20 เม.ย. 2023 เวลา 12:32 • กีฬา

เบื้องหลังภาพคลาสสิคมิลานดาร์บี้ มาเตรัซซี่ กับ รุย คอสต้า กับสนามที่ลุกเป็นไฟ

ภาพมาร์โก มาร์เตรัซซี่ ยืนเคียงข้างรุย คอสต้า ท่ามกลางแบ็กกราวน์ไฟลุกท่วม กลายเป็นภาพคลาสสิคของฟุตบอลอิตาลี คำถามคือ มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมรูปนี้ถึงถ่ายขึ้นมา เราจะย้อนอดีตไปด้วยกัน
ในฤดูกาล 2004-05 ถ้าเราคิดถึงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แว้บแรก คงนึกเหตุการณ์ปาฏิหาริย์ของลิเวอร์พูล ที่คัมแบ็กจากการตามหลังเอซี มิลาน 3-0 พลิกกลับมาตีเสมอ 3-3 แล้วชนะจุดโทษได้สำเร็จ
แต่ในฤดูกาลนั้น ยังมีอีกเรืองที่น่าสนใจด้วย คือในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เอซี มิลาน จับสลาก มาเจออินเตอร์ มิลาน คู่ปรับร่วมเมือง ต้องมาเจอกันในรายการยุโรป ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยนัก
สถานที่ Iconic ของเมืองมิลาน คือมหาวิหารมิลาน (ดูโอโม่ ดิ มิลาโน่) โดยส่วนยอดของมหาวิหาร จะมีรูปปั้นพระแม่มารีประดับไว้อยู่
พระแม่มารี คือแม่ของพระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์ ดังนั้นผู้คนจึงให้เกียรติพระแม่มารี โดยเรียกว่าท่านหญิง -My Lady หรือ ในภาษาอิตาเลียนใช้คำว่า Madonna ส่วนรูปปั้นบนมหาวิหาร ใช้ชื่อว่า The Madonnina
นั่นคือเหตุผลที่ การพบกันของอินเตอร์ มิลาน และ เอซี มิลาน จึงถูกใช้คำว่า ดาร์บี้มาดอนนิน่า นั่นเอง
ในแชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2004-05 ที่ทั้งคู่ต้องมาเจอกัน ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ฝั่งอินเตอร์ มิลาน มีความมั่นใจมาก พวกเขาอยู่ในฟอร์มที่ดี ในทีมมีนักเตะสตาร์เดินชนกันเยอะไปหมด ทั้งอาเดรียโน่, คริสเตียน วิเอรี่, อัลวาโร่ เรโคบ้า, ฮาเวียร์ ซาเนตติ, มาร์โก มาร์เตรัสซี่, ฮวน เวรอน ฯลฯ ได้เวลาแล้ว ที่พวกเขาจะก้าวไปคว้าแชมป์ยุโรปได้
3
แต่เอซี มิลาน ก็ครบเครื่องพอๆ กัน มีอันเดร เชฟเชนโก้, เฮอร์นัน เครสโป, กาก้า, เปาโล มัลดินี่, อันเดรีย ปิร์โล่ ฯลฯ และที่มิลานเหนือกว่าอินเตอร์ คือเรื่องประสบการณ์ เพราะพวกเขาเพิ่งได้แชมป์ยุโรปมาในปี 2003 คือรู้ว่าเกมน็อกเอาต์แบบนี้ต้องเล่นอย่างไร
3
ในเลกแรก 6 เมษายน 2005 เอซี มิลานเป็นเจ้าบ้านก่อน แต่พวกเขาไม่ได้เล่นเหนือกว่า เกมสูสีกันมาก จุดชี้ขาดอยู่ที่ลูกเซ็ตพีซ อันเดรีย ปิร์โล่ ครอสบอลเข้ากลาง 2 ครั้ง มิลานโหม่งได้ 2 ประตู จากยาป สตัม กับ อันเดร เชฟเชนโก้ ทำให้ทีมชนะ 2-0
1
ในเลกสอง 12 เมษายน 2005 อินเตอร์ ยังมีหวัง เพราะสกอร์ตามแค่สองลูก แต่เกมนี้ฝั่งอินเตอร์ ต้องหงุดหงิดอย่างมากกับคำตัดสินของกรรมการ มาร์คุส แมร์ก ชาวเยอรมัน ที่เป่าไม่เป็นใจเลยสักจังหวะเดียว
2
เริ่มจากช่วงต้นเกม อันเดร เชฟเชนโก้ กองหน้ามิลานไปเฮดบัตต์ใส่มาร์โก มาร์เตรัซซี่จนร่วงไปกองกับพื้น ดูจากภาพช้าแล้ว เชฟเชนโก้ก็โดนไล่ออกได้เลย แต่จังหวะนั้น ผู้ตัดสินแมร์กไม่เห็นเหตุการณ์ เชฟเชนโก้เลยรอดตัวไป คือถ้ายุคนั้นมี VAR มิลานก็เหลือ 10 คนไปแล้ว
2
ที่น่าเจ็บใจคือพอเชฟเชนโก้ไม่โดนไล่ออก ในนาที 30 เขายิงไกลเปรี้ยงด้วยเท้าซ้ายให้มิลานนำ 1-0 กลายเป็นลูกอเวย์โกล แปลว่าอินเตอร์ต้องยิงให้ได้ 4 ประตูในช่วงเวลาที่เหลือจึงจะเข้ารอบ
2
แล้วแนวรับของเอซี มิลาน ชุดนั้น คือ ดีด้า-มัลดินี่-เนสต้า-สตัม-คาฟู อย่าว่าแต่ 4 ลูกเลย แค่ลูกเดียวก็ยากแล้ว
แต่อินเตอร์ก็พยายามเต็มที่อย่างน่าชื่นชม อย่างไรก็ตาม การตัดสินของกรรมการ ก็ทำให้แฟนๆ ต้องเซ็ง เพราะระหว่างเกมควรได้จุดโทษหลายหน แต่กรรมการก็ปฏิเสธทั้งหมด การตัดสินไม่เข้าทางทีมงูใหญ่เลย
แฟนๆ ทีมงูใหญ่ เจอแบบนี้ แต่ก็ยังอดทนกันอยู่ จนมาถึงนาทีที่ 71 ก็ฟิวส์ขาด ในจังหวะที่เอสเตบัน คัมเบียสโซ่ โหม่งประตูเข้าไป แต่กรรมการมาร์คุส แมร์ก ริบสกอร์ โดยบอกว่านักเตะอินเตอร์ไปทำฟาวล์ก่อนแล้ว
1
ถ้าดูจากภาพช้า ก็ไม่รู้ว่าฟาวล์ตรงไหน ลูกนี้ใสสะอาดทุกอย่าง ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะยึดสกอร์ได้ ถ้ายุคนั้นมี VAR ลูกนี้ก็คงได้ประตูไปแล้ว
พอโดนเป่าแบบแย่ๆ หลายหนติดกันขนาดนี้ ทำให้แฟนบอลอินเตอร์โซนฮาร์ดคอร์ ทนไม่ไหว ขว้างพลุไฟ ลงมาโดนไหล่ดีด้า นายทวารของเอซี มิลาน จนบาดเจ็บต้องเปลี่ยนตัวออก แล้วโกล์สำรอง คริสเตียน อับบิอาติ ลงเล่นแทน
1
กรรมการแมร์คุส แมร์ก เบรกการแข่งขัน 10 นาที เพื่อให้เจ้าหน้าที่สนามเคลียร์พลุไฟออกให้หมด จะได้แข่งต่อ พอเคลียร์สนามเสร็จปั๊บ บอลเริ่มเตะอีกครั้ง แต่ก็เล่นได้แค่ 1 นาที แฟนอินเตอร์ ยังคงไม่หยุด ขว้างพลุไฟลงมารัวๆ อีกเป็นร้อย จนสนามลุกเป็นเปลวเพลิง
นั่นทำให้เกมหยุดอีกรอบ นักเตะทั้งสองทีมก็ยืนดูอยู่ว่ารอบนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ จะได้แข่งต่อกันสักที เพราะอีกไม่ถึง 20 นาทีก็จบเกมแล้ว
ภาพที่เราเห็นมาร์โก มาเตรัซซี่ ยืนดูไฟลุกไหม้กับรุย คอสต้า ก็คือเหตุการณ์นี้นั่นเอง ทั้งคู่รอดูว่าพลุไฟจะหยุดตอนไหน
1
สาเหตุที่ภาพของมาเตรัสซี่ กับ รุย คอสต้า มันคลาสสิค เพราะทำให้เห็นว่า ในยุคนั้น อินเตอร์ กับ เอซี มิลาน มีผู้เล่นระดับท็อปทั้งนั้น ในขณะที่แฟนบอลก็มีแพสชั่นรุนแรง ขว้างพลุไฟลงมาจนสนามลุกไหม้
ข้อสังเกตคือ ความสัมพันธ์ของผู้เล่น อินเตอร์ กับ เอซี มิลานนั้น ถ้าเป็นกลุ่มผู้เล่นล่ะก็ จะไม่ได้รู้สึกเกลียดชังนักเตะของอีกทีมขนาดนั้น พวกเขาก็รู้จักกันหมดนั่นแหละ
นักเตะหลายคน เคยอยู่มิลานมาก่อน ก็ย้ายมาอินเตอร์ (โรแบร์โต้ บาจโจ้, ปาทริก วิเอร่า) บางคนอยู่อินเตอร์แล้วก็ย้ายมามิลาน (ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, มาริโอ บาโลเตลลี่)
เช่นเดียวกับผู้บริหาร ที่ขายนักเตะระหว่างกันตลอดเวลา ตัวอย่างเช่น ในปี 2002 อินเตอร์ มิลาน เอาคลาเรนซ์ เซดอร์ฟ กับ อันเดรีย ปิร์โล่ ไปแลกฟรานเชสโก้ โคโค่ กับ กูลี่ ของเอซี มิลาน
แต่แฟนบอลนั้นไม่ได้ญาติดี เหมือนนักเตะกับผู้บริหาร พวกเขาไม่เผาผีกัน เพราะเป็นคู่ปรับกันโดยตรง ดังนั้นการที่อินเตอร์ กำลังจะพ่ายแพ้คู่ปรับอย่างเอซี มิลาน แถมโดนกรรมการเป่าอะไรก็ไม่รู้ ริบสกอร์ที่ควรจะได้อีก ทำให้แฟนอินเตอร์น็อตหลุด ขว้างพลุไฟลงมาถล่มขนาดนั้น
ผู้ตัดสิน แมร์คุส แมร์ก เห็นว่าไม่ปลอดภัย ไม่สามารถเล่นต่อได้ ตัดสินในยุติเกม ให้นักเตะเดินกลับเข้าห้องแต่งตัวได้เลย นั่นทำให้เกมจบลงด้วยสกอร์ 1-0
หลังจากพิจารณาโทษ ยูฟ่าสั่งปรับอินเตอร์ แพ้ 3-0 ทำให้รวมสองนัด พวกเขาแพ้ด้วยสกอร์ 5-0 ตามด้วยปรับเงิน 192,180 ยูโร และสั่งให้อินเตอร์ เล่นสนามโล่ง ไม่มีคนดู ในเกมยุโรปเป็นจำนวน 4 นัด
1
นอกจากนั้นยังมีการคาดโทษว่า ในช่วง 3 ปีต่อจากนี้ (2005-2008) ถ้ามีเหตุวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครั้ง อินเตอร์จะต้องเล่นในสนามไร้คนดูเพิ่มอีก 2 นัด
1
ยูฟ่า อธิบายว่า การลงโทษห้ามมีคนดู 4 เกมในบ้าน เป็นบทลงโทษ ในเชิงการเงิน ที่หนักที่สุดที่ยูฟ่าเคยปรับ ตั้งแต่มียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เพราะการไม่ได้เล่น 4 เกม ทำให้อินเตอร์ มิลาน สูญเงินไปราวๆ 8 ล้านยูโร
1
ณ วันนั้น อินเตอร์ โดนด่าเละก็จริงที่รักษาความปลอดภัยไม่ได้เลย แต่ยูฟ่าเองก็โดนตำหนิเหมือนกันว่า สโมสรเขาลงทุนกันไม่รู้กี่ล้าน แล้วมาเจอกรรมการตัดสินไร้สาระ เฮดบัตต์มองไม่เห็น ประตูใสสะอาดโดนริบ แบบนี้แฟนบอลที่ไหนจะไปทนได้ ถ้าอยากให้แฟนบอลไม่เดือดดาล ยูฟ่าก็ช่วยพัฒนาการตัดสินให้ดีกว่านี้ด้วย
2
จากนั้นมา สนามซาน ซีโร่ ออกกฎอย่างชัดเจนว่า ห้ามนำ Flare เข้าไปในสนามอย่างเด็ดขาด แต่ก็ยังมีการแอบเอาเข้าอยู่เรื่อยๆ และมีการจุดพลุไฟ เกิดขึ้นเป็นระยะ ไม่สามารถห้ามได้ 100%
แต่เรื่องการโยนพลุไฟลงมาที่ Pitch ก็ไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว แฟนบอลเองเห็นสโมสรสูญเสียรายได้ขนาดนั้น ก็ไม่อยากทำให้ทีมต้องโดนค่าปรับเหมือนกัน
ส่วนยูฟ่า ก็โดนด่าไปเยอะเหมือนกัน และโดนด่าไปอีกหลายปี จนการมาของ VAR ในปี 2019 นั่นล่ะ จึงทำให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน
หลังจากเหตุการณ์ไฟลุกไหม้ซานซีโร่ ในปี 2005 ทั้งสองทีมก็ไม่เคยเจอกันในรายการยุโรปอีกเลย จนมาถึงปีนี้ พฤษภาคม 2023 ทั้งคู่ก็ต้องโคจรมาเจอกันในรอบรองชนะเลิศ
1
ก่อนเริ่มฤดูกาลไม่มีใครคิด ว่าพวกเขาจะมาถึงตรงนี้ แต่สุดท้าย สองทีมจากเมืองมิลานก็ทำได้
โอเคว่า ถ้าดูจากชื่อชั้นผู้เล่น มันไม่ใช่เปาโล มัลดินี่ vs อาเดรียโน่ แต่การปะทะกันของ ฟิกาโย่ โทโมริ vs เลาตาโร่ มาร์ติเนซ ก็คงมันส์ไปอีกแบบเหมือนกัน
ความสำคัญของเกมนี้ ไม่ใช่แค่เข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกเท่านั้น แต่อันดับในตารางคะแนนของทั้งคู่ ยังบี้กันมากในเซเรียอา มิลานอยู่อันดับ 4 มี 53 แต้ม ส่วนอินเตอร์ อยู่อันดับ 5 มี 51 แต้ม แปลว่าถ้าคุณหลุดท็อปโฟร์ แต่ได้เข้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ก็อาจได้ทางลัด ในการคัมแบ็กกลับไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกได้ในซีซั่นหน้า
1
เดิมพันเกมนี้สูงมาก เป็นดาร์บี้มาดอนนิน่า ที่มีความหมายมากจริงๆ
หวังว่าเราจะได้เจอเกมที่สนุกสนาน กรรมการตัดสินแบบเคลียร์ๆ ไม่มีดราม่า และคาดว่า จะไม่เจอพลุไฟถล่มสนามจนเกมต้องยุติเหมือนเมื่อ 18 ปีก่อนอีก
2
จะว่าไปแล้ว ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองชนะเลิศ เป็นการประกบคู่ที่สุดยอดเหลือเกิน
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ vs เรอัล มาดริด
เอซี มิลาน vs อินเตอร์ มิลาน
มันส์ทั้งคู่ เดือดทั้งคู่ ไม่ว่าใครจะเข้าชิงที่อิสตันบูล เชื่อว่าจะเป็นสุดยอดเกมอย่างแน่นอน
1
#DERBYDELLAMADONNINA
โฆษณา