-จับสังเกต vibe แบบนี้ตั้งแต่ Chemtrails Over the Country Club ที่สร้างความงุนงงว่า ทำไมต้องไอพ่นเหนือสโมสรวะ? หรือแม้กระทั่งการตั้งคำถามถึงความมีตัวตนของ Norman Fucking Rockwell! การถูกครอบด้วยชื่ออัลบั้มแบบทิ้งปริศนาไว้กลับเปิดทางให้เราเชื่อมโยงเพื่อเข้าใจจนอดที่จะคิดไปไกลไม่ได้ สุดท้ายแล้วทฤษฎีที่เราทั้งหลายอุตส่าห์ตีความเพื่อเชื่อมโยงหัวแทบระเบิดแล้ว อาจจะไม่มีอะไรให้ต้องคิดไปไกลเลยก็ได้ ราวกับความรู้สึกของศิลปินดัน pop up ขึ้นมา แล้วอยาก capture ตามอารมณ์จนเป็นชื่ออัลบั้มอย่างที่เห็น
-มี fact นึงที่น่าสนใจคือการได้รับการจุดประกายจาก camera man ที่ไม่ได้เป็นนักดนตรีมืออาชีพอย่าง Mike Hermosa มาเป็นส่วนนึงในการรังสรรค์งานเพลง จุดเริ่มต้นเกิดจาก Mike เล่นเปียโนไปเรื่อยในห้องนั่งเล่น แล้วลาน่าเกิดติดใจเลยไปร่วมร้องแล้วอัดเสียงสดๆกันตรงนั้นเลย เมื่อรู้สึกสนุกและเริ่มติดใจจนนัดหมายกันร้องเล่นทุกวันอาทิตย์ จน Jack Antonoff (อีกแล้วครับท่าน) ได้รู้ข่าวว่าเธอซุ่มทำงานเพลงอยู่เลยขอเข้ามาข้องแวะใน process นี้จนได้ นับว่าเป็นหนที่ 3 ในการเป็นโปรดิวซ์เซอร์หลักคุมงาน
-Let The Light In จำลองภาพความสัมพันธ์รักต้องห้ามของศิลปินสาวที่ยังโสดและชอบเสี่ยงไปตกหลุมรักศิลปินหนุ่มที่มีเมียอยู่แล้ว ด้วยความหวังลมๆแล้งๆในการขอแสงแห่งความหวังส่องทางให้ความสัมพันธ์ไปได้ไกลกว่าการเป็นชู้ข้ามคืน แต่ไอ้แสงที่ว่ากลับฉายให้ความลับที่แอบซ่อนถูกเปิดเผยจนได้ ดูเอ็ทร่วมกับพี่ Father John Misty มาเพิ่มความอดสูตามท้องเรื่อง
3
-ทั้งนี้ยังอาลัยอาวรณ์ความโดดเดี่ยวที่มีทั้งการกลัวถูกลืมในไตเติ้ลแทร็ค Did you know that there’s a tunnel under Ocean Blvd ที่อยากให้คนรักระลึกถึงเธอเพื่อไม่ให้ถูกลืมแบบที่อุโมงค์ Jergins ถูกใช้เป็นสาธรณะประโยชน์ได้ไม่นานนัก ทั้งๆที่มันเป็นประโยชน์และสถาปัตยกรรมในอุโมงค์งดงามพอตัว
-ซึ่งชื่อเก่าของเพลงนี้คือ Don’t Forget Me ซึ่งตรงกับชื่อเพลงของ Harry Nilsson ที่เป็นต้นแบบ inspriration ของเพลงนี้ แต่การตัดสินใจใช้ชื่อเพลงยาวแบบนี้นับว่าเหมาะเหม็งในการสร้าง question mark ดึงดูดความสนใจให้ผู้ฟังสงสัยใคร่รู้กันตั้งแต่ต้น
Harry Nilsson has a song, his voice breaks at 2:05
Something about the way he says "Don't forget me" makes me feel like
I just wish I had a friend like him, someone to give me five
Did you know that there’s a tunnel under Ocean Blvd
-Sweet เป็นการ hard sale ตัวเองด้วยการเคลมว่า เธอช่างแตกต่าง และสามารถจูงมือพาไปสู่ที่ๆใครไม่เคยพาไป ยอมทุกอย่างโดยไม่มีข้อแม้ ทั้งนี้ยังแอบประชด ถ้าหากอยากได้ผู้หญิง basic ก็ไปหาเองที่ Beverly Center แม่งเลย เป็นบัลลาดมู้ดเรียบนิ่งหยุดเวลาให้คนฟังมาหมุนรอบตัวเธอบ้าง
-Paris, Texas พรรณนาการออกไปเที่ยวข้ามเมืองเป็นการเปิดหูเปิดตาเพื่อการมูฟออน สุดท้ายก็ต้องกลับสู่ถิ่นของตัวเองเพื่อไปเริ่มต้นใหม่อยู่ดี เจือด้วยท่วงทำนองแซมเปิ้ล instrument เพลง I Wanted to Leave ของ SYML เป็นตัวขับเคลื่อนความอยากหนีออกไปตรงตามชื่อเพลง
-ตีมราคะ ความเหงา และความเสี่ยงในเรื่องที่ผิดบาปนั้นกลับเป็นมุมเล็กๆที่ร่ายอย่างสนุกปากก็เท่านั้น ตีมในอัลบั้มนี้เน้นให้น้ำหนักไปทางครอบครัวและคนใกล้ตัวเธอเสียมากกว่า เป็นการสร้างความสบายใจอย่างยิ่งยวดต่อเนื่องในการขับเคลื่อนความสุขจากคนรอบตัว ในขณะที่ Chemtrails Over the Country Club โฟกัสไปที่เพื่อนและมิตรภาพนอกครอบครัว
-ถ้าสังเกตตรงท่อน I’m gonna take mine of you with me / Like “Rocky Mountain High,” the way John Denver sings ไม่ใช่แค่การคารวะเพลงดังของ John Denver เท่านั้น แต่ยังแอบแฝงการระลึกถึง David Grant ลุงของเธอที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุปีนเขาใน Colorado เพลง Fingertips ที่ร้องแบบด้นสดอย่างที่ได้เกริ่นถึง process ในย่อหน้าที่ผ่านมา สิ่งแรกที่เธอนึกถึงก็เป็นเรื่องครอบครัวเธอทั้งนั้น
-Grandfather please stand on the shoulders of my father while he’s deep-sea fishing เป็นการสวดภาวนาให้บรรพบุรุษคุ้มครองคุณพ่อของเธอเอง ชื่อเพลงเนี่ยไม่อยากจะนึก ฉากผีขี่คอเรื่องชัตเตอร์ลอยขึ้นมาเลย แต่เพลงไม่ได้ให้มู้ดหลอนชวนขนลุกแต่อย่างใด เต็มเปี่ยมไปด้วยบัลลาดสุด lift up ขับเคลื่อนด้วยแซมเปิ้ลเพลงบรรเลงที่ชื่อว่า Flo โดยนักเปียโนชาวฝรั่งเศส RIOPY
-อีกทั้งยัง reference quote ของ ท่าน Leonard Cohen ที่กล่าวไว้ว่า There is a crack, a crack in everything / That's how the light gets in ในเพลง Anthem ที่สื่อถึงความมีร่องรอยอันไม่สมบูรณ์แบบก็ยังดีที่จะมีแสงเล็ดรอดออกมาตกกระทบกลางใจให้ได้มีความหวังบ้าง
3
-ในเวลาไล่เลี่ยกันหลังจากอัลบั้มของลาน่าถูกปล่อยออกมา quote นี้ก็ถูกหยิบยกโดย Lucy Dacus เอาไปทำเพลงคารวะศิลปินระดับอาวุโสในโปรเจคต์ the record ของ boygenius ซึ่งเพจเราเพิ่งรีวิวไปเมื่อวีคที่แล้ว สามารถไปหาย้อนอ่านกันได้ สัจธรรมเกี่ยวกับแสงเล็ดรอดนี้ก็มีจุดเชื่อมโยงของอีกด้านแห่งความหวังอันแสนริบหรี่ในเพลง Let The Light In ที่กล่าวไว้ข้างต้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ต้องห้ามด้วย
-มาถึงหนึ่งตัวละครคนนอกครอบครัวคนสำคัญอย่าง Jack Antonoff ที่สนิทสนมเสียจนแต่งเพลงจิ้นเมียให้เอาไปใช้ในงานแต่งในเพลง Margaret ชื่อเดียวกับ Margaret Qualley คู่หมั้นคนปัจจุบันของพี่แจ๊ค เป็นโมเมนต์น่ารักๆในการได้เห็นความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับโปรดิวเซอร์ที่ได้เจอกันอย่างถูกชะตา แล้วมาปลดล็อกตัวเธอให้เฉิดฉายพลังบวกเป็นต้นมา ซึ่งลาน่าเองก็พยายามคะยั้นคะยอให้พี่แจ็คต้องร้องร่วมกับเธอให้ได้ (แน่นอนล่ะว่าเพลงนี้เพื่อเมียแกโดยเฉพาะ) การโหมโรงในท่อน Outro โคตรงดงาม
-สำหรับสองแทร็คสุดท้ายเป็นโมเมนต์แห่งการปล่อยตัวปล่อยใจ อยากทำอะไรก็ทำโดยที่ไม่ต้องยึดติดกับการเค้นความ original อะไรมากมาย เฉกเช่น Peppers เธอก็ขอใช้ท่อนฮุกเพลง Angelina ของแร็ปเปอร์สาว Tommy Genesis มาแซมเปิ้ลในท่อนฮุกเอาเสียเลย ประหนึ่งเป็นการเปิดคลอเพื่อประกอบ activity สนุกๆที่เธอพึงระลึกได้ระหว่างที่ด้นเพลงนี้เนี่ยแหละ
-ไม่ว่าจะเป็น ฟังเพลง Red Hot Chilli Peppers (อันเป็นที่มาของชื่อเพลง) การแก้ผ้าเต้นโดยไม่แคร์สายตาเพื่อนบ้าน การได้จูบแฟนหนุ่มที่ผลโควิดเป็นบวกในแบบที่ติดเชื้อก็ช่างแม่ง (ซึ่งเธอก็ไม่รอดตามระเบียบ)
-Taco Truck x VB เพลงปิดท้ายที่ผมขอนิยามในความ fan service โดยแบ่งเป็นสองพาร์ท Taco Truck ได้เห็นเธอละลายพฤติกรรมด้วยการร้องเพลงที่มีกลิ่นอายละติน อีกทั้งยังแอบตัดพ้อถึงการที่เธอโดนวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องเนื้อเพลงที่ผ่านมาด้วย แต่ก็สัมผัสได้ถึงความโนสนโนแคร์แบบปล่อยผ่าน อยากเกลียดก็เกลียดไป
Top Tracks : The Grants, Did You Know That There's a Tunnel Under Ocean Blvd, Sweet, A&W, Candy Necklace, Paris, Texas, Grandfather Please Stand on the Shoulders of My Father While He's Deep-Sea Fishing, Let the Light In, Margaret, Fishtail, Peppers, VB