20 เม.ย. 2023 เวลา 03:30 • ธุรกิจ

Apple กำลังท้าทาย ธุรกิจธนาคารพาณิชย์แบบดั้งเดิม

เมื่อเร็ว ๆ นี้ Apple บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ที่สุดของโลก ได้ออกบริการใหม่ที่สั่นสะเทือนวงการธนาคารของสหรัฐอเมริกา ด้วยการให้บริการบัญชีเงินฝากที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 4.15% ต่อปี
ที่ต้องบอกว่าสั่นสะเทือนวงการธนาคารนั้นก็เพราะว่า ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากโดยเฉลี่ยของธนาคารในสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ประมาณ 0.35% ต่อปี
เทียบง่าย ๆ คือ ฝากเงินกับ Apple ปีเดียว เท่ากับเราฝากเงินกับธนาคารในสหรัฐอเมริกา ถึง 12 ปี เลยทีเดียว..
แล้วการเดินเกมธุรกิจในครั้งนี้ของ Apple จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิมมากแค่ไหน
1
BillionMoney จะย่อยให้เข้าใจ แบบง่าย ๆ
บัญชีเงินฝากของ Apple นั้น มีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นผู้ที่ใช้บัตรเครดิต Apple Card เท่านั้น ถึงจะสามารถใช้บริการบัญชีเงินฝากนี้ได้
4
อย่างไรก็ตาม บัตร Apple Card ให้บริการเฉพาะในสหรัฐอเมริกา บัญชีเงินฝากนี้จึงยังคงใช้ได้เฉพาะลูกค้าที่อยู่ในสหรัฐอเมริกา
1
การเดินเกมธุรกิจในครั้งนี้ของ Apple ถือว่าเป็นทั้งการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเดิม และเป็นการบุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่ในคราวเดียวกัน
เมื่อมีการนำเสนอบริการ เฉพาะกลุ่มลูกค้าของ Apple แบบนี้แล้ว คนที่ไม่เคยสนใจซื้อสินค้าของ Apple มาก่อน อาจจะเริ่มหันมาดูสินค้าของบริษัทมากขึ้น
ส่วนกลุ่มลูกค้าเดิมของ Apple ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้ iPhone, iPad, MacBook หรือ Apple Watch ก็จะมีความจงรักภักดีต่อตัวแบรนด์ หรือ Brand Loyalty มากขึ้น
และนอกจากจะสร้างประโยชน์ในธุรกิจเดิมแล้ว Apple ยังเข้ามาเขย่าวงการธนาคารทั่วโลกให้ตื่นตัวมากขึ้น
จริงอยู่ที่ตอนนี้ Apple ยังให้บริการบัญชีเงินฝากนี้เฉพาะในสหรัฐอเมริกา แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าลูกค้าของ Apple มีอยู่ทั่วโลก เรื่องนี้จึงน่าจะสร้างความกังวลให้ธนาคารในหลายประเทศไม่น้อย
โดยความน่ากลัวของกลยุทธ์ทางธุรกิจนี้ของ Apple สำหรับธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิม มีอยู่ด้วยกันหลายประการ คือ
1. iPhone เป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวผู้บริโภคมากที่สุด
เมื่อเราสามารถเปิดบัญชีเงินฝากได้อย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้ว เราก็คงไม่เสียเวลาไปเปิดบัญชีที่ธนาคารอีกต่อไป
2. ฐานลูกค้าของ Apple มีขนาดใหญ่กว่าธนาคารหลายธนาคารในโลก
เพราะแต่เดิมธุรกิจธนาคารต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวดของแต่ละประเทศ ดังนั้นเราจะเห็นว่าทุกประเทศ จะมีธนาคารรายใหญ่เป็นของตัวเองแทบทั้งนั้น
1
แต่ธุรกิจเทคโนโลยีอย่าง Apple อยู่ภายใต้กฎระเบียบที่เข้มงวดน้อยกว่าธุรกิจธนาคารมาก Apple จึงขยายฐานลูกค้าไปได้ทั่วโลก
ลองนึกภาพว่าหากโลกนี้มีธนาคารใดธนาคารหนึ่ง สามารถรวบรวมเงินฝากของคนทั่วโลกไว้ได้ ธนาคารนั้นจะทรงพลังขนาดไหน
3. ฐานะทางการเงินของ Apple แข็งเป็นหิน
จากงบการเงินล่าสุด พบว่า ณ สิ้นปีที่แล้ว Apple มีเงินสดอยู่ในบริษัทมากถึง 700,000 ล้านบาท และสินทรัพย์ทางการเงินที่บริษัทมีเงินสดเหลือไปลงทุนอีก 4,970,000 ล้านบาท
ขณะที่หนี้สินของบริษัท มีอยู่ประมาณ 3,700,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเงินที่บริษัทกู้มาเพื่อซื้อหุ้นคืนเท่านั้น
1
หมายความว่า ถ้าวันนี้ Apple อยากเคลียร์หนี้สินทั้งหมดของตัวเอง ก็สามารถทำได้เลย
ยิ่ง Apple มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ผู้บริโภคไว้ใจที่จะฝากเงินไว้กับบริษัทแห่งนี้มากเท่านั้น
4. Apple มีโมเดลทางธุรกิจที่ยอดเยี่ยม
Apple มีกลยุทธ์ในการพัฒนาสินค้าของตัวเอง ด้วยการรวบรวมนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ฝีมือดีทั่วโลกมารวมตัวกันสร้างผลงานในสิ่งที่เรียกว่า “App Store”
นั่นหมายความว่าธุรกิจธนาคารแบบดั้งเดิม กำลังแข่งขันอยู่กับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีฝีมือทั่วโลก และจุดแข็งของ Apple ก็คือ Software iOS ที่ iPhone ของเราเตือนให้อัปเดตอยู่เป็นประจำนั่นเอง
1
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ เมื่อยิ่งเวลาผ่านไป เราก็จะเห็น iPhone ของเราสามารถทำอะไรได้หลายอย่างมากขึ้นกว่าเดิมในอดีต
5. Apple กำลังต่อจิกซอว์ธุรกิจของตัวเอง ให้เป็นเหมือนธนาคารมากขึ้นเรื่อย ๆ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Apple เริ่มเปิดธุรกิจเกี่ยวกับการให้บริการทางการเงิน เพราะก่อนหน้านี้บริษัทก็ให้บริการบัตรเครดิต Apple Card ร่วมกับ Goldman Sachs
1
รวมถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์ เปลี่ยนโทรศัพท์ iPhone ให้กลายเป็น เครื่องรับบัตรเครดิต (เฉพาะในสหรัฐอเมริกา)
ในส่วนนี้ถือว่าเป็นการสร้างความสะดวกสบายให้ร้านค้าขนาดเล็ก ที่เจอความยุ่งยากในการติดต่อขอรับเครื่องรูดบัตรเครดิตจากธนาคาร และยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งอีกด้วย
ทำให้ทุกวันนี้ผู้ประกอบการรายย่อยที่มีแค่ iPhone เครื่องเดียว ก็สามารถเปิดร้านที่รับบัตรเครดิตได้แล้ว
นอกจากนี้ยังมี Apple Pay Later ซึ่งเป็นบริการแบบซื้อก่อน จ่ายทีหลัง หรือ Buy Now Pay Later ให้ลูกค้าแบ่งจ่ายค่าสินค้าแบบผ่อนชำระได้ โดยไม่มีค่าธรรมเนียม และดอกเบี้ย
จะเห็นว่าบริการเหล่านี้ ล้วนอำนวยความสะดวกเรื่องการ “จ่ายเงิน” ของผู้บริโภคเท่านั้น
แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ Apple นี้เอง ก็เป็นการส่งสัญญาณ โดยเริ่มขยับเข้ามาอำนวยความสะดวกเรื่องการ “เก็บเงิน” ของเราแล้ว
เหลือแค่เพียงการอำนวยความสะดวกเรื่องการ “ให้สินเชื่อ” เท่านั้น ที่ Apple ยังไม่ได้เข้ามาทำแทนธนาคารอย่างจริงจัง
ซึ่งก็มีโอกาสที่ Apple จะทำจริง ๆ เพราะอย่าลืมว่าธุรกิจที่ต้องการเงินมากที่สุดคือ ธุรกิจสตาร์ตอัป
และธุรกิจสตาร์ตอัปส่วนใหญ่ ก็เป็นธุรกิจแพลตฟอร์ม ที่อยู่ใน App Store ของ Apple เสียด้วย
ดังนั้นในอนาคต เราอาจเห็น Apple เป็นผู้ให้สินเชื่อกับแอปพลิเคชันที่อยู่ใน App Store โดยพิจารณาการให้สินเชื่อจากยอดดาวน์โหลด และคะแนนรีวิวก็เป็นได้..
โฆษณา