25 เม.ย. 2023 เวลา 17:44 • ประวัติศาสตร์

ญี่ปุ่นลงนามในสนธิสัญญาซานฟรานซิสโกหลังยุติสงครามโลกครั้งที่ 2

ในระหว่างนั้นประเทศสหรัฐกำลังร้อนใจ ในการจะรักษาค่าราคาของโอกาสที่แพงที่สุดโดยไม่อยากจะประวิงเวลาการเข้ายึดครองญี่ปุ่น ดังนั้นในปี 1950 ประธานาธิบดีแฮร์รี่ เอส. ทรูแมนของสหรัฐจึงเรียกร้องให้รัฐบาลต่างๆในหลายประเทศที่เป็นสัมพันธมิตรเข้ามาเปิดประชุมและหารือร่วมกันเพื่อทำสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่น ภารกิจนี้ประธานาธิบดีทรูแมนได้เดินทางไปยังหลายๆประเทศเพื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้รวมถึงการเดินทางไปยังกรุงโตเกียวของญี่ปุ่นด้วย มีการเรียกเปิดประ
ชุมขึ้นที่นครซานฟรานซิสโกระหว่างวันที่ 5-8 กันยายน 1951
มีผู้แทนจากต่างประเทศเข้าร่วมประชุม 51 ประเทศรวมทั้งสหภาพโซเวียต มีเพียง 3 ประเทศที่ปฏิเสธการลงนามในสนธิสัญญาครั้งนี้คือ สหภาพโซเวียต เช็คโกสโลวาเกีย และโปแลนด์ อีก 48
ประเทศเห็นดีด้วยจีงเป็นจำนวนที่เพียงพอในการจะลงนามในสัตยาบันครั้งนี้ และเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 28 เมษายน
1952 สนธิสัญญานี้ไม่ได้อ้างถึงความผิดในการทำสงครามของญี่ปุ่น แต่มีการประนีประนอมว่า เป็นการขอความร่วมมือจากมหาอำนาจญี่ปุ่นให้เข้าเป็นสัมพันธภาพกับฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อส่งเสริมสวัสดิภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ส่วนที่ระบุ
ไว้อย่างชัดเจนคือญี่ปุ่นจะต้องเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ
และให้ญี่ปุ่นปลดปล่อยและคืนความเป็นเอกราชอธิปไตยให้แก่เกาหลี และยกเลิก
การอ้างสิทธิ์ในการเข้าครอบครองเกาะ
ไต้หวัน รวมทั้งเกาะเผิงหูและเกาะเล็กเกาะน้อยทั้งหมดในเขตช่องแคบไต้หวัน
รวมทั้งเกาะคูริลและพื้นที่้ด้านทิศใต้ทั้ง
หมดของเขตซากาลิน และพื้นที่อีกบางส่วนที่ได้รับอานัติให้เข้าปกครองโดยองค์
การสันนิบาตชาติในครั้งก่อน และให้ญี่ปุ่นยอมรับในการที่สหรัฐจะนำเกาะริวกิว(Ryukyu Island) เกาะโบนิน(Bonin
Island)หรือเกาะโองาซาวาระ
(Ogasawara Island) เกาะวัลคาโน(Val-
cano Island) เกาะพาเร็ซ เวล่า(Parece Vela Island)หรือเกาะโอกิโนะโตริชิมะ
(Okinotorishima Island) และเกาะมาร์
กัส(Marcus Island)เพื่อส่งมอบให้แก่องค์การสหประชาชาติในการดูแลของสหรัฐ ข้อห้ามที่ถูกระบุไว้อย่างเข้มงวดคือห้ามญี่ปุ่นนำกองทัพเข้าบุกรุกความมี
สิทธิ์เสรีภาพและอธิปไตยของประเทศ
อื่นๆ และจะต้องธำรงค์รักษาความปลอดภัยของสังคมโลกร่วมกับรัฐบาลของประเทศอื่นๆ โดยไม่จำกัดกองกำลัง
กองทัพญี่ปุ่น ในขณะที่ยังไม่มีการกำหนดค่าชดใช้หรือค่าปฏิกรรมสงคราม
ใดๆจากฝ่ายญี่ปุ่น
ฝ่ายสัมพันธมิตรบางประเทศจะต้องเข้าไปยึดหรือเก็บรักษาทรัพย์สินบางอย่างของญี่ปุ่นไว้ และทรัพย์สินส่วนนี้จะเป็นทรัพย์สินส่วนกลางที่จะนำไปมอบให้
แก่ทางสภากาชาดสากลที่มีเขตปฏิบัติงานอยู่ในหลายๆประเทศ เพื่อชดเชยให้แก่เหล่าทหารผ่านศึกและครอบครัวของพวกเขา และให้รัฐบาลญี่ปุ่นทำการเจรจา
กับประเทศที่อดีตเคยเป็นศัตรูกับญี่ปุ่น
เรื่องการชดเชยค่าความเสียหาย โดยใช้เทคโนโลยีและคนของประเทศญี่ปุ่นเข้าไปช่วยเหลือหรือช่วยพัฒนาในประเทศนั้นๆ
นายชิเงรุ โยชิดะอดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นกำลังลงนามในสนธิสัญญา Treaty of San Francisco ในวันนี้ 8 กันยายน 1951
แผนที่การแบ่งเขตแดนของประเทศ หลังจากประเทศออสเตรียลงนามในสนธิสัญญาหลังยุติสงครามโลกครั้งที่2
การทำสนธิสัญญาสันติภาพกับประเทศ
ออสเตรีย หลังยุติสงครามโลกครั้งที่ 2
(Austrian Peace Treaty)
ในระหว่างเดือนมีนาคม- เมษายน 1955
สหภาพโซเวียตได้เตรียมการทำสนธิสัญญากับประเทศออสเตรีย การทำสนธิสัญญาครั้งนี้กระทำขึ้นที่กรุงเวียนนาเมืองหลวงของออสเตรีย มีการลงนามในวันที่ 15 พฤษภาคม 1955 และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 กรกฎาคม 1955 แม้ว่าในอดีตออสเตรียจะไม่ใช่ศัตรูที่จริงจังกับสหภาพโซเวียต แต่บทบัญญัติมีความคล้ายคลึงกันหลายอย่างตามจินตนาการที่ฝ่ายสหภาพได้ร่างข้อกำหนดไว้ตั้งแต่ปี 1947 และรัฐบาล
ลีโอโปลด์ ฟิกล์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรียผู้ลงนามในสนธิสัญญา
ออสเตรียก็พยายามทุกวิถีทางในการเข้าสกัดกั้นกองทัพนาซีเยอรมันที่บุกรุกเข้ามาในประเทศโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติแต่ประการใด แต่บทข้อบังคับในสนธิสัญญา
นี้ระบุว่า อาวุธอัตโนมัติต่างๆรวมทั้งจรวด
นำวิถีที่ออสเตรียเก็บสะสมไว้จะต้องนำออกมาใช้เฉพาะคราวที่จำเป็นเท่านั้น และค่าปฏิกรรมสงครามที่ออสเตรียจะต้องชดเชยให้แก่สหภาพโซเวียตคือ การที่สหภาพโซเวียตต้องเข้าไปควบคุมจัดการพื้นที่แหล่งผลิตจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงของออสเตรียถึง 60 เปอร์เซ็นต์เป็นเวลา 30 ปี เพื่อชดเชยความสูญเสียที่สหภาพโซเวียตได้รับจากฝ่ายเยอรมัน
นอกจากนั้นออสเตรียต้องจ่ายเม็ดเงินเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐให้แก่สหภาพ
โซเวียตอีก 150,000,000 ดอลลาร์ และ
ห้ามออสเตรียเข้าไปเป็นสัมพันธมิตรด้านเศรษฐกิจและการทหารกับเยอรมันโดยเด็ดขาด และออกบทบัญญัติให้ออสเตรีย
มีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาด้วยระบอบประชาธิปไตย ให้มีการลงคะแนนเสียงได้อย่างเสรีทั้งทางลับและทางตรง ให้ประชาชนภายในประเทศมีอิสระเสรีภาพ
เสมอภาคและเป็นกลาง และห้ามการหวนกลับคืนมาของราชวงศ์แฮ็บสบูร์ก
ลีโอโปลด์ ฟิลด์กับฮานน์ ลีโอ รีซนักแสดงชาวออสเตรีย
แผนที่ประเทศในกลุ่มยุโรป หลังยุติสงครามโลกครั้งที่ 2
การทำสนธิสัญญาสันติภาพกับบัลเกเรีย
หลังยุติสงครามโลกครั้งที่2
(Bulgarian Peace Treaty)
ลงนามในสนธิสัญญาวันที่ 10 กุมภาพันธ์
1947 และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 กันยา
ยน 1947 กฏข้อบังคับในสนธิสัญญาระบุว่า บัลเกเรียจะต้องใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แก่ทุกๆคนและความเสมอภาคเท่าเทียมภายใต้กฏหมายและศาลยุติธรรมของบัลเกเรีย
โดยไม่แบ่งแยกเชื้อชาติ ศาสนา เพศ
หรือภาษา และให้รักษาไว้ซึ่งความมีสิทธิ
เสรีภาพ และอำนาจอธิปไตยของปวงชน
(ส่วนการแบ่งแยกดินแดนจะเห็นได้จากแผนที่)
เช่นเดียวกันกับกฏข้อบังคับด้านการทหารซึ่งบัลเกเรียจะต้องมีบุคคลากรหรือเจ้าหน้าที่ด้านการทหารในกองทัพได้ไม่เกิน 55,000 นาย ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานห้ามมีเกิน 1,800 กระบอก กองทัพเรือถูกจำกัดอยู่ที่ 3,500 นาย กองทัพอากาศไม่เกิน 5,200 นาย และกองเรือรบห้ามมีน้ำหนักเกิน 7,250 ตัน
และเครื่องบินรบห้ามมีเกิน 90 ลำ ห้ามติดตั้งอาวุธสงคราม ปืนใหญ่ และจรวดนำวิถี
ตลอดพรมแดนของกรีก ส่วนค่าชดใช้หรือค่าปฏิกรรมสงครามนั้นบัลเกเรียจะต้องส่งวัตถุดิบหรือผลผลิตทางการ
เกษตรให้แก่กรีซเป็นมูลค่าถึง45,000,000 - 70,000,000,
จอร์จี ดิมิทร็อฟ อดีตนักการเมืองบัลเกเรียเป็นผู้ลงนามในสนธิสัญญา
ดอลลาร์สหรัฐ และอีก25,000,000 ดอล
ลาร์สหรัฐจะต้องส่งให้แก่ยูโกสลาเวีย นอกจากนั้นสหภาพโซเวียตยังได้รับทรัพย์สินทั้งหมดของเยอรมันที่ตกค้างอยู่ในบัลเกเรีย และมีสิทธิ์เสรีในการแล่นเรือไปตามแม่น้ำดานูบได้อย่างอิสระ
จอมพลโจซิพ บร็อซ ตีโตผู้นำยูโกสลาเวียเป็นผู้ลงนามในสนธิสัญญา
โฆษณา