26 เม.ย. 2023 เวลา 12:30 • กีฬา

กาก้า นักเตะแสนดี ผู้ถวายตัวให้พระเจ้า

ริคาร์โด้ กาก้า เป็นชาวคริสต์ที่ศรัทธาในศาสนาอย่างแรงกล้า และแสดงออกให้โลกได้รู้ตลอดเวลา
1
ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศปี 2007 หลังจากช่วยเอซี มิลาน ชนะลิเวอร์พูล ที่เอเธนส์ กาก้าถอดเสื้อแข่งออก เพื่อให้เห็นเสื้อด้านใน ที่เขียนคำว่า "I belong to Jesus" หรือที่แปลว่า ข้าคือสาวกของพระเจ้า
1
แม้แต่ในสตั๊ดยี่ห้ออาดิดาสของกาก้า ที่ใส่ในนัดชิงเกมนั้น ก็เขียนคำว่า Jesus in first place (พระเจ้ามาก่อน)
อีกเรื่องคลาสสิค ที่หลายคนน่าจะเคยได้ยิน คือกาก้า รักษาพรหมจรรย์ จนถึงอายุ 23 ปี ในวันที่เขาแต่งงาน
นักฟุตบอลที่หล่อเหลาขนาดนี้ ย่อมมีสาวๆ เข้ามาหาตลอดเวลา แต่กลับคงความบริสุทธิ์ได้จนถึงวันแต่ง นี่เป็นอะไรที่แปลกประหลาดมากๆ ในสายตาคนทั่วๆ ไป
กาก้า เคยอธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า "เป็นเรื่องจริงที่ผมกับภรรยา เราเวอร์จิ้นทั้งคู่จนถึงวันแต่งงาน นั่นเพราะเป็นความเชื่อทางศาสนาของพวกเรา ว่าจะคงความบริสุทธิ์จนถึงวันแต่งงาน จริงอยู่ มันทำให้ผู้คนมองมาที่พวกเรา แล้วคิดว่า 'พวกน่าสงสาร ที่โดนศาสนาปั่นหัว' บางคนก็บอกว่า 'นายไม่รู้หรอก ว่าทำอะไรอยู่' อยากบอกว่า ผมตระหนักดีว่าผมกำลังทำอะไร นี่เป็นวิธีที่ทำให้จิตวิญญาณของผมมีความสงบสุข"
"ถ้าให้ผมแนะนำอะไรสักอย่างกับเด็กๆ ยุคปัจจุบันล่ะก็ ผมอยากบอกว่าเซ็กส์ที่ได้รับการประทานพรจากพระเจ้าด้วย มันเยี่ยมยอดมาก รู้ไหมว่า มันเป็นความสุขอันงดงามที่เกิดกับสามี-ภรรยา หลังพวกเขาแต่งงานกันอย่างถูกต้องแล้ว"
3
คือกาก้าก็ไม่ได้บังคับให้ใครทำตาม แต่แนวทางของเขาเป็นแบบนี้ สื่อบราซิลเคยไปค้นหาว่า นักเตะระดับทีมชาติ เคยมีใครที่รักษาพรหมจรรย์ได้จนถึงวันแต่งงานหรือไม่ เท่าที่บันทึกคือ ไม่มี มีกาก้าแค่คนเดียว
อีกเรื่องที่ถูกพูดถึงบ่อยๆ เกี่ยวกับกาก้า และศาสนา มาจากปากของอเล็กซานเดร ปาโต้ หัวหอกบราซิลที่ย้ายไป เอซี มิลาน ในปี 2007
ณ เวลานั้น มิลานมีนักเตะบราซิลหลายคน เช่น โรนัลโด้, แซร์จินโญ่, ดีด้า, คาฟู และ กาก้า
พอปาโต้ เด็กหนุ่มวัย 17 มาถึงห้องแต่งตัวของมิลานในวันแรก เขาเล่าว่า "ในวันแรกของผม ผมนั่งอยู่ข้างๆ โรนัลโด้ กับ เปาโล มัลดินี่ ส่วนคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามคือกาก้า โรนัลโด้ที่ถือหนังสือเพลย์บอยอยู่ในมือถามขึ้นมาว่า 'นายต้องตัดสินใจเลือกนะ ว่าจะมากับฉัน หรือจะไปเข้าโบสถ์กับกาก้า' " (แน่นอนว่าสุดท้าย ปาโต้ ไปกับโรนัลโด้)
จากที่เล่ามาจะเห็นว่า เรื่องกาก้าอุทิศตนเพื่อศาสนา เขาเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่คำถามก็คือ จุดเปลี่ยนตรงไหน ที่ทำให้เขา ให้ความสำคัญกับการเป็นชาวคริสต์มากขนาดนั้น
1
คำตอบคือในเดือนตุลาคมปี 2000 ตอนนั้นกาก้าอายุ 18 ปี เล่นอยู่กับทีมเยาวชนของเซาเปาโล อีกไม่นานก็เตรียมจะได้เลื่อนชั้นมาเล่นทีมชุดใหญ่แล้ว
มีวันหนึ่งระหว่างแข่งขันในฟุตบอลลีกเยาวชน กาก้าติดโทษแบน 1 นัด สโมสรเลยให้พัก เขาใช้ช่วงนี้ไปเยี่ยมคุณปู่-คุณย่า ที่เมืองกัลดาส โนวาส ที่อยู่ห่างจากเซาเปาโลมาหน่อย
กาก้ากับน้องชายดิเกา และครอบครัวไปเล่นวอเตอร์พาร์กในเมือง โดยทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี แต่มีจังหวะหนึ่งที่กาก้าสไลเดอร์ลงมาที่สระน้ำ แล้วลื่นผิดจังหวะ บริเวณศีรษะไปกระแทกขอบสระอย่างแรง
ในตอนแรกกาก้าก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่พอขึ้นมาจากสระ เขาปวดหัวอย่างรุนแรง จนน้องชายต้องถามว่าเป็นอะไร จากนั้นพอเห็นกาก้าเลือดออกที่หัว เลยพาไปปฐมพยาบาล แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น สุดท้ายจึงไปเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาล แต่หมอไม่เห็นอาการผิดปกติ สุดท้ายจึงเย็บหัวที่แตกเฉยๆ แค่นั้นก็จบ แล้วกลับบ้าน
หลังจากไปเยี่ยมคุณปู่-คุณย่าเสร็จ กาก้าเดินทางกลับมาที่เซาเปาโล เพื่อลงซ้อมตามปกติ เขาพบว่าตัวเองปวดหัวและเจ็บกระดูกแถวๆ ต้นคออย่างหนัก ถึงขั้นไม่สามารถซ้อมได้ สโมสรเซาเปาโล จึงส่งไปเอ็กซเรย์อย่างละเอียดอีกรอบ และคราวนี้ค้นพบปัญหาใหญ่ เพราะมี "รอยร้าวที่กระดูกสันหลังข้อที่ 6"
หมอบอกว่า กาก้าโชคดีมากๆ เพราะถ้าอาการบาดเจ็บรุนแรงมากกว่านี้อีกนิดเดียว หรือตรวจเจออาการช้ากว่านี้ อาจจะเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต อย่าว่าแต่เล่นฟุตบอล แม้แต่ใช้ชีวิตปกติก็ยังทำไม่ได้
เมื่อเจออาการ กาก้ารีบเข้ารับการรักษา และสามเดือนหลังจากบาดเจ็บ ก็หายดีกลับมาซ้อมฟุตบอลได้ และจากนั้นอีก 15 วัน เขาก็ได้โอกาสเล่นให้ทีมชุดใหญ่ของเซาเปาโล ก่อนที่จะได้ติดทีมชาติชุด u-20 ในเวลาไล่เลี่ยกันด้วย
กาก้ากล่าวว่า "ผมเชื่อว่า นี่ไม่ใช่เรื่องโชค และผมเชื่อว่าพระเจ้าได้ปกป้องผมในช่วงเวลานั้น ไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บที่รุนแรงกว่านี้"
2
"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สระน้ำ ผมว่าเป็นประสงค์ของพระเจ้า เป็นเหมือนคำเตือนให้ผมได้ระมัดระวังตัวในการใช้ชีวิต เป็นการประทานพร ก่อนที่ผมจะเริ่มต้นฟุตบอลอาชีพจริงๆ กับเซาเปาโล"
1
กาก้าเล่าว่า ก่อนหน้านี้คุณพ่อคุณแม่ ปลูกฝังเรื่องศาสนามาก่อน ก็เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่พอมาเจอประสบการณ์โดยตรง ที่เฉียดจะเป็นอัมพาตไปแค่นิดเดียวแต่รอดมาได้ ทำให้เขากลายมาเป็นผู้ศรัทธาของศาสนาคริสต์ในที่สุด
สำหรับกาก้านั้น ในสนามฟุตบอลเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เล่นที่ซ้อมหนักที่สุดคนหนึ่ง ส่วนเรื่องนอกสนามนั้น เขาเป็นศาสนิกชนที่ดี ศรัทธาในพระเจ้า และอุทิศตนเพื่อศาสนาอยู่บ่อยครั้ง
กาก้าเชื่อว่า เส้นทางชีวิตของเขาหลายๆ อย่าง แค่พยายามอย่างเดียวไม่พอ แต่เพราะศรัทธาในพระเจ้าอย่างแรงกล้า จึงได้รับการส่งเสริมด้วย
ตัวอย่างเช่น ในฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น ตอนแรกกาก้าจะไม่ถูกเรียกตัวติดเป็นหนึ่งใน 23 ขุนพลด้วย โดยตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์ตัวสำรองของโรนัลดินโญ่ มีชื่อว่า ดัลมินญ่า ผู้เล่นจากเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า
นี่คือผู้เล่นคนสำคัญ ขนาดที่ว่าหลุยซ์ เฟลิเป้ สโคลารี่ เฮดโค้ชทีมชาติบราซิล ถึงกับบินไปหาที่สเปน เพื่อย้ำให้นักเตะได้รู้ว่า "ฉันจะเอานายไปฟุตบอลโลกด้วย แต่อย่าเพิ่งมาก่อเรื่องตอนนี้นะ"
แต่ปรากฏดัลมินญ่าไม่ได้ฟังเลย ก่อนการประกาศชื่อ 5 วัน ดัลมินญ่าไปทะเลาะกับฆาเบียร์ อิรูเรต้า โค้ชของทีมตัวเอง แล้วน็อตหลุดไปเฮดบัตต์ใส่เต็มๆ
เรื่องนี้ทำให้สโคลารี่ผิดหวังมาก ที่นักเตะไม่มีวินัยและใช้ความรุนแรง จึงตัดสินใจหั่นชื่อดัลมินญ่าทิ้งในการประกาศชื่อ แล้วไปเรียกตัวดาวรุ่งจากเซาเปาโล ชื่อ กาก้า ที่ตอนนั้นอายุแค่ 20 ปี ติดทีมฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายแทน ทั้งๆ ที่ กาก้า เพิ่งเคยลงตัวจริงทีมชาติแค่ 1 นัดเท่านั้น
3
เหตุผลที่เลือกกาก้า นอกจากฝีเท้าจะพอใช้ได้แล้ว เพราะต้องการเด็กดีมีวินัยในทีมนี้ คือบราซิล ณ เวลานั้น มี โรนัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ ที่เป็นสายเฮฮาปาร์ตี้พร้อมป่วนอยู่แล้ว การมีกาก้าเข้ามาสร้างความบาลานซ์ ไม่ก่อความวุ่นวายเพิ่ม ก็น่าจะเป็นเรื่องดีกับแคมป์ทีมชาติมากกว่า
กาก้าได้ติดทีมชาติอย่างเซอร์ไพรส์ เขาเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดของทีมชุดนั้น และใส่เสื้อเบอร์ 23 เบอร์สุดท้ายของ Squad อีกด้วย
แม้ในฟุตบอลโลกที่เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น กาก้าจะได้เล่นแค่ 25 นาทีเท่านั้น โดยลงเป็นตัวสำรองในรอบแบ่งกลุ่มที่บราซิลเอาชนะคอสตาริก้า 5-2 แต่ก็ถือว่า เขาเป็น "แชมป์โลก" เช่นกัน
ในวันที่บราซิลชนะเยอรมัน 2-0 ในนัดชิงชนะเลิศ คว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ กาก้าเอาเสื้อยืด I belong to Jesus สวมทับเสื้อแข่งทีมชาติบราซิล เขาคิดว่า ถ้าพระเจ้าไม่นำทางเขา ต่อให้ฝึกซ้อมหนักแทบตายแค่ไหน ก็คงไม่ได้ติดทีมชาติมาเล่นฟุตบอลโลก จังหวะชีวิตมันลงตัวจริงๆ
จากนั้นมา เราก็จะเห็นกาก้าใส่เสื้อ I belong to Jesus อีกหลายครั้ง ทั้งตอนได้แชมป์เซเรียอา ในปี 2004 รวมถึงได้แชมป์ยุโรปในปี 2007 ด้วย รวมถึงท่าฉลองเวลายิงประตูได้ ท่าที่เป็น Iconic ของกาก้า คือการชูมือขึ้นฟ้า เพื่อขอบคุณพระเจ้านั่นเอง
กาก้า อยู่ในวงการฟุตบอลมา 17 ปี ก่อนจะแขวนสตั๊ด ในปี 2017 ด้วยวัย 35 ปี โดยวันที่เขาประกาศรีไทร์ เขาทวีตรูปลงในทวิตเตอร์ เป็นตัวเขาคุกเข่าลงบนพื้นสนามฟุตบอล หลับตา กางแขน ใส่เสื้อยืดสีขาว เขียนคำว่า I belong to Jesus
กาก้าทวีตว่า "พระบิดา สิ่งที่ลูกได้รับ มันมากมายเกินกว่าจะจินตนาการได้ ขอบคุณจากใจจริง และตอนนี้ลูกพร้อมแล้วที่จะเดินไปสู่เส้นทางต่อไป"
สาเหตุที่กาก้า เป็นนักฟุตบอลที่ได้รับความนิยมล้มหลามมากๆ จนถึงวันนี้ที่เขาแขวนสตั๊ดไปแล้ว 6 ปี แน่นอน เรื่องฝีเท้ามาเป็นอันดับหนึ่ง นี่คือนักเตะระดับบัลลงดอร์ ที่ได้เกียรติประวัติทุกอย่าง แชมป์โลก, แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก, แชมป์ เซเรีย อา, แชมป์ลาลีกา
เหตุผลข้อต่อมา คือเขาหน้าตาดี บุคลิกดี ดูแลตัวเองสม่ำเสมอ ตอนช่วงโควิดเขาทำคลิปสอนคนออกกำลังกายในบ้านตัวเอง แถมยังพูดได้ 4 ภาษา เป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่ามาก
2
และเหตุผลข้อสุดท้าย คือในวงการฟุตบอลบราซิล ผู้คนมักจะคิดถึงนักเตะแบดบอย ชอบปาร์ตี้ แต่กาก้าเป็นอะไรที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เขาชอบอยู่อย่างสงบ ชอบอ่านหนังสือ ชอบช่วยงานโบสถ์คริสต์ พอมีเวลาว่างก็ไปเป็นทูตให้สหประชาชาติ ช่วยเหลือเด็กที่หิวโหย เป็นคนที่ซูเปอร์ไนซ์ ไม่เคยมีข่าวเสียหาย ทั้งตลอดอาชีพการเล่น ไปจนถึงตอนแขวนสตั๊ดแล้ว
1
ดังนั้นตอนที่กาก้ามาไทย แล้วมีแฟนบอลไปหาเขาที่โรงแรมนับร้อย เพื่อขอถ่ายรูป ก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้
เพราะแม้แขวนสตั๊ดไปถึง 6 ปีแล้ว แต่นี่คือซูเปอร์สตาร์ที่ไนซ์มากที่สุดคนหนึ่ง ไม่เคยมีข่าวเสื่อมเสียใดๆ ทั้งนั้น เป็นคนที่คู่ควรกับการยกย่องอย่างแท้จริงครับผม
#IBELONGTOJESUS
โฆษณา