25 เม.ย. 2023 เวลา 11:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ขั้วอำนาจการเงินโลกกำลังเปลี่ยน “เงินหยวน” อาจแทนที่ “ดอลลาร์”

ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ดอลลาร์สหรัฐ” คือสกุลเงินที่มีอิทธิพลมากที่สุดของโลก โดยหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ก็มาจากการที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ได้ขึ้นแท่นเป็น “เปโตรดอลลาร์” สกุลเงินเดียวที่สามารถซื้อขายน้ำมันได้ ซึ่งข้อมูลจากสำนักข่าวฟอบส์ เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 2023 ได้ระบุว่า การมาของเปโตรดอลลาร์นี้ถือกำเนิดเมื่อปี ค.ศ. 1975 ซึ่งเป็นข้อตกลงที่ทางสหรัฐฯ ทำไว้กับซาอุดีอาระเบีย
2
แต่ทั้งนี้ก็มีหลายประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับการที่ควบรวมอำนาจทางการเงินไว้กับสหรัฐฯ ทั้งหมด โดยเฉพาะกับประเทศรัสเซีย ที่ถูกสหรัฐฯ สั่งให้ชาติอื่นคว่ำบาตร และงดการพึ่งพิงพลังงานจากรัสเซีย ประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบได้มากที่สุดมาเป็นอันดับ 2 ของโลก ในปี ค.ศ. 2021 (ข้อมูลจากเว็บไซต์ EIA.GOV เมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2022)
ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นผลกระทบที่ได้รับจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนสหรัฐฯ จะไม่ได้เสียเปรียบมากนัก เพราะแม้จะงดการพึ่งพิงพลังงานจากรัสเซีย แต่ก็ยังมีซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือโอเปก ที่ยังสามารถให้ซื้อขายได้อยู่ (ข้อมูลจาก Thai News Agency A division of MCOT เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 2022)
แต่ก็ต้องบอกว่า เส้นทางของสหรัฐฯ ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะข้อตกลงการซื้อขายน้ำมันด้วยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แลกมากับการที่สหรัฐฯ คุ้มครองซาอุดีอาระเบีย แต่เมื่อถึงคราวที่ซาอุดีอาระเบียเกิดปัญหาขึ้นมาจริง ๆ สหรัฐฯ กลับไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ
1
ซึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ซาอุดีอาระเบียและรัสเซียหันมาจับมือร่วมกับจีน และลุกขึ้นมาต่อต้านสหรัฐฯ พร้อมทั้งซาอุดีอาระเบียเองก็ประกาศพิจารณาการนำ “สกุลเงินหยวน เป็นสกุลเงินหลักในการเข้าซื้อขายน้ำมัน” เพื่อถ่วงดุลอำนาจ และออกจากระบบดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย
1
และจุดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ “เปโตรหยวน” มีโอกาสที่จะขึ้นมาแทนที่ เปโตรดอลลาร์ของสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนหลายคนกำลังคิดว่า การที่ “จีน” ได้ขึ้นมาเป็นสกุลเงินหลักในการซื้อขายน้ำมันดิบกับประเทศยักษ์ใหญ่อย่างซาอุดีอาระเบีย และรัสเซีย ในครั้งนี้ ก็อาจทำให้ “จีน” กลายเป็นประเทศที่มีอำนาจมากที่สุด เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับสหรัฐฯ ก็เป็นได้
1
บวกกับข้อมูลจากสํานักข่าวบลูมเบิร์ก เมื่อวันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมา ได้ระบุว่า “จีน” ได้เข้าซื้อทองคำมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นระยะเวลา 5 เดือนติดต่อกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ จีนไม่ได้ซื้อทองคำมาเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งนั่นอาจเป็นสัญญาณบอกได้ว่า จีนเองกำลังท้าทายอำนาจสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ด้วยการผลักดันสกุลเงินหยวนขึ้นมาแทนในอนาคต
สุดท้าย…ขั้วอำนาจการเงินโลกจะไปในทิศทางไหน ?
“เงินหยวน” จะมาแทนที่ “ดอลลาร์สหรัฐ” ได้จริงหรือไม่ ?
สงครามแห่งการชิงอำนาจด้วยสกุลเงินโลกครั้งนี้ คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิดเลยทีเดียว
  • หากอ่านมาถึงตรงนี้ และเริ่มมองเห็นศักยภาพและโอกาสการลงทุนประเทศจีนในอนาคต เวลานี้ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะเข้าไปร่วมลงทุนกับประเทศจีน อย่างกองทุน KT-CHINA
ซึ่งกองทุนนี้เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนหลัก BGF China Fund โดยกองทุนหลักมีนโยบายที่จะสร้างผลตอบแทนรวมสูงสุด โดยลงทุนอย่างน้อย 70% ของสินทรัพย์รวมของกองทุนในตราสารทุนของบริษัทที่มีภูมิลำเนา หรือเป็นส่วนหนึ่งที่ได้รับผลประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในสาธารณรัฐประชาชนจีน
📍 ลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท เท่านั้น
สำหรับท่านใดที่สนใจ หรือต้องการ Fund Fact Sheet สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : KT-CHINA : https://bit.ly/30X3fgj
หรือขอรับหนังสือชี้ชวนที่
ธนาคารกรุงไทย ผู้สนับสนุนการขาย หรือ
บลจ.กรุงไทย โทร 02 686 6100 กด 9
ลงทุนออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน KTAM Smart Trade ง่าย สะดวก ปลอดภัย
ดาวน์โหลด :
คำเตือน :
ปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญ : ความเสี่ยงทางตลาด (Market Risk) /
ความเสี่ยงจากการดำเนินงานของผู้ออกตราสาร (Business Risk) / ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk) / ความเสี่ยงของประเทศที่ลงทุน (Country Risk) เป็นต้น
กองทุนนี้มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ในกรณีที่กองทุนไม่ได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนอาจจะขาดทุน หรืออาจจะได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
ผู้ลงทุนต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
References :
1
โฆษณา