล้อมไว้ด้วยอิฐรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ ๑๖ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๓๐ เซนติเมตร และหนาประมาณ ๙ เซนติเมตร จำนวนหลายก้อน
ส่วนศิวลึงค์ทองคำองค์ที่ ๓ และ ๔ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของเอกชนนั้น นายเสกสันต์ นาคกลัด ผู้พบหลักฐานระบุว่าแต่ละองค์พบบรรจุอยู่ในผอบเงิน ไม่มีฐานรองรับศิวลึงค์ มีรูปทรงและขนาดใกล้เคียงกับศิวลึงค์องค์ที่ ๑ และ ๒… ‘
.. อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ได้เขียนบทความ ‘รัฐตามพรลิงค์’ กล่าวถึงบ้านเมืองตามแนวสันทรายจากขนอมถึงนครศรีธรรมราช ซึ่งเกี่ยวโยงบ่งชี้ถึงสภาพทางภูมิศาสตร์กับศิวลึงค์ทองคำแห่งถ้ำเขาพลีเมืองไว้ว่า
‘ …การสำรวจศึกษาแหล่งโบราณคดีของข้าพเจ้าและคณะพบว่า พื้นที่ตามแนวสันทรายจากอำเภอขนอมลงไปจนถึงอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ส่วนใหญ่เป็นชุมชนที่นับถือศาสนาฮินดูเป็นหลัก ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ลงมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อันเป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทลังกาวงศ์ และในช่วงเวลานี้รัฐตามพรลิงค์เปลี่ยนมาเป็นนครศรีธรรมราช
การก่อตัวของชุมชนบ้านและเมืองเกิดขึ้นตามลำน้ำและลำห้วยที่ไหลลงจากเทือกเขาหลวงสู่ที่ลาดลุ่ม ผ่านสันทรายมาออกทะเล และแหล่งที่เป็นชุมชนเมืองใหญ่มักตั้งอยู่บนแนวสันทรายที่ลำน้ำไหลไปออกทะเลซึ่งเป็นอ่าวเล็กๆ หรือ ลากูน ที่เรือเดินทะเลเข้ามาจอดได้ อีกนัยหนึ่งก็คือเป็นเมืองท่านั่นเอง
บ้านเมืองเก่าแก่ในระยะแรกนี้สัมพันธ์กับศาสนสถานทางศาสนาฮินดู พบมากตั้งแต่บริเวณอำเภอท่าศาลาไปจนถึงอำเภอสิชล เป็นชุมชนที่เกิดขึ้นตามลำน้ำสำคัญที่ไหลลงจากเทือกเขาหลวง ได้แก่ คลองกลาง คลองท่าน้อย คลองท่าทน คลองท่าควาย และคลองท่าเรือรี
บริเวณดังกล่าวมีแนวสันทรายทั้งใหม่และเก่าซ้อนกันอยู่ ทำให้การเกิดของชุมชนบ้านเมืองกระจายกันอยู่ตั้งแต่เชิงเขาตามลำน้ำลงมาจนถึงชายฝั่งทะเล บริเวณที่เป็นชุมชนบ้านเมืองในยุคแรกพบในลุ่มน้ำคลองท่าเรือรีและคลองท่าควาย ที่มีปากน้ำออกสู่ทะเลที่อำเภอสิชล ลำน้ำตอนออกทะเลเรียกคลองปากน้ำสิชล มีแหล่งโบราณคดีที่เป็นเมืองสำคัญอยู่ที่บ้านนาขอม อันเป็นบริเวณที่ดอน แวดล้อมไปด้วยพื้นที่ลุ่มทำนาได้
โบราณสถานที่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาและพิธีกรรมของเมืองอยู่บริเวณที่มีกลุ่มเทวาลัย อันประกอบด้วยเนินดินที่พบศาสนสถานหลายแห่ง ปรากฏฐานศิวลึงค์ กรอบธรณีประตู และสระน้ำ ล้วนเป็นเทวาลัยที่สร้างด้วยเครื่องไม้เป็นอาคารโถงแบบง่ายๆ
สิ่งที่นำมาพิจารณากำหนดอายุก็คือฐานโยนี ศิวลึงค์ และมุขลึงค์ ที่มีอายุแต่สมัยทวารวดีขึ้นไป ไม่พบโบราณสถานสำคัญทางพุทธศาสนา
ลำคลองท่าเรือรีที่ไหลผ่านบ้านนาขอมมีต้นกำเนิดมาจากกลุ่มเขาทางตะวันตกเฉียงเหนือ โดยมีเขาจอมทองเป็นเขาศักดิ์สิทธิ์ มีถ้ำซึ่งเป็นศาสนสถานสมัยอยุธยาตอนต้นเป็นที่ซึ่งผู้คนท้องถิ่นมากราบไหว้กันเป็นประจำ
แต่ในการศึกษาของข้าพเจ้าและคณะ เขาจอมทองหรือเขาพลีเมืองเป็นเขาลูกหนึ่งในกลุ่มเขา ๓ ลูกที่บริเวณโดยรอบมีร่องรอยการปรับที่ดินให้เป็นแหล่งชุมชนและพื้นที่ทำนา
เมื่อเร็วๆ นี้มีการพบศิวลึงค์ทองคำในถ้ำด้านหลังของเขาจอมทอง จากการที่ชาวบ้านได้ไปขุดหาขี้ค้างคาวและพบกรุหินขนาดเล็ก ๓ กรุ ภายในบรรจุศิวลึงค์ทองคำ ทางกรมศิลปากรได้นำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑสถาน นครศรีธรรมราช
ศิวลึงค์ทองคำและกรุที่พบในถ้ำนี้มีรูปแบบคล้ายกับที่พบในแหล่งโบราณคดีสมัยฟูนัน บริเวณปากแม่น้ำโขง ประเทศเวียดนาม ข้าพเจ้าวิเคราะห์และตีความว่าแหล่งศาสนสถานฮินดูทั้งที่บ้านนาขอมและที่เขาจอมทองในลุ่มน้ำคลองท่าเรือรี ที่สามารถออกสู่ทะเลบริเวณปากน้ำอำเภอสิชล คือตำแหน่งบ้านเมืองแรกเริ่มของรัฐหรือแคว้นตามพรลิงค์ ที่มีเส้นทางจากปากน้ำสิชลขึ้นไปตามคลองท่าควาย อันเป็นส่วนหนึ่งของคลองท่าเรือรี (เป็นคลองที่ไหลมารวมกันก่อนไปออกสู่ทะเลที่ปากสิชล)
มีต้นน้ำมาจากช่องเขาหลวงไหลไปยังแม่น้ำตาปีอันเป็นบริเวณบ้านเมืองภายใน
ช่องเขานี้อาจสันนิษฐานได้ว่าเป็นช่องทางข้ามคาบสมุทรในระยะแรกของรัฐตามพรลิงค์ก็เป็นได้
.. สอดคล้องกับ อมรา ศรีสุชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์ กรมศิลปากร กรรมการมรดกโลกของกระทรวงวัฒนธรรม ได้เขียนให้ข้อมูลไว้ในหนังสือ 'วิถีแห่งสุวรรณลิงคํ : จากทิพยมายาสู่โลกปรากฏการณ์ (Suvarnalingam :its passage from divine illusion to manifestation on earth) สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร ปี พ.ศ.๒๕๕๘ บอกเล่าเรื่องราวของศิวลึงค์ทองคำที่พบในผอบเงิน ณ ถ้ำเขาพลีเมือง บ้านจอมทอง ตำบลสิชล อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช
ความหมายและความสำคัญของการสร้างและบูชาศิวลึงค์ทองคำในอดีต และอธิบายบ่อเกิด คตินิยมการสร้าง และการบูชาพระศิวลึงค์ทองคำในประเทศอินเดีย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทย ไว้ว่า
‘ …การค้นพบศิวลึงค์ทองคำ (สุวรรณลิงคํ) ขนาดจิ๋วโดยชาวท้องถิ่นในถ้ำเขาพลีเมือง ตำบลสิชล อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช และมอบให้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ ๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ ทำให้ดำเนินการสืบค้นเรื่องราวของศิวลึงค์ทองคำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มเติมจากหลักฐานโบราณคดีและศิลาจารึก เพื่อนำเสนอผลการวิเคราะห์ที่จะอธิบายปรากฏการณ์ขนบประเพณีในการบูชาศิวลึงค์ทองคำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในภาพรวม ดังต่อไปนี้
ในบรรดาศิลาจารึกรุ่นแรกๆ ซึ่งพบในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ศิลาจารึกจากวัดหลวงเก่า แขวงจำปาสัก ทางภาคใต้ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๐ นับเป็นจารึกที่เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงการประดิษฐานและบูชาศิวลึงค์
โดยกล่าวว่า ได้ประดิษฐานศิวลึงค์บนยอดเขาและเรียกภูเขาว่า ‘ศรี ลิงคปรฺวตะ’ (ศรีลิงคบรรพต) ทำให้เข้าใจได้ว่า กลุ่มชนที่ประดิษฐานศิวลึงค์บนยอดเขานี้เชื่อว่าภูเขาเป็นศิวลึงค์ธรรมชาติที่แทนองค์พระศิวะ
นอกจากนี้ยังพบชฎาลิงคํ หรือมุขลึงค์รูปแบบหนึ่งที่โบราณสถานโต๊ะโม๊ะ เมืองปะทุมพร แขวงจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
มุขลึงค์ หรือ ศิวลึงค์ที่มีรูปพระพักตร์พระศิวะที่เก่าแก่ที่สุดพบที่แหล่งออกแอวในเมืองอานซาง ภาคใต้ของประเทศเวียดนาม มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ต่อมาในช่วงระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ปรากฏมุขลึงค์และศิวลึงค์ทั่วไปในศาสนสถานหลายแห่งของรัฐโบราณในภูมิภาคนี้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อความที่กล่าวถึงการประดิษฐานและการบูชาศิวลึงค์ในศิลาจารึกภาษาสันสกฤตที่มีอายุอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคติการนับถือศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายที่แพร่หลายกว้างขวางในช่วงเวลาดังกล่าว
การใช้คำ ศิวลิงคํ แทนนามพระศิวะปรากฏเก่าแก่ที่สุดในจารึกกะไดอัง ของอาณาจักรเขมรโบราณ อายุพุทธศักราช ๑๒๑๑ และในจารึกภาษาสันสกฤตพุทธศักราช ๑๒๓๐ พบที่โบราณสถานหมีเซิน บี ๖ (Myson B ๖) จังหวัดกว๋างนาม ประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นเทวาลัยของอาณาจักรจัมปา กล่าวถึงการอุทิศถวายศิวลึงค์แด่พระอิศเนศวร (หมายถึงพระศิวะ) และสร้างโกษะ หรือสิ่งหุ้มหรือครอบองค์ศิวลึงค์และถวายมงกุฎแด่พระภัทเรศวร
จารึกพุทธศักราช ๑๓๒๖ ของพระเจ้าศรี สัตยวรมัน ในราชอาณาจักรจัมปา พบที่วัดหว่าลาย กล่าวถึงการสร้างวัดแห่งนี้เพื่ออุทิศถวายแด่พระศิวะและถวายโกษะ (หรือ โกศะ) ที่ทำด้วยทองและเงิน ขนบประเพณีการถวายโกษะทำด้วยทองหรือเงินให้สวมครอบศิวลึงค์เช่นนี้ สืบทอดต่อมาในกลุ่มชนของอาณาจักรจัมปาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๖ ตามประจักษ์พยานที่พบคือ ลิงคโกษะ หรือสิ่งที่สวมครอบศิวลึงค์เป็นรูปพระพักตร์ของพระศิวะทำด้วยกะไหล่ทองและเงิน ๒ ชิ้น พบที่จังหวัดด่าหนัง (ดานัง) ประเทศเวียดนาม มีอายุอยู่ในช่วงศตวรรษนี้
นอกจากนี้ยังพบศิวลึงค์ที่ติดกับฐานทำด้วยแก้วผลึก (rock crystal) ในภาคใต้ของเวียดนาม ภาคใต้ของลาวและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย กำหนดอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๔
ศิวลึงค์พร้อมฐานหรือ ลิงค-โยนิ ขนาดจิ๋วเช่นนี้ จัดว่าเป็น จรลิงคํ หรือ ศิวลึงค์ ที่เคลื่อนที่ได้ พกพาไปประดิษฐานที่ใดก็ได้
อย่างไรก็ดี ศิวลึงค์ทองคำประดิษฐานบนฐานทองคำ ซึ่งพบที่เมืองมาลัง ภาคกลางของเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ แม้มีขนาดเล็ก ไม่ถือเป็น จรลิงคํ แต่ถือว่าเป็นศิวลึงค์ที่ประดิษฐานบูชาประจำที่มากกว่า
ศิวลึงค์ทองคำ ๔ องค์ซึ่งพบในถ้ำเขาพลีเมือง อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ภาคใต้ของไทย มีอายุประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ แต่ละองค์ใส่ไว้ในผอบเงิน ผอบเงินที่บรรจุศิวลึงค์ทองคำ ๒ ผอบ มีหูสำหรับห้อยแขวนพกพาไปได้ จึงสันนิษฐานว่า โยคีผู้พกพาศิวลึงค์เหล่านี้นำศิวลึงค์ทองคำใส่ผอบมาประดิษฐานในถ้ำหรือนำมาฝังไว้ในถ้ำเพื่อประกอบพิธีบูชา เป็นโยคีในศาสนาฮินดูไศวนิกายลัทธิปาศุปตะ ศิลาจารึกภาษาสันสกฤตพุทธศักราช ๑๔๑๑ คือจารึกบ่ออีกา จังหวัดนครราชสีมา ปรากฏการใช้คำว่า สุวรรณลิงคํ เรียกศิวลึงค์ทองคำ
อย่างไรก็ดีในสมัยต่อมา ผู้ที่นับถือลัทธิปาศุปตะได้นำคำว่า สุวรรณลิงเคคํ (แปลว่า ลึงค์ทองคำของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่) มาใช้เรียกแทนคำว่า สุวรรณลิงคํ (แปลว่า ลึงค์ทองคำ) เพื่อแสดงความศรัทธาสูงสุด
โดยใช้กับศิวลึงค์ทองคำที่นำไปประดิษฐานบนยอดเขา ตามปรากฏในจารึกปราสาทพนมรุ้ง หมายเลข ๗ พุทธศตวรรษที่ ๑๗ พบที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ณ ที่นี้ คือเทวาลัยศาสนาฮินดูไศวนิกายที่ยิ่งใหญ่ และเป็นสมัยแห่งความเจริญสูงสุดของลัทธิปาศุปตะ ผู้นิยมบูชาศิวลึงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิวลึงค์ทองคำ
.. ส่วนบทความ ‘ฮินดูในรัฐตามพรลิงค์’ โดย วลัยลักษณ์ ทรงศิริ ได้เขียนขยายความอธิบายถึงกลุ่มชุมชนฮินดูในรัฐตามพรลิงค์ โดยเฉพาะกลุ่มขนม-สิชล ไว้ว่า
‘ …การทำงานทางโบราณคดีโดย ผู้สนใจ นักวิชาการทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ทั้งในและต่างประเทศ เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร รวมทั้งนักวิชาการท้องถิ่นที่ศึกษาโบราณสถานโบราณวัตถุที่แถบนี้และเรื่องรัฐตามพรลิงค์มาตั้งแต่ครั้งปลายรัชกาลที่ ๕ จนถึงปัจจุบัน
สรุปเป็นข้อมูลของกลุ่มพื้นที่ซึ่งมีเทวสถานหรือวัตถุเนื่องในศาสนาฮินดูปรากฎอยู่ เช่น เทวรูป ศิวลึงค์ ฐานโยนี ชิ้นส่วนเสาประดับกรอบประตูและฐานรองเสา ส่วนมากทำจากหินแกรนิต โบราณสถานบางแห่งมีการผสมผสานกับความเชื่อแบบพุทธมหายานหรือเถรวาทในเวลาต่อมา จากข้อมูลดังกล่าวทำให้แยกออกเป็นกลุ่มพื้นที่ได้ดังนี้
วัดเจดีย์หลวง ในอำเภอขนอมอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มและห่างชายฝั่งราว ๖ กิโลเมตร ซึ่งท่านพุทธทาสเคยมาสำรวจ พบฐานโยนีที่ชาวบ้านในท้องถิ่นกล่าวว่าถูกนำไปจากวัดเจดีย์หลวง อำเภอขนอม ปัจจุบันประดิษฐานไว้ที่วัดนันทาราม อำเภอปากพนัง แต่ข้อมูลจากวัดนันทารามกล่าวอ้างว่านำมาจากเทวสถานที่เขาคา และส่วนประกอบเทวสถานทั้งที่มีลวดลายบางส่วนและเรียบเกลี้ยงทำจากหินแกรนิตและหินปูนเป็นส่วนใหญ่ และบางส่วนทำจากหินดินดานหรือหินเชล (Shale) ซึ่งแตกต่างไปจากกลุ่มโบราณแบบฮินดูส่วนใหญ่
เขาจอมทองและทุ่งพลีเมือง กลุ่มโบราณสถานในแถบนี้สัมพันธ์กับต้นน้ำคลองสิชลและลำน้ำสาขา โดยมีพื้นที่ราบลุ่มและภูเขาจอมทองเป็นจุดหมายสำคัญ ที่วัดจอมทองพบเทวรูปพระวิษณุสี่กรสวมหมวกแขกแบบลอยตัว สภาพแขนชำรุดอายุในรุ่นพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ และพระพุทธรูปประทับยืนจีวรริ้วแบบอมราวดีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๑ กรอบธรณีประตูมีอักษรปัลลวะ พระพิมพ์ดินเผาจำนวนมาก
นอกจากนี้ บริเวณฝั่งตะวันออกของเขาจอมทองซึ่งเป็นเขาหินปูน ด้านทุ่งพลีเมือง มีถ้ำซึ่งพบศิวลึงค์ทองคำรองด้วยผอบเงินขนาดเล็กใส่ไว้ในแท่นหินและอิฐจำนวน ๔ องค์ โดยมีอิฐก่อหุ้มอยู่ รูปแบบทั้งการก่ออิฐหุ้มและศิวลึงค์ทองคำ คล้ายกับการประดิษฐานศิวลึงค์ทองคำภายในโบราณสถานที่ออกแอวในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ซึ่งถือว่าเป็นเมืองในวัฒนธรรมแบบฟูนัน รวมทั้งพระพุทธรูปประทับยืนแบบอมราวดีในรูปแบบเดียวกันก็พบที่ออกแอวเช่นกัน
วัดนาขอม (ร้าง) อยู่ใกล้ลำน้ำสาขาของคลองสิชล เคยเป็นโบราณสถานขนาดใหญ่มาก่อน กลางเนินโบราณสถานพบศิวลึงค์ถึง ๕ องค์ มีขนาดและรูปแบบต่างกัน รวมทั้งฐานพบโยนี อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เคยมาสำรวจเมื่อก่อน พ.ศ. ๒๕๑๑ กล่าวว่าเป็น ‘ดงศิวลึงค์’ ต่อมาถูกทำลายทิ้งจนไม่เหลือสภาพ ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ตั้ง อบต.สิชล
สำหรับ‘ถ้ำเขาพลีเมือง’ เป็นสถานที่ที่พบศิวลึงค์ทองคำ ซึ่งเป็นรูปเคารพแทนองค์พระศิวะหรือพระอิศวร เทพเจ้าสูงสุดในศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย การค้นพบศิวลึงค์ดังกล่าวถือเป็นหลักฐานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงถึงร่องรอยการนับถือศาสนาพราหมณ์ในภาคใต้ตอนบนของไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒
ด้วยตำแหน่งที่พบศิวลึงค์ทองคำซึ่งอยู่ในถ้ำบนเขาและอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ จึงถือว่าภูเขาแห่งนี้คือ ‘ตีรถะ’ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ริมฝั่งแม่น้ำตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ดังปรากฏในคัมภีร์สำคัญทางศาสนาของพราหมณ์ เช่น วิษณุธรรมโมตตระปุราณะ (Visnudharmottara) พฤหัสสังหิตา (Brhat Samhita) และภวิษยปุราณะ (Bhavisya Purana)
เขาพลีเมือง ตั้งอยู่หมู่ที่ ๒ บ้านจอมทอง อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช ลักษณะเป็นภูเขาลูกโดดวางตัวในแนวทิศตะวันออกเฉียงใต้ - ตะวันตกเฉียงเหนือ มีขนาดกว้างประมาณ ๓๕๐ เมตร ยาวประมาณ ๖๕๐ เมตร และสูงประมาณ ๑๔๖ เมตร ด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ของภูเขาติดคลองท่ารังไทร หรือคลองวังภัย ซึ่งคลองสายนี้จะไหลไปรวมกับคลองออทางด้านทิศตะวันออก แล้วไหลออกสู่ทะเลอ่าวไทยที่ปากน้ำสิชลในระยะทางประมาณ ๕ กิโลเมตร
บนเขาพลีเมืองมีถ้ำ ๒ ถ้ำ ถ้ำทางทิศตะวันตกเรียกว่า “ถ้ำพระ” ภายในถ้ำเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ส่วนถ้ำที่พบศิวลึงค์ทองคำอยู่ทางทิศตะวันออก เรียกว่า 'ถ้ำเขาพลีเมือง'
สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช แจกแจงข้อมูลถึงการค้นพบศิวลึงค์ทองคำภายในถ้ำเขาพลีเมืองดังกล่าว นับเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ บริเวณอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช มีกลุ่มคนที่นับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายอาศัยอยู่ โดยสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชุมชนพราหมณ์ขนาดใหญ่ เนื่องจากพบร่องรอยโบราณสถานที่สร้างขึ้นเนื่องในศาสนพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายหนาแน่นในพื้นที่อำเภอสิชล ต่อเนื่องไปถึงอำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช
โดยมีโบราณสถานเขาคาเป็นศูนย์กลาง และมีโบราณสถานแห่งอื่น ๆ อีกกว่า ๓๐ แหล่ง ซึ่งปรากฏหลักฐานความเชื่อในลัทธิไศวนิกายกระจายตัวในบริเวณที่ราบตามเส้นทางน้ำสายสำคัญ ทำให้มีการเรียกกลุ่มโบราณสถานในบริเวณอำเภอสิชลและอำเภอท่าศาลาเหล่านี้ว่า 'ไศวภูมิมณฑล'
นักโบราณคดีกรมศิลปากร ภัณฑารักษ์ และเจ้าหน้าที่จากสำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครศรีธรรมราช ได้เดินทางไปเก็บข้อมูลและกอบกู้โบราณวัตถุ ซึ่งเป็นอิฐและหินซึ่งบรรจุศิวลึงค์ทองคำในถ้ำเขาพลีเมืองทั้งหมดมาเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
ผลการตรวจพิสูจน์ โดยผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปากรมีข้อวินิจฉัยว่า ศิวลึงค์ทองคำทั้ง ๒ องค์ รวมทั้งผอบเงินที่บรรจุและองค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ แผ่นทอง ฐานโยนีทำด้วยชิน ผงเถ้าและดิน ผอบอิฐ ผอบหิน และแผ่นอิฐล้อมรอบ ล้วนเป็นโบราณวัตถุแท้จริง และพบในแหล่งที่ใช้เป็นที่ประกอบพิธีฝังไว้ตามคติความเชื่อในศาสนาฮินดูไศวนิกาย ซึ่งอาจจะเป็นไศวนิกายในลัทธิปาศุปตะ หรือ กปาลิกะ
ซึ่งปรากฏร่องรอยหลักฐานการประดิษฐานศาสนาฮินดูและการสร้างศาสนสถานในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตอำเภอสิชลและอำเภอท่าศาลาอยู่มากมายไม่น้อยกว่า ๓๐ แห่ง แหล่งที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ แหล่งเขาคา ในอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช
ในอดีตสันนิษฐานว่า ศิวลึงค์ทองคำนี้อาจเรียกว่า สุวรรณลิงคะ ตามการกล่าวถึงในคัมภีร์และปรากฏการเรียกเช่นนี้ในศิลาจารึกที่พบในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะสร้างและประดิษฐานในเทวาลัยบนภูเขาหรือบนพื้นที่ราบที่ยกสูงขึ้น มีขนาดใหญ่ มักทำด้วยหินเพื่อแทนองค์พระศิวะ ซึ่งเชื่อว่าการเคารพบูชาศิวลึงค์คือการตั้งจิตอธิษฐานให้ได้มาซึ่งความสุขสมบูรณ์ในทางโลก และดุลยภาพของสังคมและธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็เป็นสื่อที่จะนำไปสู่การบรรลุโมกษะ คือการเข้าไปรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า
แม้ว่าศิลาจารึกที่พบในประเทศไทยกล่าวถึงการประดิษฐานสุวรรณลิงคะ แปลว่า ศิวลึงค์ทองคำประจำเทวาลัย แต่ยังไม่เคยพบ สุวรรณลิงคะ หรือศิวลึงค์ทองคำเช่นนี้มาก่อน
เมื่อพิจารณาตำแหน่งที่พบศิวลึงค์ทองคำ ซึ่งพบในถ้ำบนเขาพลีเมืองและอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ จึงกล่าวได้ว่าสถานที่แห่งนี้ คือ “ตีรถะ (Tīrtha)” ซึ่งตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์หมายถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ชายฝั่งทะเล หรือทะเลสาบ เนื่องจากเชื่อว่า น้ำ เป็นธาตุที่สามารถชำระล้างสิ่งต่าง ๆ ให้บริสุทธิ์ และทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ได้
นอกจากนั้น ในทางนามธรรม น้ำยังนำไปสู่การสำนึกรู้ภายในและสรรพสัตว์สามารถก้าวข้ามฝั่งแห่งการเวียนว่ายตายเกิด (สังสารวัฏ) เพื่อไปสู่อีกฝั่งหนึ่งได้ ดังปรากฏข้อความในวิษณุธรรมโมตตระปุราณะ (Visnudharmottara) คัมภีร์ทางศาสนาของพราหมณ์ ซึ่งมีการกล่าวถึงสถานที่สำหรับประดิษฐานรูปเคารพเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ ว่าควรตั้งอยู่ในสถานที่ที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ มีป้อมปราการ ในป่าหรือสวนที่อยู่ริมสระน้ำ บนยอดเขา หรือในถ้ำ
เช่นเดียวกับใน พฤหัสสังหิตา (Brhat Samhita) และภวิษยปุราณะ (Bhavisya Purana) ซึ่งได้กล่าวถึงสถานที่ที่เทพเจ้าทรงชื่นชอบและมักจะประทับว่าได้แก่สถานที่ที่อยู่ใกล้กับป่า แม่น้ำ ภูเขา น้ำพุร้อน และในเมืองที่มีสวนอันน่ารื่นรมย์
ดังนั้น การค้นพบศิวลึงค์ทองคำภายในถ้ำเขาพลีเมือง จึงแสดงให้เห็นว่าผู้สร้างมีความประสงค์ที่จะประดิษฐานศิวลึงค์ทองคำเหล่านี้ไว้ในถ้ำบนภูเขาที่มีแม่น้ำไหลผ่านซึ่งถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้สถานที่แห่งนี้เป็น ‘ตีรถะ’ ในการสักการบูชาพระศิวะผู้เป็นเทพเจ้าสูงสุดของตน
ซึ่งคติการสร้างรูปเคารพหรือศาสนสถานเนื่องในศาสนพราหมณ์ขึ้นบนภูมิประเทศศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ในภาคใต้ของไทยยังพบในแหล่งโบราณคดีแห่งอื่นๆ ด้วย เช่น โบราณสถานเขาศรีวิชัย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี และโบราณสถานเขาคา อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช
….……………….
ที่มาภาพ: finearts.go.th
โฆษณา