Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
All about เรื่องมันส์มันส์
•
ติดตาม
24 เม.ย. 2023 เวลา 16:02 • ศิลปะ & ออกแบบ
Vincent Van Gogh
ชายผู้เกิดมา " fail " ทั้งชีวิต
ผมเอง
ตอนที่ 1 เนเธอร์แลนด์-ลอนดอน-เบลเยี่ยม-ปารีส
ชั่วชีวิตที่แสนสั้น เพียง 37 ปี จะมีใครที่ Fail และทุกข์ระทมอย่างชายผู้นี้สักกี่คน ?
Fail ทั้งผลงานที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ ทั้งชีวิตขายภาพที่วาดได้เพียงภาพเดียวจากเกือบ 3,000 ภาพ
ฐานะยากจน ยังชีพด้วยเงินที่ อภิชาติน้อง เป็นผู้อุปการะแทบทั้งชีวิต
ชีวิตรักล้มเหลว
มีโรคภัยทางจิตมาคุกคามกล้ำกรายติดตัว เป็นที่เดียจฉันท์ของคนรอบข้าง จนสุดท้ายโรคร้ายคุกคามชีวิต
การงาน / สังคม / ฐานะ / สุขภาพ ของเขา ล้วนแต่ ล้มเหลว
สิ่งที่ทำให้เขาทนยังชีพอยู่ได้ คือ ความรักในสิ่งที่ทำ (การวาดภาพ)
ทำโดยเกิดมาเพื่อสร้างผลงานล้วนๆ - Born to Be
ใครที่ Fail ในเรื่องฐานะ หรือ ความรัก หรืออื่นๆ ขอให้คิดถึง ชีวิตของ Vincent Van Gogh ผู้นี้เอาไว้
ลุงแก fail ทุกๆเรื่อง แต่ลุงแกยังสร้างผลงานให้โลกจำได้
เพียงแต่น่าเศร้าสลดตรงที่ว่า เจ้าตัวจะไม่มีวันรับรู้ได้เลยว่า ชาวโลกใฝ่ฝันอยากจะครอบครองผลงานของเขามากเพียงใด
ยามเกิดจน ตายไป ก็จากโลกใบนี้ไปในภาวะที่เหมือนไม่มีใครยอมรับหรือเห็นคุณค่าในตัวแม้แต่น้อย !
เรื่องราวและภาพของ แวนโก๊ะห์ หาชมหาอ่านได้ทั่วไปในเนท ในบทความครั้งนี้ ผมเลยขอนำเสนอในรูปแบบที่ไม่ซ้ำกับที่มีอยู่
คือ ภาพหลักๆจะขอนำมาจาก งานแสดง multimedia โดยจัดแสดงที่ชั้น 6 Iconsiam ช่วง เมษา-กรกฎา 66 โดยที่ เรื่องราวชีวิตของแวนโก๊ะห์ก่อนนี้ ทาง River city Bangkok เคยนำมาแสดงรูปแบบคล้ายๆกันแล้ว เมื่อช่วง มิย-ธค 2563
แต่ครั้งนี้ ทีมงานจัดแบบภาพอลังการกว่า ใหญ่และกว้างกว่า และมีห้องจำลองสถานที่ต่างๆให้ถ่ายภาพด้วย 4-5 ห้อง
ในบทความมีนำภาพจากเนทหลายแหล่งมาเสริมภาพจากงาน multimedia เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา
และขอย้ำอีกครั้งว่า เนื้อหาและภาพที่หยิบยืมมาเพียงเพื่อบันทึกให้เพื่อนๆกลุ่มเล็กๆเข้ามาอ่านสนุกๆ ไม่มุ่งหวังเรื่องรายได้หรือเพื่อการพาณิชย์ จึงไม่ได้ลงเครดิตที่มาของภาพ/เนื้อหา แต่อย่างใด ( เพราะข้อความจะรกรุงรังและทำให้ความคิดของผมสะดุด ขณะเขียนบรรยาย เพราะภาพหรือข้อเขียนที่หยิบยืมมา มาจากหลายแหล่งมาก ชนิดที่เรียกว่า จับแพะชนแกะ นั่นแล ) ต้องกราบขออภัยเจ้าของภาพ/เนื้อหาบางส่วน ณ ที่นี้
เรื่องราวชีวิตจิตรกรชื่อก้องโลก(ตอนตายไปหลายปีจึงค่อยก้อง) Vincent Van Gogh ในขณะที่ยามยังเป็น ตลอดชีวิต Fail ไปทุกเรื่อง
นักวาดภาพที่ตลอดทั้งชีวิต วาดภาพไว้นับพันภาพ แต่ขายได้แค่ภาพเดียว
ชีวิตรักที่รักเขา แต่เขาไม่รัก
หรือ ในชีวิตช่วงหนึ่ง มีสาวหนึ่งมาหลงรักเขา แต่ถูกพ่อแม่ ฝ่ายหญิงกีดกัน จนฝ่ายหญิงต้องทานยาตาย
จนภายหลัง มารักกับหญิงงามเมือง ก็ยังไม่ราบรื่น
youtube.com
Don McLean - Vincent ( Starry, Starry Night) With Lyrics
Don McLean’s Vincent (Starry,Starry Night) Almost all images created by Vincent Van- Gogh. Song by Don McLean I in no way assume any credit for song or images.
Vincent Van Gogh เป็นลูกชายบาทหลวงเกิดในเนเธอร์แลนด์ ในปี คศ. 1853 เขามีน้องชายชื่อ ธีโอ อายุห่างกัน 4 ปี ซึ่งภายหลัง ธีโอ เปนผู้อุปการะค่าใช้จ่ายให้แวน โก๊ะห์แทบทั้งชีวิต
เมื่อแวน โก๊ะห์ อายุ 16 เริ่มทำงานเป็น พนง.ขายภาพในร้านของลุงตัวเอง สาขาลอนดอน
ตอนอายุ 21 ก็ไปชอบพอลูกสาวเจ้าของบ้านเช่า แต่ถูกสาวเจ้าเมินใส่ เป็นการผิดหวังในความรักหนแรก
แถมงานไม่รุ่ง เพราะเชียร์ขายไม่เป็น จนถูกเลิกจ้าง
ทำนองว่า
รูปนี้ไม่สวยดอกครับ ผมว่าอย่ารับไปเลย แขวนแล้ว ทำให้บ้านดูแย่เปล่าๆ !
ความที่พ่อเปนนักบวช และเขาสนใจศาสนาพอควร จึงหันเหจะเปนครูสอนศาสนา ได้ไปศึกษาและเป็นนักเทศน์ที่เหมืองเล็กๆที่ บอรินาช ในเบลเยี่ยม อยู่ 2 ปี พบเห็นชาวเหมืองที่เป็นอยู่แร้นแค้น และตนเองช่วยอะไรเขาไม่ได้ ก็เริ่มรู้สึกว่า ตนเองไม่ได้อยากเป็นนักเทศน์
เมื่ออายุ 27( คศ 1880 ) แวน โก๊ะห์พบว่า ชีวิตที่ฝันใฝ่ คือการเปนนักวาด จึงกลับไปเรียนวาดภาพที่ บรัสเซลและกรุงเฮก แต่ก็เรียนไม่จบ
ชีวิตที่แร้นแค้นอดอยากของชาวเหมืองที่เขาพบเห็น ได้ถูกแวน โก๊ะห์สเก๊ทช์ลงในกระดาษและผืนผ้าใบในงานยุคแรกของเขา โทนสีออกหมองหม่น สีเทา -ขาว-ดำ ตามสภาพของจริงที่เขาพบ
ภาพชาวชนบทและชาวเหมือง สีโทนหม่นหมอง และเป็นสีสไตล์ดัชท์ในยุคนั้น
Potato eaters
Potato eaters - ครอบครัวกำลังทานมันฝรั่ง -อาหารคนจน
พี่สาวขวาสุดกำลังรินชา ถัดมาน้องชายยกถ้วยชาจะจิบ
พ่อและแม่อยู่ซ้ายมือของรูป
ภาพแนวนี้ แวนโก๊ะห์ ไม่ได้วาดขึ้นภาพเดียว
ยังมีอีกภาพที่เปนอีกมุมและอิริยาบถต่อเนื่อง
แวน โก๊ะห์ เริ่มวาดภาพจริงจังเมื่ออายุ 28 ( คศ. 1881 ) ซึ่งเปนช่วงที่เลิกงานนักเทศน์แล้วกลับมาเรียนวาดภาพช่วง 1881-1885 ที่กรุงเฮกและบรัสเซลล์
วาดจนถึงวันที่ยิงตัวตาย อายุ 37 (1890) รวมวาดอยู่ เพียง 10 ปี
แต่มีผลงานมากมาย
มีภาพสเก๊ทช์และสีน้ำกว่า 2,000 ภาพ ภาพสีน้ำมันทั้งหมด 850 ภาพ ส่วนใหญ่ถูกวาดอย่างมากมายในช่วง 2-3 ปีสุดท้ายของชีวิต (1888-1890)
เขาใช้เวลา 10 ปีสุดท้ายของชีวิต อยู่กับการวาดภาพอย่างเดียว (สลับการเข้าออก รพ.ประสาทในช่วง 2 ปีสุดท้ายของชีวิต) และอย่างทุ่มเทชีวิต
70 วันสุดท้ายของชีวิต เขาวาดภาพสีน้ำมันเฉลี่ยวันละภาพ!
แม้ในวันที่ ถูกปืนยิง ( ฆ่าตัวตาย ? ) ก็อยู่ในทุ่งหญ้ากับภาพที่กำลังจะวาด !
เริ่มวาดภาพสเก๊ทช์ตั้งแต่ทำงานนักเทศน์ที่เหมืองในเบลเยี่ยม
ส่วนใหญ่เปนภาพสเก๊ทช์บนกระดาษและใช้ดินสอเพราะยากจน ไม่มีเงินซื้อสีและผ้าใบ
เงินที่ใช้ยังชีพและซื้อสีกับผ้าใบ ตลอดแทบทั้งชีวิต ล้วนได้จากอภิชาติน้องชาย -ธีโอ ส่งเสียมาตลอด
โลกรุ่นหลังรับรู้เรื่องราวชีวิตและโลกทัศน์ของแวน โก๊ะห์ จากจดหมายที่เขาขยันเขียนส่งถึงธีโอมากถึง 600 กว่าฉบับ (จากจดหมายทั้งหมดที่เขียนถึงคนอื่นๆด้วยรวม 800 กว่าฉบับ )
จดหมายส่วนใหญ่ไม่ได้ลงวันที่เขียน ต้องดูบริบทปะติดปะต่อกันเอาเอง
ส่วนจดหมายตอบจากธีโอ ที่พบได้มีแค่หลักสิบเท่านั้น
ธีโอ อภิชาติน้องชาย
ภายหลังที่ ธีโอตายตามพี่ชาย (หลังจากพี่ชายเสียไปแค่ หกเดือนเท่านั้น) ภรรยาธีโอ รวบรวมจดหมายที่แวน โก๊ะห์ส่งถึงธีโอ ตีพิมพ์เปนหนังสือ ชื่อ จดหมายถึงธีโอ
ซึ่งถือเป็นเอกสารชั้นต้นเลยเชียว
หนังสือรวมจดหมายที่แวนโก๊ะห์เขียนถึงธีโอน้องรัก
จากชีวิตนักเทศน์กลับมาบ้านเกิด ศึกษาและเริ่มวาดภาพไปพักหนึ่งที่เฮกและเบลเยี่ยม แต่เรียนไม่จบ (อีก) (1881-85)
ธีโอก็ชวนแวน โก๊ะห์ไปปารีสพักกับตนที่ทำงานอยู่ที่นั่น ในปี 1886-87 เพราะปารีสช่วงนั้น ศิลปินกลุ่ม Impressionism ที่เริ่มก่อตัวเมื่อ 1872 เริ่มได้รับการรู้จัก
ภาพ ที่เปนตัวแทนกลุ่มลัทธิประทับใจนี้ ภาพแรกที่สู่สายตาชาวโลกคือ ภาพชื่อ
Impression Sunrise ของ Monet
วาดออกมาในปี 1872 (ขณะนั้นแวนโก๊ะห์ อายุ เพียง 19 ปี กำลังทำงาน พนง.ขายภาพในร้านลุง ) ซึ่งใช้เวลาหลายปีกว่าที่ภาพแนวนี้จะได้รับการยอมรับ
เพราะนักวิจารณ์ยุคนั้นบอกว่า เปนภาพฝีแปรงเหมือนภาพร่างหยาบๆ ไม่มีรายละเอียดตามสมัยนิยม
ดูแล้วเหมือนภาพที่ยังวาดไม่เสร็จสะเด็ดน้ำ
ส่วนเหล่าคนวาดก็บอกว่า
อั๊วะวาดจากสิ่งที่สายตาเห็น แล้วรับรู้สู่สมองและหัวใจว่า เออ ทิวทัศน์หรือสรรพสิ่งตรงหน้านี้
งามจริงหนอ
แล้วอั๊วะก็พลันลงมือวาด (หรือมีบ้างอาจจะจำเอาไว้ และนำความประทับใจนั้น มาวาดในภายหลัง)
ภาพแนวนี้ มาจากความประทับใจ รวมทั้ง(ถูก)นักวิจารณ์ตั้งชื่อกลุ่มที่วาดภาพแนวนี้ โดยใช้ชื่อล้อเลียนภาพชื่อดังกล่าวของ อีตาโม่เน่ท์(คนละคนกับ มาเน่ และ เนเน่ นะครับ) นั่นแหละ ว่า ภาพแนว Impression
Impression sunrise ที่ชื่อภาพถูกนำไปเรียกสไตล์การลงสีและใช้แสงทำนองนี้
เมื่อมาอยู่ที่ปารีสตามคำชวนของธีโอ เขา(ธีโอ) ได้แนะนำให้เขา (แวนโก๊ะห์) ได้รู้จักกับเหล่านักวาดกลุ่มลัทธิประทับใจเหล่านี้หลายๆคน แวน โก๊ะห์ก็เริ่มใส่สีสันตามสไตล์ของกลุ่มนี้ ลงในภาพของตัวบ้าง
ภาพสีน้ำมันภาพแรกช่วงที่เขาเรียนวาด สีสันมัวหม่นตามสไตล์ "ดัชท์นิยม" ในช่วงนั้น
จะเห็นภาพที่เปลี่ยนเป็นมีสีสันสดใสต่างกับแบบเดิมฟ้ากับเหว
ซึ่งภาพแนว Impressionism ของนักวาดกลุ่มเหล่านี้ ค่อยๆได้รับการยอมรับและมาโด่งดังภายหลัง
ศิลปินกลุ่มนี้ มีหลายคนที่ภายหลังโลกยกย่องมาก เช่น Monet , Manet , Renoir , เซราท์ , ตูลูส โลเทค , ปอล โกแกง ( คนนี้ภายหลังแวน โก๊ะชวนมาแชร์ห้องด้วยกันที่เมือง อาร์ล - Arles ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส แต่สุดท้ายอยู่กันเพียง 2 เดือน หม้อข้าวยังไม่ทันดำก็ทะเลาะกันและ โกแกงย้ายหนีไปและเป็นสาเหตุ ที่แวนโก๊ะห์ตัดติ่งหูตัวเองด้วยความโกรธผสานความเศร้าเสียใจ )
ช่วงอยู่ที่ ปารีส ภาพวาด ของแวน โก๊ะห์เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่มีสีสันเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นๆ จนภายหลังเปนแบบสีตัดกันรุนแรงเกินจริง ( ปัจจุบันนี้ ภาพแวนโก๊ะห์ และโกแกง ถูกจัดเป็นแนว Post impressionist - ยุค "หลัง" อิมเพรสชั่นนิสต์ เพราะสีสันจัดจ้านและเกินจริงมากขึ้น )
แวน โก๊ะห์ เคย วาดเลียนแบบศิลปินรุ่นก่อนหลายคน ในช่วงที่เขาป่วยปวดศีรษะมากๆ ตอนปีท้ายๆของชีวิต (1889 )จนไม่สามารถคิดสร้างสรรค์ภาพใหม่ๆ แต่ความที่อยากวาดภาพ เลยต้องอาศัยการคัดลอกงาน เลียนแบบภาพของจิตรกรรุ่นเก่า
เช่น เลียนแบบรูปวาดของ Millet - มิลเล่ท์ ในรูป ชาวนานอนงีบพักตอนเที่ยง - noon rest เขาวาดในปลายปี 1889
ไถภาพไปทางซ้ายเพื่อดูรูปถัดไปอีกสามภาพ
แวนโก๊ะห์ไปอยู่ปารีสกับครอบครัวน้องชายได้เพียง 2 ปี ( 1886-7) แวน โก๊ะห์ก็เปนโรค ภูมิแพ้เมืองหลวงปารีส ต้องย้ายลงไปเมืองเล็กๆทางใต้ของฝรั่งเศส ชื่อ เมือง อารล์ - Arles ที่อากาศดีกว่า ค่าครองชีพถูกกว่า และบรรยากาศชนบท มีทุ่งนาหญ้าฟาร์ม ต้องตามจริตของเขา
อีกประการที่สำคัญคือ ผลงานภาพวาดของแวน โก๊ะห์ในปารีสช่วงนั้น ขายไม่ได้เลย แรงกดดันนานา ทำให้เขาอยากไปตั้งกลุ่มศิลปินเล็กๆกลุ่มใหม่ที่คุยเข้าใจกัน และเข้าใจว่า ความเครียดจากหลายๆเรื่องที่กล่าวมาแล้ว (ชีวิตการงาน / ชีวิตรัก(ที่ไม่ได้กล่าวถึงในโพสนี้เพราะจะยาวมากขึ้น) / รายได้ที่แทบไม่มี / ทัศนะต่อแนวภาพวาดที่ขัดแย้งกับศิลปินอื่น
เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เขารู้สึกล้มเหลวทั้งหมด เขาเลยอยากย้ายออกจากเมืองหลวง
ไปสร้างโลกเล็กๆของการสร้างงานศิลป์ ร่วมกับเพื่อนศิลปินผู้รู้ใจไม่กี่คน
แวน โก๊ะห์ชวน ปอล โกแกง ไปเช่าบ้านเล็กๆที่เมือง Arles เพื่อทำงานวาดภาพตามแนวทางของตน โดยที่เขาล่วงหน้าไปเตรียมการไว้ก่อนที่นั่น ( โกแกงตามไปเดือน ตค 1888 แต่อยู่ได้แค่สองเดือนเศษ พอเดือน ธค ก็ทะเลาะกันรุนแรงจนโกแกงเก็บของย้ายออกกระทันหัน)
กลางปี 1888 แวน โก๊ะห์ไปถึงอาร์ล ก็เช่าบ้านสูงสองชั้น หลังเล็กๆที่เรียกชื่อว่า the Yellow house
มีห้องนอนแคบๆ ที่ชั้นบนของบ้านเตรียมเผื่ออาศัยได้ 2 คน
ส่วนชั้นล่าง จะทำเป็นห้องแสดงภาพ
ทั้งนี้ แวนโก๊ะห์เร่งผลิตภาพหลายภาพในช่วงนี้ เพื่อเตรียมไว้แสดงที่ชั้นล่างของ บ้านเหลือง แห่งนี้
ขอจบตอนที่ 1 ของซีรี่ย์ ชีวิตแวนโก๊ะห์ ตรงนี้
ตอนถัดไป จะเป็นตอน ชีวิตและงานที่เมือง อาร์ลส์ ซึ่งเป็นช่วงที่ภาพวาดเด่นๆดังๆของแวนโก๊ะห์ เริ่มผลิตที่นั่น
จะว่าไปแล้ว ชีวิตช่วงที่มีความสุข(บ้าง)ที่สุดของเขา น่าจะเปนช่วงที่อาศัยที่เมือง Arles นี่แหละ
แต่ก็เป็นได้แค่ปีเศษๆ ก็กลับมาทุกข์จากอาการทางจิตและเรื่องทะเลาะกับโกแกงเสียนี่
ฤาว่านี่เปนชาตากรรมที่พระเจ้าทรงลิขิตขีดเขียนเส้นทางไว้แล้ว ???
โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
เกร็ดความรู้
เรื่องเล่า
บันเทิง
บันทึก
1
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Van Gogh จิตรกร ที่ โลก ต้องจำ !
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย