Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Reporter Journey
•
ติดตาม
23 เม.ย. 2023 เวลา 03:42 • ข่าวรอบโลก
อินเดีย ในวันที่มีประชากรมากสุดในโลกแทนจีน อาจไม่ใช่โอกาสที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต
"อินเดีย" หนึ่งในประเทศยักษ์ใหญ่ของเอเชีย ทั้งในแง่ของขนาดพื้นที่ ขนาดเศรษฐกิจ และจำนวนประชากร ที่นับตั้งแต่ร่ำเรียนวิชาสังคมศาสตร์กันมา ทุกคนต่างมีภาพจำกันมาตลอดว่า ดินแดนภารตะแห่งนี้มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากประเทศจีน และครองสถิตินี้มานานหลายทศวรรษ
4
แต่ปัจจุบันสถิติกำลังถูกทำลายลงเมื่อองค์การสหประชาชาติ หรือ UN ปักธงแล้วว่าภายในปี 2023 จีนจะสูญเสียแชมป์ระเทศที่มีประชากรมากที่สุดของโลกให้กับอินเดีย โดยคาดว่าประชากรอินเดียจะสูงถึง 1,429 ล้านคน ส่วนจีนจะครองอันดับที่ 2 มีประชากรประมาณ 1,426 ล้านคน
แม้ว่าอัตราการเกิดของประชากรในอินเดียจะชะลอตัวลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ก็ถือว่าไม่ได้ลดลงมาก เพราะหลายครอบครัวยังนิยมการมีลูกมาก ซึ่งบางครอบครัวมีมากถึง 7 คน เหมือนสมัยยุคที่คนไทยนิยมมีลูกมากราว 40 – 50 ปีที่แล้ว
ซึ่งจำนวนประชากรที่มากตั้งแต่ดั้งเดิม ส่งผลให้ประเทศนี้มีผู้ที่อยู่ในวัยแรงงานจำนวนมหาศาลราว 1,100 ล้านคน คิดเป็น 75% ของจำนวนประชากรทั้งหมด มากที่สุดในทุกประเทศทั่วโลก
ในขณะที่จีนกำลังเดินสวนทางเพราะกําลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย โดยจํานวนประชากรลดลงในปี 2022 เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 60 ปี และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เคยพุ่งสูงเฉลี่ยเกือบ 10% มาตั้งแต่ปี 1978 ตอนนี้เหลือการเติบโตเพียง 3% ในปี 2022 และแม้ว่ารัฐบาลจีนจะคาดการณ์การเติบโตในปีนี้ที่ 5% แต่ก็ไม่ง่ายที่จะไปถึงเป้าหมายด้วยสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก รวมทั้งเงินเฟ้อสูง และอัตราดอกเบี้ยสูงเช่นนี้
การที่อินเดียมีแรงงานวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก อาจเป็นเหมือนดาบสองคม กล่าวคืออินเดียจะต้องสร้างงานให้เพียงพอสำหรับผู้คนนับล้านที่เข้าสู่ตลาดแรงงานทุกปี ซึ่งเป็นความท้าทายที่อินเดียกําลังล้มเหลวอยู่ในขณะนี้
ด้วยเหตุนี้อินเดียจึงจำเป็นต้องดึงดูดการลงทุนทั่วโลก แต่โอกาสนี้กําลังตีบตัน ซึ่งหากอินเดียไม่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอาจกลายเป็นฝันร้ายของแรงงานอินเดียอย่างแน่นนอน
🔵 ประชากรจำนวนมาก โอกาสหรือวิกฤต?
ไม่นานหลังจากได้รับเอกราช อินเดียซึ่งมีประชากรในขณะนั้นประมาณ 350 ล้านคนได้นําโครงการวางแผนครอบครัวแห่งชาติแห่งแรกของโลกมาใช้ในปี 1952 จุดสนใจในขณะนั้นคือการส่งเสริมให้ครอบครัวมีลูกสองคน
แต่ในช่วงทศวรรษที่ 1960 รัฐบาลอินเดียภายใต้อดีตนายกรัฐมนตรีอินทิรา คานธี เริ่มใช้มาตรการเชิงรุกมากขึ้น เพื่อควบคุมอัตราการเกิด จากเดิมที่แต่ละบ้านจะมีลูกกัน 6 - 7 คน ให้เหลือพียงครอบครัวละ 2 คนจนถึงปัจจุบัน เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นชะลอตัวลง โดยขณะนั้น GDP อินเดียโตเฉลี่ย 4% ต่อปีตั้งแต่ทศวรรษ 1950 จนถึงต้นทศวรรษ 1990 สวนทางกับประชากรที่เพิ่มขึ้น
ศูนย์สังเกตการณ์เศรษฐกิจอินเดีย หรือ Centre for Monitoring Indian Economy (CMIE) บริษัทวิจัยข้อมูลในนครมุมไบให้ข้อมูลว่า อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวมของอินเดียคือ อัตราการเติบโตของประชากรที่เพิ่มขึ้นรวดเร็วจนที่น่าตกใจ
กระทรวงสาธารณสุขและการวางแผนครอบครัวของอินเดียเคยได้รับเงินช่วยเหลือสนับสนุนจากธนาคารโลก สำหรับโครงการทำหมันจำนวน 66 ล้านดอลลาร์ ในปี 1967 ขณะที่สหรัฐอเมริกาได้ให้ช่วยเหลือด้านอาหารกับชาวอินเดียผู้ยากไร้ เพื่อแลกกับการที่อินเดียจะต้องริเริ่มโครงการควบคุมจำนวนประชากร
ผู้กําหนดนโยบายเริ่มมองประชากรหนุ่มสาวที่เพิ่มขึ้นซึ่งอยู่ในวัยทำงานช่วง 15 - 64 ปี เป็นกลุ่มคนที่มีความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ
การเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียตั้งแต่ทศวรรษ 1990 อินเดียประสบความสำเร็จค่อนข้างสูงในการเคลื่อนย้ายผู้คนจากการทำการเกษตรไปยังภาคโรงงานอุตสาหกรรม
1
นอกจากแรงงานจำนวนมากแล้ว ในทางทฤษฎี ประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมากสามารถกลายเป็นแหล่งการลงทุนในอนาคตได้เช่นกันหากพวกเขามีรายได้ดีและเก็บออมเงินได้
แต่การที่แรงงานรุ่นใหม่จะมีรายได้และเก็บออมเงินได้ดีนั้น จำเป็นต้องมีงานที่ให้ผลตอบแทนดีเพียงพอซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับเศรษฐกิจสมัยใหม่
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ อัตราการว่างงานอย่างเป็นทางการของรัฐบาลอินเดียแตะระดับสูงสุดในรอบ 45 ปีที่ 6.1% ในปี 2017 - 18 เพิ่มขึ้นจาก 2.7 เปอร์เซ็นต์จากประมาณการก่อนหน้านี้ของปี 2011 - 12
ส่วนในปี 2021 – 2022 อัตราการวางงานยังคงเพิ่มขึ้นเป็น 4.1%
ข้อมูลจาก CMIE นั้นประเมินว่าอัตราว่างานแท้จริงอาจสูงกว่าที่ภาครัฐออกมาให้ข้อมูลอยู่มาก โดยเดือนมีนาคมอัตราการว่างงานของอินเดียในเดือนมีนาคมอยู่ที่ 7.8% และสูงขึ้น 8.5% ในเมืองที่เป็นแหล่งงานนอกภาคเกษตรที่มีรายได้ดีกว่า
ในแต่ละปีอินเดียผลิตแรงงานรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดเกือบ 5 ล้านคน ขณะที่ตําแหน่งในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีเพียงแค่ 6 ล้านตำแหน่งเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะรองรับตลาดแรงงานที่กําลังเติบโต
"การว่างงานเป็นหนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเศรษฐกิจอินเดียในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา และไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น" Himanshu รองศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย Jawaharlal Nehru (JNU) ในกรุงนิวเดลี
ในขณะเดียวกันตามรายงานของธนาคารโลกเผยว่า การเติบโตของการลงทุนในอินเดียลดลงเกือบครึ่งหนึ่งจากค่าเฉลี่ยต่อปีที่ 10.5% ระหว่างปี 2000 - 2010 เป็น 5.7% ระหว่างปี 2011 - 2021 รายงานระบุปัจจัยหลายประการที่ทำให้การลงทุนลดลง ตั้งแต่ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ และไม่ได้รับการปรับปรุงหรือสร้างใหม่ รวมทั้งระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ ไว้วางใจได้ในการดำเนินธุรกิจ
แม้รัฐบาลจะมีความพยายามให้อินเดียเป็นศูนย์กลางการผลิตและการลงทุน เพื่อดึงดูดภาคธุรกิจระดับโลกให้มาตั้งสำนักงาน หรือโรงงานขนาดใหญ่ตามนโยบาย "Make in India" ของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี แต่ก็ยังไม่เห็นตัวชี้วัดใดๆ ที่ดีพอที่อินเดียจะสามารถใช้ประชากรหนุ่มสาวในการจ้างงานให้มีประสิทธิผล
ประกอบกับการล็อกดาวน์ในช่วงการระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อแรงงานถึง 40 ล้านคนจากชนบทของอินเดียที่ทำงานในเมืองต่างๆ ทำให้เกิดคลื่นการย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่เมื่อพวกเขากลับไปที่ภูมิลำเนาของพวกเขา ประกอบกับการฟื้นตัวของตลาดงานหลังการระบาดใหญ่ลดลง นําไปสู่สถานการณ์ที่แรงงานในภาคเกษตรของอินเดียปรับตัวเพิ่มขึ้นตรงกันข้ามกับงานภาคการผลิตที่ลดลง
1
แต่ก็ยังมีบางมุมที่อินเดียอาจจะเป็นคู่แข่งที่จะก้าวขึ้นมาแทนจีนได้ในอนาคต เนื่องจากจีนเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างรวดเร็วจนสัดส่วนของประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 30% ภายในปี 2035
ส่วนเวียดนามซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นศูนย์กลางการผลิตก็มีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้นอย่างรวดเร็ว อินเดียซึ่งมีประชากรกลุ่มอายุ 15 - 64 ปีสูงกว่าฟิลิปปินส์เล็กน้อย ก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งในภาคการผลิตของจีนได้
มีรายงานว่า Foxconn ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์สัญชาติไต้หวัน ได้ขยายการสร้างโรงงานในอินเดียเพื่อผลิตหูฟังไร้สายของ AirPods ของ Apple โดยเมื่อปีที่แล้ว Foxconn ได้ลงนามในข้อตกลงกับ Vedanta ยักษ์ใหญ่ด้านเหมืองแร่ของอินเดียเพื่อลงทุน 20,000 ล้านดอลลาร์ในการจัดตั้งโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์และจอแสดงผลส่วนตัวแห่งแรกของประเทศในรัฐคุชราต
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนจํานวนมากก็กําลังมองหาแรงงานที่มีทักษะ และการขาดแรงงานเหล่านี้อาจทําลายโอกาสของอินเดียได้
เนื่องจากอินเดียมี "แรงงานที่มีทักษะสูงมากในภาคบริการ" รวมถึงพื้นที่เช่นเทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งประเทศเป็นผู้นําระดับโลก แต่แรงงานของอินเดียขาดการฝึกอบรมที่จําเป็นสําหรับอุตสาหกรรมการผลิตระดับไฮเอนด์ ซึ่งเป็นปัญหามายืดเยื้อยาวนานเนื่องจากการลงทุนน้อยเกินไปเพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์
1
สำหรับประเทศเพื่อบ้านอย่างบังคลาเทศ หรือแม้แต่เวียดนาม แม้จะมีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังมีความน่าดึงดูดการลงทุนมากกว่าอินเดีย ซึ่งหนึ่งในปัจจัยคือการลงทุนของภาครัฐด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยบังคลาเทศอยู่ที่ 6.5% ของ GDP ระหว่างปี 2011 - 2020 เป็นอัตราส่วนการลงทุนต่อ GDP มากกว่าอินเดียเป็น 2 เท่าตามรายงานของธนาคารโลก
1
นักเศรษฐศาสตร์มองว่า รัฐบาลอินเดียจําเป็นต้องดําเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อเปลี่ยนการรับรู้ดังกล่าว และสร้างแรงจูงใจในการสร้างแรงงานที่มีคุณภาพเพียงพอ
เพราะถ้าหากขาดการพัฒนาทักษะแรงงานที่สูงขึ้น และขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อให้มีแรงงานที่มีคุณภาพ
การที่มีประชากรจำนวนมากที่สุดในโลกอาจกลายเป็นหายนะทางประชากรศาสตร์มากกว่าจะเป็นโอกาสในการพัฒนาประเทศ
อ้างอิง
https://www.aljazeera.com/features/2023/4/18/overtaking-chinas-population-will-india-gain-or-lose
1
3 บันทึก
17
2
3
17
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย